สำหรับ Google แล้วผู้ใช้งานเป็นเพียงตัวประกันและลูกบอล?

จากที่เคยเขียนอะไรบ่นๆ ไปเมื่อหลายเดือนก่อนในหัวข้อ Google ถอด EAS (Exchange ActiveSync) ออกจาก Free Account ของ Gmail ผู้ใช้ทั่วไปเสียประโยชน์มากกว่าได้

มาเมื่อวานนี้ Google ประกาศปิด CalDAV API และแนะนำให้นักพัฒนาย้ายไปใช้ Google Calendar API แทน และมาวันนี้มีข่าวว่า กูเกิลจะปล่อยให้นักพัฒนากลุ่มเล็กๆ และไมโครซอฟท์ใช้งาน CalDAV ต่อหลังปิดบริการ และ Google to allow Microsoft to continue to use CalDAV protocol ที่เป็นข่าวล่าสุด

ทำให้นึกถึงเมื่อ 2-3 เดือนก่อนที่ Google บอกว่า proprietary standards อย่าง EAS มันไม่ดี ไม่ควรใช้งานต่อไป เพราะ Microsoft เป็นคนพัฒนา มันมีค่าใช้จ่าย มันเสียเงินเยอะ โน้นนั้นนี่ แล้วบอกว่า CalDAV เป็นคำตอบที่ดีกว่า เพราะเป็น open source พัฒนาต่อยอดง่ายกว่า ไม่ขึ้นอยู่กับใคร และแนะนำว่าควรนำมาใช้แทนที่ EAS เลย

แต่แล้ว… สิ่งที่เกิดขึ้นคือในตอนนี้ที่รู้สึกคือ

Google บอก Google Calendar API นั้นดีกว่า! เพราะมันคือ proprietary standards ที่สร้างโดย Google!

ส่วนตัวผมแล้วนั้น ผมเรียกว่าแถครับ!! คือจะไม่ใช้ proprietary standards คนอื่นก็บอกมาครับ อย่าอ้างว่าไม่อยากเสียเงิน license แล้วบอกว่า proprietary standards มันคือความชั่วร้าย เราไม่ควรสนับสนุนมันต่อไป แล้วใช้คำว่า open source มาเป็นข้ออ้าง แล้วไง… ตอนนี้ หึหึหึหึ แล้วก็โยนผู้ใช้งานที่ตัวเองมีอยู่ให้หันมาใช้ proprietary standards ของตัวเอง พี่จะทำแบบนี้ตั้งแต่แรกก็บอกมาตรงๆ ครับ (╯°□°)╯︵ ┻━┻)

ผมจะไม่แปลกใจเลยว่าในอีกไม่นาน Gmail อาจเก็บเงิน และร้ายกว่านั้นคือยกเลิกบริการฟรีไปเลย ก็รอดูว่าจะไปในแนวทางไหน เตรียมตัวย้ายบ้านกันให้ดีครับ

เลิกเสียเงินกับ Google Apps/Evernote และหันมาใช้งาน Office 365 Small Business Premium

2013-03-10_190930

อันนี้เป็นการลองของก่อนขายจริง และในไทยยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการให้ใช้งานแต่อย่างใด (งงๆ กับการเปิดตัวเหมือนกัน คือเปิดตัวแต่ยังไม่มีของขาย ><“)

ส่วนตัวเมื่อปีสองปีก่อนผมเสียเงินให้กับ Google ในบริการ Google Apps for Business (เว็บให้บริการด้านข้อมูลบนกลุ่มเมฆ (cloud services) ถ้าดีก็จ่ายเงินเค้าเหอะ) ก็จ่ายปีละ $50 (ตกเดือนประมาณ $4 กว่าๆ) เพราะอยากได้อีเมลความจุเยอะๆ ทำงานแบบ Cloud มีความสามารถในการทำ Wireless Sync กับมือถือได้ ตอนแรกใช้ BlackBerry ต่อมาใช้ Android และตอนหลังมาใช้ Windows Phone แล้วก็เลิกใช้ไปตอนช่วงสิ้นปีที่ผ่านมาเพราะ ย้ายจาก Google Apps มา Windows Live Admin Center (Custom addresses) เพื่อใช้งานร่วมกับ Windows Phone 8 เพราะ Google Apps for Business มีปัญหาภาษาไทยกับ Windows Phone 8; พบข้อผิดพลาดในรหัสภาษาบน WP7.5/8 เมื่อตอบหรือส่งต่ออีเมลที่ใช้ร่วมกับ Google Mail เลยทำให้ยกเลิกการใช้งานไปโดยปริยาย ประหยัดไปปีละ $50 ไปก่อนแล้ว

สำหรับ Evernote นั้นที่ใช้แบบ Premium Account ก็คงเป็นช่วงเวลาประมาณเดียวกับที่ใช้ Google Apps for Business มาสักพักและใช้ Android Phone ใหม่ๆ พอดี ก็เลยได้ก็เสียเงินให้ Evernote แบบ Premium Account ไปเดือนละ $5 เพราะต้องการใช้ Notes ที่ทำงานบน Cloud ได้ มีระบบ PIN และ Offline Sync ไปพร้อมๆ กัน

เพราะฉะนั้นถ้าคิดรวมๆ กันระห่าง Google Apps for Business และ Evernote ตอนที่ผมใช้งานทั้งสองตัวควบคู่กันแล้ว ผมจะต้องจ่ายปีละ $100 เพราะ Evernote จ่ายเป็นรายปีราคาเท่ากับ Google Apps for Business เลย

2013-03-11_152005

แต่มาช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ยกเลิก Evernote แบบ Premium Account ไป เหตุผลไม่ใช่เพราะโดน Hack อะไรหรอก แต่เป็นเรื่องราคาความและความคุ้มค่าของสิ่งที่จ่ายไปแทน ซึ่งตอนนี้ผมเสียเงินให้ Office 365 รุ่น Small Business Premium (ต่อไปจะเรียกสั้นๆ ว่า Office 365 เฉยๆ) ในราคาค่าสมัครแบบเช่าใช้เดือนละ $15 (หรือตกปีละ $150) ต่อ 1 Username แทน ซึ่งด้วย 1 Username ที่ใช้ สามารถ sign-in เข้ากับ Microsoft Office 2013 เพื่อ activate ใช้งานได้ 5 เครื่อง (แต่ละเครื่องจะใช้ Username และ Password ของ Office 365 ในการ activate)  เพราะสิ่งที่ได้กลับมานั้นต่างกันมากมายเลยทีเดียว เพราะเจ้า Offie 365 รุ่นนี้มี Microsoft Office 2013 desktop version มาให้ด้วย โดยที่ให้มานั้นมี Microsoft Word, Excel, PowerPoint, Outlook, OneNote, Access, Publisher และ Lync นั้นจึงเป็นเหตุผลง่ายๆ ที่ซื้อแบบเช่าใช้แทนแบบ Retail version ตามปรกติที่ผมซื้อมาตั้งแต่ Microsoft Office 2007 และ Microsoft Office 2010 เพราะการเปลี่ยน version ของ Microsoft Office นั้นเริ่มถี่ขึ้นและการเปลี่ยน version ไป version ใหม่ๆ ของ Retail version ในราคาไม่หนีกับระยะเวลาการเช่าใช้งานแบบนี้เท่าไหร่ และอาจถูกกว่าด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับการได้ Desktop version ที่ให้มา ซึ่งจากคุณสมบัติของ Desktop version แล้ว ยังมี Office Web Apps และ Office Mobile Apps มาให้พร้อมสำหรับทำงานนอกสถานที่มาให้พร้อมเลย

2013-03-11_152101

ซึ่งหลายคนคงงงว่าแล้วไฟล์จะเก็บไว้ที่ไหนทำงานบน Desktop version มันจะไปทำงานบน Office Web Apps และ Office Mobile Apps ได้ยังไง คำตอบคือ SkyDrive Pro ที่ให้พื้นที่เก็บไฟล์ 7 GB แยกต่างหากออกมาอีกที (แยกจาก SkyDrive ตัวปรกติ) ซึ่งเจ้า SkyDrive Pro ทำงานอยู่บน SharePoint อีกที ซึ่งเป็น Private Online storage ของ user ของเราเองโดยใช้ Username และ Password ที่ activate กับตัว Office desktop version นั้นแหละในการเข้าถึง SkyDrive Pro ใน SharePoint ได้อัตโนมัติผ่านตัว Office 365 ที่เราเปิดอยู่ได้ทันที เพราะฉะนั้น ใครจะเอาวิธีการซื้อ 1 User แล้วแชร์ 5 เครื่องโดยแต่ละเครื่องใช้คนละคน ก็ทำได้ ถ้าไม่ได้ใช้แบบแชร์เอกสารระหว่าง Device กัน แต่มันทำได้ยากถ้าไม่ตั้งค่าให้ดีๆ (เอกสารสำคัญอาจหลุดได้ง่ายๆ ถ้าใช้วิธีนี้) โดยจะมีรายการว่ามีเครื่องใดว่า activate อยู่บนหน้า Admin page ของ Office 365 ของเรา สามารถ deactivate ได้ และหน้านี้จะเป็นหน้าที่เข้ามาดาวน์โหลดตัว Microsoft Office 2013 desktop version ไปใช้งานได้ด้วย (เลือกได้ว่าจะเอา 32bit หรือ 64bit)

2013-03-11_145302

ต่อมาคือเรื่องของอีเมลซึ่งผมถือว่าเป็นของแถมที่เอามาเทียบชั้น Google Apps for Business ได้สบายๆ และอาจดีกว่าในด้านที่มันทำงานกับ Desktop version อย่าง Outlook 2013 ได้สบายๆ ผ่าน Microsoft Exchange ตัวเต็มบน Office 365 ซึ่งคล้ายๆ กับของ Hotmail และ Gmail เป็น Exchange ActiveSync (EAS) ที่มีคุณสมบัติคล้ายๆ กัน แต่ตัวนี้ใหม่สดกว่า คือ Sync Notes และ Task ได้ด้วย ซึ่ง EAS ของ Hotmail จะ Sync ตัว Notes และ Task ไม่ได้ ส่วนของ Gmail ทำได้เพราะ Google เขียนเพิ่มเติมผ่าน Outlook Sync ที่เป็น Desktop sync ที่ลงเพิ่มเติมเป็นของตัวเองและวิ่งเข้า Google Docs ที่ตัวเองมีแทน

2013-03-11_151845

โดยเจ้าระบบอีเมล Microsoft Exchange บน Office 365 ตัวนี้ใช้งานบนชื่อ Domain name ของตัวเองได้แบบเดียวกับ Google Apps for Business โดยให้พื้นที่ Username ละ 25GB เลยทีเดียว

นี่ยังไม่รวม Lync ที่ดูเหมือนจะยังไม่จำเป็นในตอนนี้ เพราะใช้อยู่คนเดียวอีกนะ ถ้าใช้หลายๆ คนอาจจะได้ใช้ความสามารถของมันภายในอีกเยอะ อย่าง Newsfeed ที่ด้านในเป็น Private Social Network สำหรับพนักงานด้วย นี่ยังไม่รวมเรื่องระบบ Call meeting, VOIP, PABX อะไรพวกนี้อีก ซึ่งผมว่ากว่าจะเข้าไทยไม่รู้ว่าต้องผ่าน กสทช. หรือเปล่านี่ดิ

2013-03-11_152206

และสุดท้ายตัว Office 365 มี Microsoft OneNote มาให้ และมันทำงานได้ดีกับ SkyDrive Pro ทำให้สามารถ Sync ข้อมูลบน Cloud ได้ทันทีเลย แถมมี Function เยอะกว่าเจ้า Evernote เสียด้วย

2013-03-11_152742

เพราะฉะนั้นถ้าดูแล้ว Office 365 Small Business Premium นั้นคือส่วนผสมของ Google Apps for Business, Evernote และ Microsoft Office Retail มารวมกันเลย ซึ่งสำหรับผม ถ้าลองคิดดูว่าผมเสียเงินรายปี 1-2 ปีและ Office Retail กล่องละ 6-7,000 บาทแล้ว ราคาโดยรวมแตกต่างกันไม่มากนัก แต่ที่ต่างคือ ค่อยๆ จ่ายใช้งานเป็นแบบเช่าใช้แทน ทำให้ดูว่าค่าใช้จ่ายต่อครั้งที่จ่ายดูน้อยและจ่ายได้ ราคาประมาณดูหนัง 1-2 เรื่อง หรือราคาเท่าๆ กับดื่มกาแฟ Starbucks 5 แก้ว อะไรแบบนั้น

Google ถอด EAS (Exchange ActiveSync) ออกจาก Free Account ของ Gmail ผู้ใช้ทั่วไปเสียประโยชน์มากกว่าได้

จากการที่ Google ตัดสินใจหยุดให้บริการ Exchange ActiveSync ลงสำหรับลูกค้าทั่วไป  นั้นพอเข้าใจได้ในด้านของตัวองค์กรขนาดใหญ่ที่เปิดให้บริการ Free E-mail กับบุคคลทั่วไป เพราะ Google ต้องเสียค่าใช้จ่ายในด้าน License ตัว Protocal ของ EAS ที่จะใช้ให้กับผู้ใช้ทุกรายที่เปิดใช้บริการให้กับ Microsoft และการแบกรับภาระตรงนี้มองว่าเป็นการเพิ่มภาระนอกจากส่วนพื้นที่เก็บอีเมลที่ต้องแบกรับภาระอยู่แล้ว แต่นั้นไม่ได้มีผลใดๆ กับการใช้งานของ EAS ใน Account พวก Google Apps for Business หรือตัวที่ไม่ใช่ Free Account เพราะในส่วนนั้นยังคงยังใช้ได้เหมือนเดิม สรุปง่ายๆ คือ ถ้าจ่ายเงินให้ Google ใน Account ที่ใช้งานสำหรับธุรกิจ (Google Apss for Business ) คุณก็ยังใช้งาน EAS ได้ตามปรกติ

แต่เหตุผลอีกอย่างที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ การใช้ EAS นั้นทำให้การรับ-ส่งอีเมลของผู้ใช้งานเข้าผ่านตัว client App ที่รับ-ส่งอีเมลได้อิสระ แถมได้ระบบ push ที่ทำงานได้ดีและแทบจะไม่ต้องเข้าหน้าเว็บเมลของ Gmail อีกเลย เพราะทุกอย่างสามารถจัดการได้ผ่าน client บนมือถือหรือ App ที่รองรับได้เกือบทั้งหมด ทำให้รายได้ในการแสดงผลโฆษณาบนเว็บนั้นหายไป งานนี้เป็นการบังคับคนใช้งานที่เป็น Free E-mail ว่าอยากใช้ EAS ก็จ่ายเงินมา เพราะต้องมองว่า client App ถ้าเข้าถึงข้อมูลได้ทั้งหมดโดยไม่ผ่านหน้าเว็บใดๆ ที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ ทำให้ไม่ต้องเข้าเว็บ แล้วผู้ใช้งานไม่จ่ายเงินก็เหมือนกับ Google ไม่ได้อะไรจากหน้าเว็บที่ตัวเองมีโฆษณาแสดงผลบนเว็บตามข้อมูลที่เกี่ยวกับอีเมลนั้นๆ ได้เลย

แต่ผลพวงอีกด้านนั้นผมมองว่า Google เอา EAS ออกนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ Google กำลังถอยจากแพลตฟอร์ม Windows Phone  และเป็นการบีบ Microsoft มากขึ้นในตลาด Windows 8 และ Windows Phone 8 ที่มีระบบที่สามารถใช้การเชื่อมต่อกับ Google Service ได้ เพราะบริการหลายๆ ตัวที่เชื่อมต่อได้ใน Windows 8 และ Windows Phone 8 นั้นใช้ผ่าน EAS ได้ เช่น People (Contact), Calendar และ Mail โดยสามารถ Push/Sync ได้ แต่เมื่อ Google ถอด EAS ออกจากบัญชีผู้ใช้ทั่วไปแบบ Free E-mail ทำให้ต้องปรับการเข้าถึงอีเมลผ่านทาง IMAP/POP3 และนั้นหมายถึงมันจะไม่ push มาให้ผู้ใช้งาน รวมถึง Contact และ Calendar ต่างๆ จะไม่สามารถ Sync เข้ามาได้ตามปรกติ เพราะ Google ถอด EAS ไปแล้ว โดยถ้าต้องการ Sync ก็ต้องทำผ่าน Protocal ที่เป็น open standard อย่าง CardDAV (Sync ตัว Contact) และ CalDAV (Sync ตัว Calendar) ซึ่งในตอนนี้ Microsoft ยังไม่รองรับ โดยระหว่างที่ปรับหรือหาทางออกในช่วงนี้ Microsoft คงเสียจังหว่ะในการพัฒนาตัว Windows 8 และ Windows Phone 8 ให้สมบูรณ์ในด้านอื่นๆ อยู่สักพักใหญ่ๆ มาปรับปรุงหรือหาทางออกให้กับผู้ใช้ของตัวเองให้กลับมาใช้งานได้ปรกติเหมือนเดิม เพราะต้องอย่าลืมว่าตัว Service ของ Google เองก็มีคนใช้ทั่วโลกอยู่เยอะ และผู้ใช้งานใน Operating System ของตัวเองก็ต้องทำให้รองรับให้ได้เพื่อให้ยังคงแข่งขันได้ในตลาดที่อุปกรณ์อย่าง Tablet และ Smartphone ที่ต่างแข่งขันกัน Push/Sync ได้แบบทันที เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ Microsoft แปลกใจที่ Google หยุดสนับสนุน Exchange ActiveSync, แนะลูกค้าย้ายมา Outlook.com  และต้องทำให้ Microsoft เผยรายละเอียดเพิ่มเติมและตอบคำถามเกี่ยวกับ Outlook.com และ Micorosft เผย ผู้ใช้ยังคงสามารถใช้งาน Gmail ได้ต่อ ด้วย IMAP เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้งานในระบบ Operating System ที่ตัวเองพัฒนาอยู่ทั้งใน Windows 8 และ Windows Phone 8 ต่อไป

แต่จากเหตุการณ์นี้ ถ้าเรามองจะเห็นว่า Google ทำแล้วเกิดผลกระทบเยอะ เป็นข่าวค่อนข้างวงกว้าง นั้นคงเพราะเป็นลักษณะของการบีบผู้ใช้ให้เลือกข้างนั้นเอง โดยมุ่งไปที่ตลาด Smartphone ที่ Microsoft กำลังปลุกปั้นขึ้นมาใหม่อย่าง Windows Phone 8 อย่างชัดเจน โดยมองว่าผู้ใช้งานรายเก่าที่ใช้ Android หรือ iOS อยู่ก่อนแล้ว และกำลังคิดจะเปลี่ยนไปใช้ Windows Phone 8 คงต้องชะงัก และหันกลับมาใช้ Android ของตัวเองเป็นหลักตามเดิม หรือถ้ายังไม่พร้อมแต่ใช้ iOS อยู่ก็ให้เสพติด App ที่ตัวเองส่ง App เข้าไปเพื่อตีแนวๆ trojan อยู่ใน iOS อยู่เนืองๆ ซึ่งเห็นได้ชัดใน Google Maps ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานหลังจาก Maps บน iOS 6 นั้นไม่ได้ดีดังที่คาด และ Gmail App ที่ทำให้โหลดมาเพื่อเตรียมการประหาร Microsoft เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ซึ่งถ้าดูๆ จากตลาดโลกในตอนนี้ Android มีส่วนแบ่งตลาดเยอะ และ Gmail ก็ติดลมบนและได้แรงส่งจาก Android ด้วย มันเลยสมประโยชน์กันพอดี เพราะทุกคนที่ใช้ Android ก็ต้องมี Google Account เพื่อใช้งานอยู่ด้วยเสมอ

หันมาดูทางฝั่ง iOS เองนั้น ถ้าโดนกินส่วนแบ่งไปเรื่อยๆ ส่วนตัวผมมองว่าผู้ใช้ iOS เองก็เตรียมตัวได้เลย เพราะตัวอย่างเห็นอยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้า Google หยุด support ตัว Gmail App ที่ push Mail ได้ แล้วบอกกับผู้ใช้ iOS ว่า ย้ายมา Android ซะเพื่อใช้ App ที่พวกคุณเสพติดกันได้ดีมากขึ้น หรือมี support จริงๆ ในอนาคต งานนี้ออกแนวตีหัวเข้าบ้านกันจังๆ เลย เพราะต้องอย่าลืมว่า EAS เลิก Support ระบบ push ที่ทำงานได้ใน iOS ผ่านการตั้งค่าใน Exchange ทั้ง Contact, Calendar และ Mail นั้นต้องถูกยกเลิกไปด้วย และต้องใช้ผ่าน Gmail App สำหรับ Push ตัว E-mail ของ Google บน iOS เท่านั้น และต้องลำบากชีวิตมากขึ้นเพื่อค่า CalDAV สำหรับ Calendar และ CardDAV สำหรับ Contact อีกที ส่วนใครไม่อยากใช้อีเมลรับ-ส่งผ่าน Gmail App ก็ต้องใช้ผ่าน IMAP/POP3 เอาเอง ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็น interval sync (polling) ไม่ใช่ push แบบที่เคยใช้งานบน EAS ตามปรกติที่รวดเร็วทันใจ งานนี้ก็ทำใจกันล่วงหน้าได้เลย

ส่วนตัวตอนนี้อีเมลที่ใช้ทำงานจริงจังจะใช้อีเมลที่อยู่ภายใต้ domain (@thaicyberpoint.com) ตัวเองเป็นหลัก ส่วนอีเมลที่เป็น domain พวก Free E-mail จะใช้เฉพาะเข้าถึงบริการของแต่ละบริษัทพวกนี้มากกว่า (@gmail.com, @yahoo.com หรือ @hotmail.com) แล้วตั้ง Forward ตัว E-mail เข้าตัว domain หลักของผมอีกทีทีนี้ก็ง่ายในการย้ายและรับ-ส่งอีเมลได้สบายๆ (ผมใช้วิธีนี้กับ @gmail.com @outloook.com และ @hotmail.com) แต่ถ้าบริการของบริษัทไหนสามารถตั้ง account บริการพวกนี้ด้วย domain ของตัวผมเองได้ จะใช้ domain ตัวเอง เพราะมันย้ายง่ายมากๆ เช่น .NET Passport หรือตอนนี้ชื่อว่า Microsoft account ที่ผมใช้อีเมลภายใต้ domain ผมเองอยู่เป็นต้น ซึ่งส่วนตัวจากข่าวข้างต้นทั้งหมดนั้นดูไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะปรกติใช้ Google Mail แบบเสียเงิน เป็น Google Apps for Business ที่ต้องจ่ายเงินปีละ 1,500 บาทต่อ 1 account อยู่แล้ว ซึ่งเหตุผลหลักๆ ที่ย้ายจริงๆ ก็คือไม่อยากเสียเงิน Google Apps for Business ที่ได้ความสามารถเพิ่มเติมมาเยอะ แต่ใช้ส่วนตัวจริงๆ ผมใช้แค่ให้มัน Sync กับ Microsoft Outlook ได้ (เหมือนเป็นค่า License ตัว API ของ Google ที่จ่ายให้ Microsoft ในการเข้าถึง API ของ Microsoft Outlook) แต่ตัวที่ทำให้การย้ายมา Hotmail มันเร็วขึ้นจากแผนที่วางไว้ 2-3 เดือนก็เพราะเรื่องภาษาไทยใน Google Mail ที่มี bug กับ Windows Phone 8 เลยทำให้ต้องย้ายเร็วกว่ากำหนด

ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ คือ Gmail ย้ายมาใช้ Hotmail เนี่ยแหละ อ่านได้จาก ย้ายจาก Google Apps มา Windows Live Admin Center (Custom addresses)

ซึ่งในการทำงานนั้น อีเมลผมจะใช้ domain ตัวเอง ถ้าเกิดปัญหาแบบนี้ ส่วนตัวผมก็แค่ย้าย MX Record จาก Gmail มาใช้ Hotmail แล้วก็ทุกอย่างก็จบ ผมรับ-ส่งเมล หรือคนส่งมาก็ยังใช้อีเมลเดิม แต่ระบบด้านหลังเปลี่ยนไปแล้ว เค้าไม่รู้สึกเลยว่ามีการเปลี่ยนอีเมลไปใช้ Hotmail แต่ถ้าใช้อีเมล Free E-mail ที่เป็น domain คนผู้ให้บริการ Free E-mail  ต่างๆ ชื่อ domain มันจะผูกติดกับบริษัทนั้นๆ ไปเรื่อยๆ เค้าบังคับให้ใช้อะไรก็ต้องใช้ไป จะย้ายจะเปลี่ยนก็ต้องอีเมลบอกกันเป็นร้อยเป็นพันคน เหมือนกรณี Gmail ในตอนนี้เนี่ยแหละ ที่ถ้าเกิดเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้ก็ตัวใครตัวมันหล่ะ ซึ่งหลายคนใช้ @gmail.com กันเยอะขึ้น การย้ายทีก็บอกใหม่ทีซึ่งในอนาคตผมเชื่อว่ามันจะลำบากมากจริงๆ เพราะวันดีคืนดีบอกหยุดให้บริการหล่ะงานเข้ากันใหญ่ เพราะต้องมาย้ายหาที่อยู่ใหม่ เหมือนโดนไล่ที่

จากทั้งหมดทั้งมวลเอาเข้าจริงๆ ผู้ใช้ก็เหมือนโดนโยนกันไปโยนกันมา ในฐานะที่เป็นผู้ใช้งานต้องเตรียมตัวรับกับสิ่งเหล่านี้ให้ดี อย่างน้อยๆ ก็ต้องพร้อมที่จะย้ายบ้านได้ถ้าเจอบริษัททำวิธีการแบบนี้อยู่เนืองๆ กรณีนี้ Google น่าจะเห็นชัดสุดๆ ในปัจจุบัน เพราะผลกระทบเยอะและวงกว้างเห็นได้ชัดเจน คืออย่างน้อยๆ ก็คนใช้ iOS เนี่ยแหละต้องปรับตัว แต่ไม่ใช่ว่า Apple หรือ Microsoft ไม่ทำ สองบริษัทหลังนี่ก็ทำเหมือนกัน แต่ยังไม่เห็นผลชัดเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น เราผู้ใช้ต้องรู้เท่าทัน และสามารถที่ย้ายการใช้งานไป-มาได้ด้วยตัวเองด้วย เพื่อไม่ให้บริษัทพวกนี้มีอำนาจเหนือเรามากเกินไป (หรือง่ายๆ คือใช้ความเคยชินและข้อมูลของเราเป็นตัวประกัน) ส่วนตัวแล้วนั้นเชื่อว่าเราในฐานะคนใช้บริการมีทางเลือกเสมอ อย่าไปจมกับบริษัทพวกนี้มาก ถ้ามันรวมระบบกันแล้วไม่สนิทและทำงานแล้วลำบากก็ย้ายเสียแต่เนิ้นๆ เถอะครับ สรุปใช้ของฟรีมันก็แบบนี้แหละ ทำใจยอมรับกันไป คือทางเลือกมันมีนะ แต่อยู่ที่จะเลือกแบบไหน ><"

ย้ายจาก Google Apps มา Windows Live Admin Center (Custom addresses)

หลายคนคงยังไม่ทราบว่า Hotmail (Windows Live Mail) ของ Microsoft มีบริการชื่อ Windows Live Admin Center ซึ่งเป็นบริการสำหรับใช้ชื่อโดเมนของเว็บอื่นๆ นอกจากชื่ออย่าง hotmail.com, windowslive.com หรือ outlook.com ในการใช้อีเมลของ Hotmail เอง ซึ่งก็คล้ายๆ กับ Google Apps ของ Google ที่ให้บริการแบบนี้เช่นกัน

แน่นอนว่าส่วนตัวผมแล้วจะใช้ Google Apps มาก่อน แต่ด้วยความเข้ากันไม่ได้ของอีเมลภาษาไทยกับ Windows Phone 8 ในตอนนี้ที่ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ (รอแก้แล้วย้ายกลับก็ได้ ฮาๆๆ) เลยต้องย้ายมาใช้ Windows Live Admin Center แทน ซึ่งก็ต้องใช้การย้ายข้อมูลที่ใช้เวลาพอสมควร แต่ถ้าคนที่มีความรู้ด้านเครือข่ายไอทีแล้วก็ใช้เวลาย้ายไม่เกิน 10 นาทีต่อโดเมนเท่านั้น (ถ้าทุกอย่างพร้อมและข้อมูลครบจริงๆ) แล้วเสียเวลาย้ายข้อมูลไปอีกนิดหน่อย (ขึ้นอยู่กับว่าเยอะแค่ไหน)

การเข้าก็เง่ายๆ ไปที่ https://domains.live.com/ แล้วก็สมัครไปตามปรกติ

image

ถ้ามี account อยู่แล้ว ก็ใช้ได้เลย ก็ Add domain เพิ่มได้เรื่อยๆ ตรงนี้มีข้อดีกว่า Google ตรงที่ 1 Live ID สามารถสร้าง domain แยกจากกันได้สบายๆ

2012-12-07_133728

โดเมนนี้เราสามารถนำไปใช้กับ Windows Mesenger (Windows Live Live, MSN) ก็ได้

image

แต่ละ domain รองรับจำนวนอีเมลได้มากถึง 500 อีเมล (ข้อมูล ณ วันที่ 7 ธ.ค. 2555)

2012-12-07_133020

ผมสรุปโดยทั่วไป ณ ตอนนี้

  • ข้อเสีย Windows Live Admin Center ก็คือไม่รองรับ Alias name ของ e-mail ใน UI บนเว็บ ถ้าจะใช้งานต้องทำผ่าน web service และทำได้เพียง 5 alias/e-mail เท่านั้น (เขียนโปรแกรมไป call services)
  • ตัวระบบ Windows Live Admin Center มีบริการทั้ง Mail, Calendar, People (Contact) และ SkyDrive เป็นหลัก
  • สามารถทำ Co-branding ได้ เผื่อเปิดให้บริการ Free e-mail สำหรับลูกค้าก็ได้ด้วย
  • ตัว SkyDrive รองรับไฟล์ Microsoft Office ผ่าน Web Interface (เทียบเท่า Google Docs)
  • ถ้าใช้ Outlook อยู่แล้ว สามารถ Sync ผ่าน Outlook ได้เลยทั้ง Contact, Mail และ Calendar แต่ข้อเสียคือไม่รองรับ Todo list ที่มีบน Calendar (แต่ถ้าใช้ Google Apps คุณต้องจ่ายเงินค่า App Sync เข้า Outlook ด้วย)
  • ถ้าชีวิตใช้แค่ Mail, Calendar และ Contact อยู่แล้ว การย้ายจาก Google Apps มา Windows Live Admin Center ก็สบาย

บริการ Cloud ที่ใช้อยู่ตอนนี้

  • Google Apps for Business : $50 (1 user account / year)
  • Flickr PRO : $24.95 (1 user account / year)
  • Multiply Premium : $19.95 (1 user account / year)
  • Xmarks Premium: $12 (1 user account / year)

กำลังคิดว่าจะเพิ่มอีก 2 ตัวในตอนนี้ กำลังดูถึงความคุ้มค่า

  • Dropbox Pro 50 : $50 (1 user account / year)
  • Google additional storage 20 GB : $5 (1 user account / year)