เลิกเสียเงินกับ Google Apps/Evernote และหันมาใช้งาน Office 365 Small Business Premium

2013-03-10_190930

อันนี้เป็นการลองของก่อนขายจริง และในไทยยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการให้ใช้งานแต่อย่างใด (งงๆ กับการเปิดตัวเหมือนกัน คือเปิดตัวแต่ยังไม่มีของขาย ><“)

ส่วนตัวเมื่อปีสองปีก่อนผมเสียเงินให้กับ Google ในบริการ Google Apps for Business (เว็บให้บริการด้านข้อมูลบนกลุ่มเมฆ (cloud services) ถ้าดีก็จ่ายเงินเค้าเหอะ) ก็จ่ายปีละ $50 (ตกเดือนประมาณ $4 กว่าๆ) เพราะอยากได้อีเมลความจุเยอะๆ ทำงานแบบ Cloud มีความสามารถในการทำ Wireless Sync กับมือถือได้ ตอนแรกใช้ BlackBerry ต่อมาใช้ Android และตอนหลังมาใช้ Windows Phone แล้วก็เลิกใช้ไปตอนช่วงสิ้นปีที่ผ่านมาเพราะ ย้ายจาก Google Apps มา Windows Live Admin Center (Custom addresses) เพื่อใช้งานร่วมกับ Windows Phone 8 เพราะ Google Apps for Business มีปัญหาภาษาไทยกับ Windows Phone 8; พบข้อผิดพลาดในรหัสภาษาบน WP7.5/8 เมื่อตอบหรือส่งต่ออีเมลที่ใช้ร่วมกับ Google Mail เลยทำให้ยกเลิกการใช้งานไปโดยปริยาย ประหยัดไปปีละ $50 ไปก่อนแล้ว

สำหรับ Evernote นั้นที่ใช้แบบ Premium Account ก็คงเป็นช่วงเวลาประมาณเดียวกับที่ใช้ Google Apps for Business มาสักพักและใช้ Android Phone ใหม่ๆ พอดี ก็เลยได้ก็เสียเงินให้ Evernote แบบ Premium Account ไปเดือนละ $5 เพราะต้องการใช้ Notes ที่ทำงานบน Cloud ได้ มีระบบ PIN และ Offline Sync ไปพร้อมๆ กัน

เพราะฉะนั้นถ้าคิดรวมๆ กันระห่าง Google Apps for Business และ Evernote ตอนที่ผมใช้งานทั้งสองตัวควบคู่กันแล้ว ผมจะต้องจ่ายปีละ $100 เพราะ Evernote จ่ายเป็นรายปีราคาเท่ากับ Google Apps for Business เลย

2013-03-11_152005

แต่มาช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ยกเลิก Evernote แบบ Premium Account ไป เหตุผลไม่ใช่เพราะโดน Hack อะไรหรอก แต่เป็นเรื่องราคาความและความคุ้มค่าของสิ่งที่จ่ายไปแทน ซึ่งตอนนี้ผมเสียเงินให้ Office 365 รุ่น Small Business Premium (ต่อไปจะเรียกสั้นๆ ว่า Office 365 เฉยๆ) ในราคาค่าสมัครแบบเช่าใช้เดือนละ $15 (หรือตกปีละ $150) ต่อ 1 Username แทน ซึ่งด้วย 1 Username ที่ใช้ สามารถ sign-in เข้ากับ Microsoft Office 2013 เพื่อ activate ใช้งานได้ 5 เครื่อง (แต่ละเครื่องจะใช้ Username และ Password ของ Office 365 ในการ activate)  เพราะสิ่งที่ได้กลับมานั้นต่างกันมากมายเลยทีเดียว เพราะเจ้า Offie 365 รุ่นนี้มี Microsoft Office 2013 desktop version มาให้ด้วย โดยที่ให้มานั้นมี Microsoft Word, Excel, PowerPoint, Outlook, OneNote, Access, Publisher และ Lync นั้นจึงเป็นเหตุผลง่ายๆ ที่ซื้อแบบเช่าใช้แทนแบบ Retail version ตามปรกติที่ผมซื้อมาตั้งแต่ Microsoft Office 2007 และ Microsoft Office 2010 เพราะการเปลี่ยน version ของ Microsoft Office นั้นเริ่มถี่ขึ้นและการเปลี่ยน version ไป version ใหม่ๆ ของ Retail version ในราคาไม่หนีกับระยะเวลาการเช่าใช้งานแบบนี้เท่าไหร่ และอาจถูกกว่าด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับการได้ Desktop version ที่ให้มา ซึ่งจากคุณสมบัติของ Desktop version แล้ว ยังมี Office Web Apps และ Office Mobile Apps มาให้พร้อมสำหรับทำงานนอกสถานที่มาให้พร้อมเลย

2013-03-11_152101

ซึ่งหลายคนคงงงว่าแล้วไฟล์จะเก็บไว้ที่ไหนทำงานบน Desktop version มันจะไปทำงานบน Office Web Apps และ Office Mobile Apps ได้ยังไง คำตอบคือ SkyDrive Pro ที่ให้พื้นที่เก็บไฟล์ 7 GB แยกต่างหากออกมาอีกที (แยกจาก SkyDrive ตัวปรกติ) ซึ่งเจ้า SkyDrive Pro ทำงานอยู่บน SharePoint อีกที ซึ่งเป็น Private Online storage ของ user ของเราเองโดยใช้ Username และ Password ที่ activate กับตัว Office desktop version นั้นแหละในการเข้าถึง SkyDrive Pro ใน SharePoint ได้อัตโนมัติผ่านตัว Office 365 ที่เราเปิดอยู่ได้ทันที เพราะฉะนั้น ใครจะเอาวิธีการซื้อ 1 User แล้วแชร์ 5 เครื่องโดยแต่ละเครื่องใช้คนละคน ก็ทำได้ ถ้าไม่ได้ใช้แบบแชร์เอกสารระหว่าง Device กัน แต่มันทำได้ยากถ้าไม่ตั้งค่าให้ดีๆ (เอกสารสำคัญอาจหลุดได้ง่ายๆ ถ้าใช้วิธีนี้) โดยจะมีรายการว่ามีเครื่องใดว่า activate อยู่บนหน้า Admin page ของ Office 365 ของเรา สามารถ deactivate ได้ และหน้านี้จะเป็นหน้าที่เข้ามาดาวน์โหลดตัว Microsoft Office 2013 desktop version ไปใช้งานได้ด้วย (เลือกได้ว่าจะเอา 32bit หรือ 64bit)

2013-03-11_145302

ต่อมาคือเรื่องของอีเมลซึ่งผมถือว่าเป็นของแถมที่เอามาเทียบชั้น Google Apps for Business ได้สบายๆ และอาจดีกว่าในด้านที่มันทำงานกับ Desktop version อย่าง Outlook 2013 ได้สบายๆ ผ่าน Microsoft Exchange ตัวเต็มบน Office 365 ซึ่งคล้ายๆ กับของ Hotmail และ Gmail เป็น Exchange ActiveSync (EAS) ที่มีคุณสมบัติคล้ายๆ กัน แต่ตัวนี้ใหม่สดกว่า คือ Sync Notes และ Task ได้ด้วย ซึ่ง EAS ของ Hotmail จะ Sync ตัว Notes และ Task ไม่ได้ ส่วนของ Gmail ทำได้เพราะ Google เขียนเพิ่มเติมผ่าน Outlook Sync ที่เป็น Desktop sync ที่ลงเพิ่มเติมเป็นของตัวเองและวิ่งเข้า Google Docs ที่ตัวเองมีแทน

2013-03-11_151845

โดยเจ้าระบบอีเมล Microsoft Exchange บน Office 365 ตัวนี้ใช้งานบนชื่อ Domain name ของตัวเองได้แบบเดียวกับ Google Apps for Business โดยให้พื้นที่ Username ละ 25GB เลยทีเดียว

นี่ยังไม่รวม Lync ที่ดูเหมือนจะยังไม่จำเป็นในตอนนี้ เพราะใช้อยู่คนเดียวอีกนะ ถ้าใช้หลายๆ คนอาจจะได้ใช้ความสามารถของมันภายในอีกเยอะ อย่าง Newsfeed ที่ด้านในเป็น Private Social Network สำหรับพนักงานด้วย นี่ยังไม่รวมเรื่องระบบ Call meeting, VOIP, PABX อะไรพวกนี้อีก ซึ่งผมว่ากว่าจะเข้าไทยไม่รู้ว่าต้องผ่าน กสทช. หรือเปล่านี่ดิ

2013-03-11_152206

และสุดท้ายตัว Office 365 มี Microsoft OneNote มาให้ และมันทำงานได้ดีกับ SkyDrive Pro ทำให้สามารถ Sync ข้อมูลบน Cloud ได้ทันทีเลย แถมมี Function เยอะกว่าเจ้า Evernote เสียด้วย

2013-03-11_152742

เพราะฉะนั้นถ้าดูแล้ว Office 365 Small Business Premium นั้นคือส่วนผสมของ Google Apps for Business, Evernote และ Microsoft Office Retail มารวมกันเลย ซึ่งสำหรับผม ถ้าลองคิดดูว่าผมเสียเงินรายปี 1-2 ปีและ Office Retail กล่องละ 6-7,000 บาทแล้ว ราคาโดยรวมแตกต่างกันไม่มากนัก แต่ที่ต่างคือ ค่อยๆ จ่ายใช้งานเป็นแบบเช่าใช้แทน ทำให้ดูว่าค่าใช้จ่ายต่อครั้งที่จ่ายดูน้อยและจ่ายได้ ราคาประมาณดูหนัง 1-2 เรื่อง หรือราคาเท่าๆ กับดื่มกาแฟ Starbucks 5 แก้ว อะไรแบบนั้น

เว็บให้บริการด้านข้อมูลบนกลุ่มเมฆ (cloud services) ถ้าดีก็จ่ายเงินเค้าเหอะ

เว็บให้บริการด้านข้อมูลบนกลุ่มเมฆ (cloud services) นั้นเริ่มทำให้ผมต้องจ่ายเงินรายปีมาตั้งแต่ต้นปี 2009 แล้วหล่ะครับ ส่วนตัวแล้วมี Server เป็นของตัวเองวึ่งเป็น Co-locations อยู่ แต่ที่ผมใช้บริการพวกนี้ อาจจะเพราะต้องการอะไรที่มากกว่าพื้นที่เก็บข้อมูลหล่ะมั้ง

ตอนนั้นผมสมัครใช้บริการเว็บให้บริการบนกลุ่มเมฆที่คุณสมบัติมากกว่าที่เค้าให้บริการฟรีอยู่ 1 เว็บเป็นการประเดิม นั้นคือ Multiply ในรูปแบบ Premium Member เป็นเว็บที่ผมจ่ายเงินให้เป็นเว็บแรก เพียงเพื่อใช้งานในการเก็บรูปภาพของผมได้ไม่จำกัด การไม่แสดงผลโฆษณาในหน้าเว็บที่ผมใช้งานอยู่ (ป้ายมทันใหญ่ใช้ได้เลย รำคาญน่ะ) และยังคงข้อมูลไฟล์รูปภาพทั้งหมดไว้ตราบที่ผมยังคงจ่ายเงินใช้บริการรายปีต่อไปเรื่อยๆ ในราคาค่าบริการปีละประมาณ 700 บาทได้ ($19.95/Year) ด้วยข้อเด่นที่ยังคงมีอยู่ในทุกวันนี้คือชุมชนคนถ่ายภาพที่เยอะจึงเหมาะแก่การจ่ายเงินเพื่อคงข้อมูลรูปภาพต่างๆ ไว้อย่างดีที่สุด (จ่ายเงินแล้วก็น่าจะได้บริการการ backup ข้อมูลที่ดีกว่า)

พอสักพัก ผมรู้สึกว่าผมอยากได้พื้นที่สำหรับเก็บภาพสำหรับอัพรูปเป็นรายครั้งมากกว่ารายอัลบั้มที่มีลักษณะเป็น Stream ซึ่ง Flickr ตอบวิธีคิดนี้ได้ดีมากๆ ในค่าบริการรายปีเช่นกัน โดยมีค่าบริการแพงกว่า Multiply Premium อยู่แลกน้อย แต่สิ่งที่ดีมากกว่า Multiply คือคุณภาพของการเก็บไฟล์และแสดงผลรูปที่มีคุณภาพดีกว่ามาก (ไม่เบลอหรือบีบอัดไฟล์รูปแบบย่อลงไปจนเสียคุณภาพ) พร้อมระบบ Web Services API ที่ล้ำสมัยกว่า Multiply มาก ทำให้การจ่ายเงินจึงไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยจากความต้องการ ประกอบกับ Pro Member ของ Flickr นั้นได้ความแตกต่างจาก Free Member เยอะกว่า Multiply อย่างเห็นได้ชัด ทำให้ราคาประมาณเกือบ 800 บาท ($24.95/Year) จึงไม่แพงจนเกินไปนัก

ผมใช้ Services ทั้งสองเว็บมา 2 ปี และไม่มีเว็บไหนโดนใจในการจ่ายเงินผมลงไปจนกระทั้งปลายปี 2010 Extension ของ Firefox อย่าง XMarks ที่ผมใช้ในการ Sync Bookmarks ทั้ง 3 Web Browser นั้นเข้ามาทำให้ผมต้องจ่ายเงิน เพราะผมทำงานด้าน Web Developer การต้องมานั่งใช้ Bookmarks ที่ไหนที่นึงเป็นหลักแล้วโยกไปโยกมาระหว่าง Browser เป็นเรื่องปวดหัวมากๆ การมีระบบ Sync ข้ามกันไปมาย่อมดีกว่ามากๆ แถมระบบ Open Tab Sync ที่ช่วย Sync ระหว่าง Browser ทำให้ผมทำงานง่ายขึ้นเยอะมาก โดยผมไม่ต้องกรอก url ใหม่ตลอดเวลา ก็เลยสะดวกและทำงานเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นการจ่างค่าบริการ XMarks Premium ในราคาเกือบ 400 บาทต่อปี ($12/Year) จึงสมเหตุสมผลมากๆ ซึ่งได้เรื่องการ Sync เข้า iOS, BlackBerry และ Android ได้ด้วย แถมระบบ Backup ย้อนหลังได้ 3 เดือนทำให้ผมมีระบบ Backup Bookmark ที่ดีไปในตัว ซึ่งสำหรับผมแล้ว Bookmark ถือว่าสำคัญมากๆ เพราะมันคือการเก็บบันทึกการใช้งานเว็บผมไปในตัวด้วย

พอมาปี 2011 ก็สมัคร Google Apps for Business ปีละประมาณ 1,500 บาท เพื่อทำ Cross sync ตัว Contact/Calendar/Mail ระหว่าง Microsoft Outlook กับตัว Google Apps เพื่อให้ทำ Wireless Sync กับอุปกรณ์ทั้งหมดที่ผมพกพาตั้งแต่ BlackBerry, iPod Touch 4 และ HTC Pharos อีกทีนึง แน่นอนเป็นราคาใช้บริการรายปีที่แพงมากสำหรับผม แต่เมือ่ได้ทดลองใช้มาเกือบ 3 เดือน (trial 1 เดือนด้วย) ช่วงแรกจะปวดหัวมากในการปรับตัวและ Clean Sync มี Contact/Calendar ซ้ำเยอะ ต้องไล่ๆ ปรับอยู่หลายวัน แต่สุดท้ายก็เป็นไปได้ด้วยดี เวลามี Contact/Calendar ใส่เพิ่มหรือแก้ไขเข้ามา ทุกอย่าง Sync ถึงกันหมดผ่านอากาศ โดยไม่ต้องพึ่งสาย กลายเป็นสายเป็นแค่ที่ชาร์จแบตฯ ของอุปกรณ์เท่านั้นในตอนนี้ คือถ้าใครไม่ได้สัมผัสการใช้งาน Wireless Sync จะไม่รู้เลยว่ามันสะดวกแค่ไหนในการใช้งาน อีกอย่างทำแบบนี้แล้วข้อมูลของเราไม่ว่าจะเป็น Contact/Calendar จะปลอดภัยเพิ่มขึ้นในเรื่องเวลาอุปกรณ์โดนขโมยอย่างน้อยๆ ก็ยังมีข้อมูลเหลือให้เรานำไปใช้ต่อไปได้ในอนาคต

ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วใช้บริการ services แบบ cloud พวกนี้อีกหลายตัวที่ยังใช้งานฟรีอยู่อย่างเช่น Dropbox (cloud storage), Evernote (cloud notable) และ Picasa Web (cloud photo album) ส่วนตัวอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงก็คือใช้ออกแนวเล่นๆ ไม่ได้จริงจังอย่างตัวที่ได้กล่าวๆ มา จริงๆ แล้วอยากใช้ Dropbox และ Evernote นะ แต่ว่าตัวเลือกมีน้อย ตัวต่ำสุดก็แพงยังคงไม่เห็นจุดคุ้มในการใช้งาน ส่วน Picasa Web ก็ดูจะเป็นแค่ตัวสำรองสำหรับ Flickr มากกว่า แฮะ ….

เร็วๆ นี้ผมก็กำลัง ย้ายจาก Multiply ไป Flickr อย่างเต็มตัว และรูปภาพเซ็ตหลังๆ ผมจะอยู่ที่ Flickr เท่านั้น ส่วนภาพเก่าๆ จะทยอยใส่ลง Flickr ทั้งหมด ส่วน Multiply ก็ดูแล้วจะคงได้เวลาหมดสัญญาไปเสียทีหล่ะมั้ง ส่วนเรื่องชุมชนคนถ่ายภาพนั้นก็ยังคงอยู่ แต่คงเป็นแค่ลักษณะโพสภาพเล็กๆ น้อยๆ เรียกคนเข้า Flickr แทน ;P เพราะเหตุผลแท้จริงๆ ในการทำอัลบั้มรูปคือคุณภาพของรูปที่แสดงเป็นหลัก ซึ่งผมลืมข้อนี้ไปเสียสนิท และนั้นก็ยังผลมาถึงคำถามต่อคุณภาพของ Multiply ที่แย่ลองและเมื่อเทียบกับ Flickr แล้ว นับวันยิ่งเห็นความต่างเยอะ อีกทั้งความคมชัดของภาพก็แย่ลงเรื่อยๆ และผมเริ่มรับไม่ได้ อีกทั้งระบบจัดการรูปก็ไม่พัฒนา มีแต่อะไรก็ไม่รู้ที่ก็ไม่ได้เรื่องสักอย่างมากขึ้นทุกวัน ส่วนรูปใน Flickr กว่า 3,000 รูปก็กำลังจัดระเบียบพวก tags/sets/collections ใหม่ทั้งหมด และ Backup Original ไว้อีกชุดนึง ผ่านโปรแกรม Bulkr ที่ได้ชื่อว่าเป็น Flickr Organizer บน Windows ที่พึ่งซื้อมา (ประมาณ 800 บาท) แล้วทำการ Sync เพื่อ Backup เข้าเครื่องคอมฯ แล้วก็ส่งเข้า Folder ของ Dropbox เพื่อ Sync Backup อีกชั้นนึงด้วย (ซับซ้อนโคตร)

ส่วนตัวแล้วคือใช้ Flickr เป็นแผนระยะยาว เพราะต้องการที่จะใช้ Flickr ในส่วนของ Web Service API ในการทำ Photo Gallery ต่อไป ส่วน Multiply ระบบ Web Service API ไร้ซึ่งทิศทางมาสักพักแล้ว เพราะตอนออกมาใหม่เหมือนจะดี แต่สุดท้ายก็ เงียบ และผมหมดความอดทนที่จะรอใช้แล้วน่ะครับ

ฝากนิดนึง สำหรับคนใช้งานแนวๆ ผมหรือใช้บางตัวนั้น ถ้าเราใช้แต่ของฟรีในเน็ตกันจนเคยตัว แล้วเมื่อมีอยู่วันนึงที่เราอาจจะจำเป็นต้องจ่ายเงินเพื่อบริการที่ดีกว่ากลายเป็นไปต่อว่าเค้า หาว่าเค้าหน้าเลือด ลืมไปหรือเปล่าว่าคนทำงานเหล่านั้นเค้าก็คนที่กินข้าว มีภาระและความจำเป็นเท่าๆ กับเรา ผมว่าคำพูดพวกนี้สำหรับบางคน “เอาแต่ได้กันเกินไปหรือเปล่า” … เราในฐานะคนใช้บริการ เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ใช้ถ้าไม่พอใจในราคาดังกล่าว (เราจ่ายไปแล้ว เรายังขอเงินคืน ก็ยังได้เลย) และแน่นอนถ้าเราพอใจ เราก็สมควรที่จะจ่ายไม่ใช่หรือครับ ^^