แนะนำแอปฝากไฟล์เอกสาร รูปภาพ วิดีโอ และเพลงบน True Cloud ที่จะให้พื้นที่ใช้งานไม่จำกัด

เดี่ยวนี้เรามักใช้มือถือจัดเก็บข้อมูลไฟล์เอกสารมากมายลงไปในนั้นเพื่อความสะดวกในการพกพา และใช้งานในโอกาสที่จำเป็น เวลาไปท่องเที่ยว หรือพักผ่อน เราก็ถ่ายรูป-วิดีโอ และจัดเก็บไฟล์เหล่านั้นไว้ เพื่อบันทึกความทรงจำ บ่อยครั้งที่เราต้องสำรองข้อมูลเหล่านี้เพื่อป้องกันการสูญหาย ทั้งจากเหตุการณ์เครื่องหาย โดนลบโดยไม่ได้ตั้งใจ รวมไปถึงการแชร์ข้อมูลเพื่อใช้งานระหว่างเครื่องหากเรามีเครื่องหลายๆ เครื่องไว้ใช้งาน

office-336368_1920

เพราะเรื่องราวระหว่างการเดินทางไปท่องเทียว เราก็อยากเก็บไว้อย่างปลอดภัย รู้สึกว่าข้อมูลทั้งเอกสาร ภาพถ่าย และวิดีโอเหล่านี้สำคัญในการช่วยบันทึกความทรงจำ นั้นทำให้เราต้องหาบริการที่จัดเก็บข้อมูลที่มั่นคงและเข้าถึงได้สะดวก

ทางเลือกหนึ่งคือการจัดเก็บมูลเหล่านั้นไว้บน Cloud ที่ช่วยให้เราสามารถจัดเก็บ สำรอง และเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นไว้ให้อยู่กับเราไปตลอด

2016-11-13 13.55.17-1 2016-11-13 14.15.18 HDR-1

2016-11-11 07.41.21 HDR-1 2016-11-13 14.04.02-1 2016-11-11 20.23.31-1 2016-11-13 20.28.05-1

วันนี้ผมมาแนะนำบริการ True Cloud จาก True ที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้ Cloud ที่ดีที่สุด กับบริการฟรีหากคุณใช้เครือข่าย TrueMove H คุณก็จะได้พื้นที่ในการบันทึกสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ไม่จำกัด ช่วยให้เราสะดวกสบายมากขึ้น

โดยทาง  Truemove H จัดแพ็กเกจเอาใจชาวสมาร์ทโฟนที่ต้องการเชื่อมต่อโลกออนไลน์ให้เล่นเน็ต 4G+ และสามารถใช้งานร่วมกับ True Cloud ได้เร็วแรงต่อเนื่องไม่มีสะดุด โดยข้อเสนอรับเน็ตฟรี เดือนละ 2 GB นานกว่า 20 เดือน (รวมทั้งหมด 40 GB) ซึ่งทำให้นำมาใช้งานร่วมกับการฝากไฟล์รูปภาพ วีดีโอ เพลง บน True Cloud ได้อีกไม่อั้นผ่านแอพ True ID วิธีการใช้งานก็เพียงแต่ ดาวน์โหลดแอพ TrueID ได้จาก Link ต่อไปนี้ iOS | Android ก่อน แล้วเปิดเบอร์ใหม่กับทางทรูมูฟ เอชแบบรายเดือน พร้อมกับสมัครแพ็กเกจรายเดือน 4G+ Super Smart 499 ขึ้นไป ก็จะได้รับเน็ตตามแพ็กเกจหลัก 2GB บวกกับรับเน็ตฟรีอีก 2GB และพิเศษกับการรับการรับเน็ตเพิ่มเติมอีก 2GB ต่อเดือน นาน 20 เดือน ซึ่งทำให้สามารถใช้เน็ตในแต่ละเดือนได้มากจุใจถึง 6GB กันเลยทีเดียว

image

การใช้งาน True Cloud ภายในแอป TrueID ทำได้ดังต่อไปนี้

เมื่อเปิดแอป TrueID ให้เข้าไปที่ Setting (รูปฟันเฟืองมุมขวา) แล้วเลือก SYNC

Screenshot_2016-11-21-12-12-54 Screenshot_2016-11-23-02-11-14

เลือก Enable sync และเลือกชนิดข้อมูลที่ต้องการ Sync ได้ตามต้องการ และเลือกว่าอยาก Syncing Method แบบไหน เช่น ให้ Sync กับ Cellular data + Wi-Fi หรือ Wi-Fi Only

Screenshot_2016-11-23-02-14-47 Screenshot_2016-11-23-02-14-53

พอปรับแก้พวก Setting ต่างๆ แล้ว เราก็พร้อมกับการใช้งาน True Cloud

ไปที่ส่วนของ Access เป็นส่วนหลักในการเข้าใช้งาน True Cloud โดยจะเป็นไปตามประเภทของไฟล์ที่เราจะใช้งาน

โดยแบ่งตามประเภทดังต่อไปนี้

  1. Photos
  2. Videos
  3. Music
  4. Contact
  5. Files

สำหรับในส่วนสุดท้ายจะเป็นอีเมลของเราบน @itruecloud.com

Screenshot_2016-11-21-12-12-59 Screenshot_2016-11-21-17-39-00

ในส่วนที่อยากแนะนำคือส่วนของ Photos, Videos และ Files เพราะเป็นส่วนที่ใช้ผมใช้เยอะสุดแล้ว

โดยในส่วนของ Photos และ Videos จะคล้ายๆ กัน คือไฟล์ทุกไฟล์ในเครื่องเราเพียงแค่กดปุ่ม Sync Now ตัวแอป trueid จะทำการหาไฟล์แล้วโยนอัพโหลดเข้า True Cloud ให้เราให้ทันที ซึ่งทำให้เราไม่ต้องมาคิดมาว่าไฟล์ไหนบ้างจะถูกโยนขึ้นไปบนนั้น

สำหรับในการจัดการไฟล์ก็ไม่ยาก สามารถแชร์และลบไฟล์ได้ รวมไปถึงดาวน์โหลดกลับมาก็ยังได้

Screenshot_2016-11-21-12-49-30 Screenshot_2016-11-21-12-51-23 Screenshot_2016-11-21-13-10-02

Screenshot_2016-11-21-13-09-23 Screenshot_2016-11-23-02-31-19 Screenshot_2016-11-23-02-31-30

Screenshot_2016-11-23-02-11-23 Screenshot_2016-11-23-02-28-42

ในส่วนของไฟล์เอกสาร นั้นในตัว True Cloud มีให้เราใส่เอกสารลงไป แล้ว sync ขึ้น True Cloud ทำให้เราไม่ต้องกลัวข้อมูลสูญหาย อีกทั้งยังสามารถกำหนดให้เป็นแบบส่วนตัวหรือสาธารณะหรือให้ผู้อื่นใช้งานร่วมกับเราก็ได้ แชร์ไฟล์ให้เข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลาทุกอุปกรณ์ผ่านเครื่อข่ายอินเตอร์เน็ต

Screenshot_2016-11-23-02-04-09 Screenshot_2016-11-23-02-32-27

จากทั้งหมดที่กล่าวมาบริการ True Cloud จาก True ช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้ Cloud ที่ดีที่สุด ผ่านเครือข่ายทรู 3G/4G/Wifi by TrueMove H/True Online ซึ่งสามารถใช้กับสมาร์ทโฟน 4G ทั้ง iOS และ Android เพียงเปิดเบอร์หรือหรือย้ายค่ายมา TrueMove H รับเน็ตฟรี 40 GB และบริการ True Cloud ฟรีไม่อั้น

ข้อมูลโปรโมชั่นสำหรับลูกค้ารายเดือนและเติมเงิน

image

แนะนำบริการออกใบรับรองอิเลคทรอนิกส์ (Digital Certificate) จาก CAT Certification Authority

ด้วยการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน ความเชื่อถือในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันนั้นสำคัญมาก และการสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมฯ ก็คือการนำใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ควบคู่กับการทำธุรกรรมฯ ดังกล่าว โดยใบรับรองที่กล่าวถึงนั้นเป็นข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ยืนยันว่าข้อมูลมิได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขระหว่างทาง และบ่งบอกถึงความมีตัวตน ของผู้ใช้งาน หรืออุปกรณ์เครือข่ายนั้นๆ  ทำให้มั่นใจได้ว่าธุรกรรมฯ ที่กำลังติดต่ออยู่นั้นมีตัวตนจริง ใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์จะออกโดยผู้ให้บริการออกใบรับรอง (Certification Authority หรือ CA) โดยอาศัยเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานกุญแจสาธารณะ (Public – Key Infrastructure หรือ PKI) เพื่อนำไปใช้ในการรักษาความลับของข้อมูล การรักษาความถูกต้องของข้อมูล การยืนยันตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของใบรับรอง และการห้ามปฏิเสธความรับผิดชอบ ในขั้นตอนการยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรม

บมจ. กสท โทรคมนาคม จัดให้มีบริการออกใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (CAT Certification Authority) ภายใต้ชื่อ บริการ CAT CA ซึ่งมีทั้งหมด 2 ประเภท คือ

  • Personal Certificate ใบรับรองอิเลคทรอนิกส์ที่ออกให้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล เพื่อนำไปใช้สำหรับรับ-ส่งอีเมลแบบเข้ารหัสและลงรายมือชื่อดิจิตอลได้ (Secure e-mail, Digital Signature) หรือผ่าน Application ที่รองรับมาตรฐาน X.509
  • Web server Certificate ใบรับรองอิเลคทรอนิกส์ที่ออกให้แก่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ให้บริการ

การดำเนินงานของผู้ให้บริการออกใบรับรองในช่วงของการออกใบรับรอง (CA Actions during Certificate Issuance)

  1. เจ้าหน้าที่รับลงทะเบียนตรวจสอบความถูกต้อง ความสมบูรณ์ของสาระสำคัญในใบคำขอและเอกสารประกอบคำขอใช้ใบรับรองที่ผู้ใช้บริการแสดงไว้ เพื่อพิจารณาอนุมัติหรือปฏิเสธคำขอใบรับรอง และแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ใช้บริการรับทราบ
  2. เมื่อเจ้าหน้าที่รับลงทะเบียนอนุมัติคำขอใบรับรองแล้ว จะร้องขอและตรวจสอบ CSR File (กรณีที่จำเป็นต้องใช้) จากผู้ใช้ใบรับรอง จากนั้นจะบันทึกข้อมูลตามใบคำขอ และออกใบรับรอง
  3. เจ้าหน้าที่รับลงทะเบียน แจ้งผู้ใช้ใบรับรองให้ทำการตรวจสอบความถูกต้องใบรับรองที่ออกให้ก่อนส่งมอบใบรับรอง
  4. เจ้าหน้าที่รับลงทะเบียนส่งมอบใบรับรอง ให้ผู้ใช้บริการผ่านช่องทางที่เหมาะสม และจะแจ้งผลการออกใบรับรองเป็นเอกสาร หรือผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ผู้ใช้ใบรับรองทราบเป็นการต่อไป

การออกใบรับรองทั้ง Personal Certificate และ Web server Certificate มีความแตกต่างในการการให้บริการดังนี้

ประเภท Personal Certificate

เป็นบริการที่มีไว้สำหรับรับรองความมีตัวตนของ Entity ดังนี้

  1. รับรองความมีตัวของบุคคลธรรมดา จะตรวจสอบจากบัตรประจำตัวประชาชน และ/หรือสำเนาทะเบียนบ้านเป็นต้น
  2. รับรองความมีตัวตนของนิติบุคคล/องค์กร จะตรวจสอบจากหนังสือบริคณห์สนธิ/หนังสือรับรองการจัดตั้งองค์กร , หนังสือแต่งตั้งผู้ดำเนินการแทนองค์กร รับรองโดยผู้มีอำนาจลงนาม และ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ดำเนินการแทนองค์กร เป็นต้น

ประเภท Web Server Certificate (SSL)

เป็นการให้บริการแบบ Dedicated SSL โดยจะตรวจสอบความถูกต้องเจ้าของโดเมนและตัวตนขององค์กรที่ระบุไว้ในการสมัครขอใช้บริการ และต้องยื่นเอกสารจัดตั้งหน่วยงานหรือหนังสือรับรองหน่วยงานประกอบการขอใช้บริการเพื่อเจ้าหน้าที่รับลงทะเบียนนำไปพิจารณาอนุมัติสำหรับการออกใบรับรองต่อไป

ใบรับรองทั้ง Personal Certificate และ Web Server Certificate เป็นการออกให้โดย CAT Certification Authority (CAT CA) ในฐานะผู้ให้บริการออกใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งใช้เครื่องมือในการออกใบรับรองของ Entrust ซึ่ง CAT CA ได้เลือกใช้ใบรับรองที่ออกโดย Entrust ซึ่งถูกจัดลำดับความน่าเชื่อถือระดับสูง และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้บริการ

โดยขั้นตอนการ issue, reissue และ revoke ทั้ง Personal Certificate และ Web Server Certificate มีขั้นตอนตามแผนภาพด้านล่างนี้

catca

จากทั้งหมดที่กล่าวมานั้น การออกใบรับรองเป็นการดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจาก CAT CA โดยเป็นเจ้าหน้าที่ของ CAT ที่ผ่านการอบรมเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญต่อการให้บริการ และยังประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องลงทุนสูง เพียงลงทุนเพิ่มในส่วนของค่าใช้จ่ายบริการรายปี ถือว่าเป็นการลงทุนที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับจากการนำใบรับรองอิเลคทรอนิกส์มาใช้

มารู้จักกับ CAT Data Center และพาเยี่ยมชมภายใน ที่นี่มีอะไรน่าสนใจบ้าง

เมื่อต้นเดือนผมได้ไปเยี่ยมชม CAT Data Center ที่บางรักมา เลยมีเรื่องมาเล่าให้ฟังกันยาวๆ สักหน่อย โดยส่วนที่ผมเข้าไป เป็นโซนชั้นที่ 14 ซึ่งตกแต่งสวยงามเป็นระบบดีครับ

สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจว่าที่แห่งนี้ให้บริการอะไร ก็ต้องอธิบายไว้ว่า บริการ Data Center เป็นการให้เช่าพื้นที่ภายในศูนย์ข้อมูล ซึ่งประกอบไปด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีทั้งอุปกรณ์เครือข่าย ชุดวงจรสื่อสารทั้งใน-ต่างประเทศ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องที่จะควบคุมสภาพแวดล้อมภายในไว้ให้คงที่ เช่น ระบบป้องกันการเกิดอัคคีภัย อุณหภูมิ การไหลเวียนอากาศ ระบบสำรองไฟฟ้า การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต และระบบรักษาความปลอดภัย

Front-2

Front-1 meeting room-1

Reception-1 Reception-2

สำหรับที่ CAT Data Center แห่งนี้ ผ่านการรับรองมาตรฐานการให้บริการ ISO 27001: 2013 มั่นใจได้ทั้งระบบรักษาความปลอดภัย และมีระบบไฟฟ้าที่รับไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าถึง 2 แหล่งจ่าย พร้อมระบบชุดสำรองไฟ (UPS) 2 ชุด ที่จ่ายไฟสำรองได้นานกว่า 30 นาทีและมีระบบสำรองไฟแบบ Generator จ่ายไฟสำรองได้นานกว่า 48 ชม.ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

CAT data center มีให้บริการหลากหลาย มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

บริการให้เช่าพื้นรับฝากเซิร์ฟเวอร์ (Server Co-location) มีตั้งแต่ 1 U จนถึง 42-U Rack ทั้ง Shared Rack และ Full Rack

1 image

โดยมีบริการขั้นต้นคือ

  • เชื่อมต่อ Internet ด้วย Port ขนาด 10/100 Mbps (สามารถเพิ่มเป็น 1Gbps ได้)
  • การเชื่อมต่อทั้ง International และ Domestic รวมทั้ง Data Center มี bandwidth ให้ที่ระดับ 10 Gbps
  • บริการ IP Address
  • บริการ Traffic Monitoring
  • บริการจัดการโดเมนเนม
  • กระแสไฟฟ้าสูงสุด 32 Amp ต่อ 1 Rack
  • เจ้าหน้าที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

ทำความรู้จักกับ ISO 27001: 2013 ที่นำมาใช้ใน CAT Data Center

เป็นมาตรฐานระบบความปลอดภัยที่แน่นหนา และเข้มงวดโดยเน้นการปกป้องข้อมูลสารสนเทศ (Information) ให้มีคุณสมบัติ 3 ประการคือ

  • Confidential การปกป้องสารสนเทศให้เข้าถึงได้เฉพาะผู้ที่มีสิทธิ
  • Integrity: ปกป้องความถูกต้องสมบูรณ์ของสารสนเทศไม่ให้ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงผิดไปจากความเป็นจริง
  • Availability :สร้างความเชื่อมั่นว่าระบบสารสนเทศพร้อมใช้งาน

ฉะนั้นการเข้า-ออก CAT Data Center จะมีกระบวนการตามแบบที่ ISO 27001 กำหนดไว้โดยลูกค้าสามารถเข้า-ออกได้ตลอด24 ชม.โดยแต่ละบริษัทจะมีผู้ที่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงระบบ (Contact Point) จำนวน 2 ท่านโดยพื้นฐานและสามารถเพิ่มเติมได้ โดยการสแกนนิ้วมือและมีการ์ดเพื่อเข้าถึงระบบ กรณีมีผู้ติดตามจะต้องแจ้งรายชื่อกับเจ้าหน้าที่ก่อนเสมอ การนำอุปกรณ์เข้าออกต้องกรอกแบบฟอร์มและได้รับการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่เสมอกรณีที่ผู้ที่มีสิทธิ์มิได้มาด้วยต้วเองจะต้องส่งอีเมลหรือแฟกส์ล่วงหน้า 1 วัน

พอเรารู้ข้อกำหนดแล้วมาชมภาพภายในกันดีกว่าโดยภาพทั้งหมดนี้ได้รับการอนุญาตจากทาง CAT Data Center แล้วว่าสามารถเผยแพร่ได้

image

Co-lo1-1 247247

ทางเข้านั้นมีการกำหนดให้ใช้รหัส และการแสกนนิ้วก่อนเข้า เพื่อควบคุมการเข้าถึงภายในผ่านเจ้าหน้าที่ และผู้มีสิทธิ์ในการเข้าถึงเท่านั้น ภายนอก มีโต๊ะ และเก้าอี้สำหรับจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ก่อนนำเข้าห้อง พร้อมชุด console สำหรับต่อกับเครื่องภายในห้องไว้ให้บริการด้วย

Co-lo1-5 Co-lo1-4

เครื่องต่างๆ ที่ลูกค้าวางไว้ภายใน จะอยู่ใน Rack ที่มีกรงป้องกันการเข้าถึงหน้าเครื่องอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยมิได้รับอนุญาตจากลูกค้ารายอื่น ที่เข้ามาใช้บริการ

Co-lo1-6 Co-lo1-3

แน่นอนว่านอกจาก Rack ตามข้างต้นแล้ว ยังมีบริการแบบ

บริการห้องเปล่าที่ล้อมด้วยกรง หรือ Cage Co-Location

บริการห้องวีไอพี หรือ Suite Co-Location ที่มาพร้อมกล้อง CCTV และ Proximity Card Access Control สำหรับแต่ละห้อง

Co-Lo2 Carrier zone-1 Co-Lo2 Carrier zone-2

Co-Lo2 Carrier zone-3 Co-lo1-2

CAT ยังมีบริการห้อง Carrier room สำหรับวางวงจรสื่อสารที่เชื่อมต่อไปภายนอกโดยผู้ให้บริการ internet (ISP) รายอื่น ๆ ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้สามารถเลือกเชื่อมต่อไปยังผู้ให้บริการโครงข่ายรายอื่นได้อย่างอิสระ

พื้นที่สำหรับให้เช่าพื้นที่สำนักงานชั่วคราว (Temporary Office) พร้อมอุปกรณ์สำนักงาน และ Internet ความเร็วสูงสำหรับลูกค้ามีความต้องการ

โดยบริการสำนักงานชั่วคราวขั้นต้นนั้นจะมีดังนี้

  • มีสายสัญญาณ Internet ความเร็วสูง
  • เฟอร์นิเจอร์ (ตู้เก็บของ โต๊ะ เก้าอี้)
  • ระบบไฟฟ้า แสงสว่าง ตลอด 24 ชั่วโมง
  • ระบบน้ำ และระบบปรับอากาศ ตลอด 24 ชั่วโมง

247242 247241

Temp office-5 Temp office-4

Temp office-1 Temp office-2

image

สำหรับการเข้าไปชมพื้นที่ในชั้น 14 นี้ ถือเป็นของใหม่ของผมพอสมควรเพราะปรกติผมเข้าไปชั้น 13 มากกว่า ส่วนในชั้น 14 นี้ถือว่าเป็นเฟสใหม่กว่าชั้น 13 (เปิดตัวประมาณปี 2554) จุดเด่นเท่าที่ได้สัมผัสคือ แอร์เย็นมาก ระบบไฟต่างๆเป็นแบบวางใหม่ ปลั๊กไฟ 2 เฟสเฟสละ 5 ช่อง การเดินสายสัญญาณสื่อสารไม่ได้เดินจากด้านใต้ของ Rack แต่เดินบนเพดานแทนทำให้การเดินสายทำได้ง่ายกว่ามาก แบ่งโซนระบบดับเพลิงด้วยสารเคมีที่แบ่งเป็นโซนแทนทั้งห้อง

และภายหลังจากเหตุไฟดับเมื่อ 2 ปีก่อน CAT data center ได้ปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยและระบบไฟฟ้าใหม่

image image

image image

นอกจากนี้ CAT ยังสร้างศูนย์ Data Center แห่งใหม่ ในชื่อ CAT data center Nonthaburi II ที่มีการออกแบบและก่อสร้างให้มีเสถียรภาพสูงเพื่อเป็นอาคารที่ให้บริการ Data Center โดยเฉพาะ ผ่านการรับรองมาตรฐาน Trusted Site Infrastructure Certificate (TSI Certificate) Level 3 แห่งแรกและแห่งเดียวใน ASEAN รองรับการใช้งานในลักษณะ Mission Critical ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

image

image

สำหรับ CAT Data Center ในพื้นที่อื่นๆ ก็จะมีที่ นนทบุรี, ศรีราชา, เชียงใหม่, ขอนแก่น, ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี

ซึ่งต้องอธิบายสักนิดว่า Data Center แบ่งออกเป็น 4 Tier ด้วยกันคือ

  • Tier I: Basic Capacity
    มีระบบส่ง-จ่ายไฟฟ้า, ระบบส่งน้ำเย็น, ระบบปรับอากาศ ระบบลิ้งค์ต่างๆ เพียงพอที่จะรองรับ Data Center ทั้งระบบได้ แต่ด้านจำนวนอุปกรณ์ ไม่มีสำรองไว้รองรับ
  • Tier II: Redundant Capacity Components
    ระบบการทำงานมีพื้นฐานจาก Tier I และรวมไปถึง มีอุปกรณ์ชุดสำรองในระบบที่สำคัญ ระบบที่มีชุดสำรอง แบบ N+1 เช่น UPS และ Generator โดยที่ +1 คือ มีระบบสำรองไว้รองรับ
  • Tier III: Concurrently Maintainable
    ระบบการทำงานมีพื้นฐานจาก Tier I และ Tier II โดยรวมไปถึงระบบที่ยังสามารถทำงานอยู่ได้ ในขณะที่ซ่อมบำรุงหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ทดแทนเข้ามา และมีระบส่งไฟฟ้าที่แยกอิสระออกจากกัน ช่วยให้การบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าทำได้โดยไม่ต้องปิดระบบทั้งหมด
  • Tier IV: Fault Tolerance
    ระบบการทำงานมีพื้นฐานจาก Tier I, Tier II และ Tier III ที่ยังคงสามารถทำงานอยู่ได้ เมื่อมีปัญหาจากความผิดพลาดเกิดขึ้น จุดสำคัญคือ ระบบทั้งหมด ยังสามารถทำงานอยู่ได้ ทุกส่วนหากมีอุปกรณ์ใดๆ เสีย เพราะมีการสำรองอุปกรณ์ไว้แบบ N+1 เสมอทุกๆ ส่วน

อ้างอิงจาก Explaining the Uptime Institute’s Tier Classification System

โดยหากเราระบุเป็น SLA ภายใน 1 ปีนั้น ยอมให้ระบบไม่สามารถให้บริการได้ตามปรกติ หรือมี  down time ได้ดังนี้

  • Tier I ให้ SLA ที่ 99.671% หรือที่ 28.817 ชั่วโมงต่อปี
  • Tier II ให้ SLA ที่ 99.741% หรือที่ 22.688 ชั่วโมงต่อปี
  • Tier III ให้ SLA ที่ 99.982% หรือที่1.5768 ชั่วโมงต่อปี
  • Tier IV ให้ SLA ที่ 99.995% หรือที่ 26.28 นาทีต่อปี

หากดูจากแต่ละพื้นที่ ที่ CAT data center ได้ให้บริการแล้วนั้น จะผ่านมาตรฐานตั้งแต่ Tier II ขึ้นไป ในเขตพื้นที่กรุงเทพ โดยเฉพาะส่วนที่ผมได้เข้าเยี่ยมชมคือ CAT data center บางรัก ชั้นที่ 14 นั้น อยู่ในระดับ Tier IV ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเลยทีเดียว

image

จากทั้งหมดที่ได้เล่ามานั้น ช่วยให้การเยี่ยมชมในครั้งนี้ ได้รับทราบข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับส่วนของเฟสใหม่ของ CAT Data Center ชั้น 14 มากขึ้น โดยทาง CAT คาดหวังว่าการเข้าไปเยี่ยมชมและนำข้อมูลเหล่านี้นำมาเผยแพร่ จะช่วยให้ลูกค้า และคนที่กำลังตัดสินใจในการเลือก Data Center เพื่อนำระบบเข้าไปวางภายใน ได้มั่นใจในมาตรฐานต่างๆ ที่ทาง CAT ได้ผ่านการตรวจสอบ และพัฒนาระบบเพื่อให้บริการลูกค้าบนมาตรฐานสูงสุด

ติด trueonline ผ่านสายโทรศัพท์ภายในคอนโดเป็นอย่างไร ใช้ดีไหม?

เมื่อต้นปีนั้นได้ย้ายเข้ามาอยู่คอนโดก็เลยต้องติดตั้งอินเตอร์เน็ตใช้งานเอง จากเมื่อก่อนใช้ของส่วนกลางตอนอยู่แมนชั่น ซึ่งคอนโดที่อยู่นีัมีหลายยี่ห้อให้เลือก ซึ่งน่าเสียดายที่คอนโดผมเป็นคอมโดที่ใช้ได้แต่อินเตอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์เท่านั้น จึงต้องใช้งานผ่าน ADSL เป็นหลักอย่างเดียว โดยตัวเลือกที่มีอยู่ก็คือ Trueonline, TOT และ 3BB ให้เลือก ซึ่งโดยรายละเอียดที่มีตามด้านล่างทั้งสามตัว ผมเอาทั้งหมดมากางแล้วเลือกเลยว่าจะไหนให้ความเร็วสูงสุดในราคาที่โอเคที่สุดก่อน

Trueonline (http://trueonline.truecorp.co.th)

image

 

TOT Hi-Speed (http://www.tothispeed.com)

image

 

3BB (http://www.3bb.co.th/3bb/)

image

โดยตัวเลือกทั้งสามนั้น แต่ส่วนตัวนั้นเลือกใช้ True ดูจะเป็นตัวเลือกที่ให้ราคาต่อความเร็วสูงสุดของแพ็กเกจที่คุ้มค่าที่สุด คือ 599 บาทได้ความเร็ว 13Mbps/1Mbps (หรือความเร็วประมาณ 1.66MB/s สำหรับความเร็วดาวน์โหลดเลยทีเดียว)

พอได้ศึกษาข้อมูลการการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2558 จาก nectec.or.th เพิ่มเติมก็ดูจะคบหาได้มากขึ้น เพราะ True Internet มี Bandwidth ให้บริการตามข้อมูลข้างต้นมราระบุเป็น True Internet (AS7470) ทั้งหมด 211 Gbps  โดยเชื่อมต่อกับ CAT-IIG (AS4651) ที่ Bandwidth  ขนาด66.5Gbps และ TIG-IIG (AS38082) ที่จำนวน Bandwidth  ขนาด 144.5Gbps ซึ่งมีขนาดของ Bandwidth  ที่มีขนาดใหญ่กว่า ISP หลายๆ เจ้าในตลาด

โดยที่ TIG-IIG (True International Internet Gateway) ซึ่งเป็นของ True เองนั้นมีแผนผังการเชื่อมต่อกับบริการต่างๆ เป็นการเฉพาะอยู่หลายตัว โดยเฉพาะบริการอย่าง Google, Microsoft, Yahoo และ Akamai โดยเฉพาะ ทำให้การเข้าถึงบริการเหล่านี้ได้รวดเร็วมากขึ้น

true_map06

รูปจาก http://www.trueintergateway.com/en/map01.html

พอเลือกได้แบบนั้น ผมก็ไปที่ True Shop ตามห้างทั่วไปเนี่ยแหละ เข้าไปขอรายละเอียดยืนยันอีกครั้งจากพนักงานครับ โดยการกรอกเอกสารก็เป็นข้อมูลสถานที่ติดตั้ง และสถานที่ส่งใบแจ้งค่าใช้บริการให้กับเหจ้าหน้าที่เค้า โดยเป็นแบบฟอร์มมาตรฐานพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะช่วยตรวจสอบให้อีกครั้งพร้อมแจ้งว่าตึกคอนโดของเรานั้นสามารถติดตั้งได้หรือไม่ด้วย แต่อนไปทำเรื่องติดตั้ง ผมตรวจสอบที่คอนโดแล้วว่าติดได้แต่ ADSL เท่านั้น

ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพราะเจ้าหน้าที่แจ้งได้ว่าติดได้แต่ ADSL ส่วนไฟเบอร์เคเบิลอินเทอร์เน็ต (Docsis) นั้นอดตามระเบียบครับ ซึ่งเมื่อกรอกข้อมูลจบ ก็ออกมาจากร้านตัวเปล่าๆ รอ sms ยืนยันวันและเวลาจากทาง True อีกครั้งหนึ่ง ขั้นตอนที่ True Shop นี้ง่าย และยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดครับ

สำหรับการเข้ามาให้บริการในการติดตั้งนั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เจ้าหน้าที่ก็ตรวจสอบสายภายใน และสายของอาคารพร้อมทั้งเซ็ตค่าของ SL Modem/Wireless Router ให้เรียบร้อย พร้อมตรวจสอบความเร็ว เพื่อให้พร้อมใช้งาน โดย ADSL Modem/Wireless Router เป็นของ Zyxel รุ่น P-660HN-T1A ซึ่งก็พอใช้ได้ สำหรับเครื่องไม่เยอะมากนัก หากต้องรองรับจำนวเครื่องเยอะๆ (แบบผม) คงต้องหา Wireless AP/Router รุ่นที่มี CPU/RAM มากๆ อย่าง D-Link DIR-860L มาเชื่อมต่อเพิ่มเติม เพื่อกระจายโหลดแทน โดยปิด WiFi ที่ ADSL Modem/Router แล้วต่อกับช่อง WAN ของ D-Link แทน แล้วให้ตัว D-Link นั้นเป็นคนกระจายสัญญาณ และเป็นคน route ข้อมูลเป็นหลัก ส่วน ADSL Modem/Router ทำหน้าที่เป็นแค่ทางผ่าน ให้มันคิดน้อยๆ เพราะเดี่ยวมันทำงานไม่ทันแล้วจะแฮงไป

โดยที่ผมติดตั้งนั้นไม่ได้ติดตั้งหมายเลขโทรศัพท์ไว้ ฉะนั้น ตัวรหัสลูกค้าเลยเป็นหมายเลขอีกที่ขึ้นตันด้วย NF แทน เวลาจ่ายเงิน หรือติดต่อ ศ. เพื่อขอรับบริการ จะใช้รหัสตัวในตลอดเวลา

 https://www.thaicyberpoint.com/ford/blog/wp-content/filesuploaded/Image/a6f572cadcaa_F259/IMG_20150214_172406.jpg

พอใช้ๆ ไปสักเดือนกว่าๆ แล้วได้ข้อมูลว่ามีโปร “ทรูทริปเบิ้ลสุข” สำหรับอินเทอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์ ที่พ่วง 3 บริการในราคาที่คุ้มค่ากว่า โดยเป็นการให้บริการที่รวม  3 บริการหลักของ Ture คือ trueonline, truevisions และ truemove H ซึ่งจากปรกติของ Truemove H อยู่แล้ว ก็เลยเหมือนว่า ถ้าเราเอา truevisions มาเพิ่มอีกสักตัว และราคาที่จ่ายนั้นไม่ได้แพงมากกว่าเดิมที่เราใช้งานเพียง 2 บริการเดิมอยู่แล้ว ก็น่าสนใจดีมากเช่นกัน โดยจากปรกติที่จ่ายค่าเน็ต 599 บาท รวมกับ truemove H ที่ใช้แบบเติมเงินอยู่เดือนละประมาณ 300 บาท ซึ่งรวมๆ แล้ว ถ้าเอามาจ่ายเป็นแพ็คแบบ 899 บาท ก็ดูจะโอเคมากขึ้น เพราะได้ของ 3 อย่างในราคา 2 อย่างที่ใช้อยู่เดิม และยังได้อัพเกรดความเร็วของ trueonline จาก 13Mbps/1Mbps เป็น 16Mbps/1Mbps และเพิ่ม ทรูวิชั่น HD แบบ Happy Family (177 ช่อง 7 HD) เพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งเงินที่จ่ายไปก็เหมือนได้ truevisions เป็นของแถมมาให้ได้ดูอะไรเพลินๆ แต่หากอยากดูอะไรเยอะกว่าโปร 799 หรือ 899 บาท ที่ truevisions ค่อนข้างจะเหมือนเป็นของแถม ก็จ่ายอัพเพิ่มเข้าไปอีกพอสมควร ซึ่งก็อยู่ที่ความคุ้มค่าของแต่ละคนในส่วนนี้ไป

https://www.thaicyberpoint.com/ford/blog/wp-content/filesuploaded/Image/a6f572cadcaa_F259/IMG_20150214_172836.jpg

ในขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงบริการดังกล่าวนั้นไม่ได้ยาก ผมแค่ไปที่ True Shop ตามห้าง ต่างๆ ให้เค้าจัดการให้ก็ได้แล้ว ตัวอย่าง อย่างผมนั้น ผมไปทำเรื่องที่สาขาเซ็นทรัลพระรามสาม โดยบอกว่าเรามีบริการอะไรอยู่ก่อนที่จะใช้โปรนี้บ้าง อย่างผมมีสองตัวแล้ว ซึ่งเบอร์ truemove H ทีใช้อยู่เป็นแบบเติมเงิน พนักงานก็ปรับเป็นเบอร์รายเดือน แบบ iSmart 199 บาทให้ และสามารถใช้งานได้ทันที ส่วนการอัพความเร็วของ trueonline ตามโปรนั้นจะสามารถใช้งานตามความสุขที่ระบุไว้ในวันถัดไป โดยจะมี sms แจ้งมาที่เบอร์ truemove H ข้างต้นว่าใช้งานได้เมื่อไหร่ ส่วน truevisions นั้นจะมีการนัดหมายวันติดตั้ง truevisions ซึ่งก็หลังจากวันที่ทำเรื่องประมาณ 3-7 วัน แล้วแต่คิวของช่างที่จะมาติดตั้ง เราก็หาวันและเวลาที่ว่างตรงกัน

 https://www.thaicyberpoint.com/ford/blog/wp-content/filesuploaded/Image/a6f572cadcaa_F259/IMG_20150212_105334.jpg

การติดตั้งส่วนของ truevisions สำหรับคอนโดก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรครับ มีสายเดินพร้อมแล้ว เป็นสัญญาณผ่านสายแบบ L-Band โดยเป็นจานของคอนโดที่ติดตั้งไว้แล้ว เราแค่เชื่อมต่อสายสัญญาณเข้าห้องเฉยๆ ซึ่งจำนวนช่องที่ได้จากน้อยกว่าแบบไฟเบอร์เคเบิลอินเทอร์เน็ตตามที่บอกไว้ ข้างบน โดยกล่องรับสัญญาณเป็นของ Samsung รุ่น HD-S10S ซึ่งโดยรวมหลังจากใช้งานมาได้สักพัก ค่อนข้างโอเคดีสำหรับ truevisions แต่ช่องที่อยากดูบางช่องอาจจะน้อยกว่าที่อยากได้ ซึ่งต้องอัพไปแพ็คสูงกว่า บางครั้งก็อยากให้มีการซึ่งเป็นแบบ topup รายช่อง หรือแบบรายวัน หรืออะไรแบบนั้น เพราะบางครั้งอยากดูช่องกีฬาวันหยุดก็ไม่อยากจ่ายวันธรรมดา เพราะไม่ได้มีเวลาดู แต่ต้องจ่ายเต็มเดือนอะไรแบบนั้น

หลังจากไปไกลจากเรื่องบริการอื่นๆ ของ Trueonline แล้ว เรามาดูเรื่องความเร็วอินเตอร์เน็ตกันบ้าง ผมลองทดสอบกับตัว Speedtest โดยเน้นที่ Server ระหว่างประเทศเป็นหลัก โดยการทดสอบทำในช่วงเวลากลางคืน เพื่อลดความวุ่นวายของทราฟฟิกอินเตอร์เน็ตในช่วงกลางวัน โดยมีข้อมูลที่ทดสอบได้ดังนี้

ด้านซ้าย ทดสอบความเร็วระหว่าง True Internet และ Server ภายในประเทศ

ด้านขวา ทดสอบความเร็วระหว่าง True Internet และ Server ที่ประเทศสิงค์โปร์ (Sigtel)

 

ด้านซ้าย ทดสอบความเร็วระหว่าง True Internet และ Server ที่ประเทศอินโดนีเซีย (Batam)

ด้านขวา ทดสอบความเร็วระหว่าง True Internet และ Server ที่ประเทศจีน (ฮ่องกง)

 

ด้านซ้าย ทดสอบความเร็วระหว่าง True Internet และ Server ที่ประเทศญี่ปุ่น (โตเกียว)

ด้านขวา ทดสอบความเร็วระหว่าง True Internet และ Server ที่ประเทศสกอตแลนด์ (แอเบอร์ดีน)

 

ด้านซ้าย ทดสอบความเร็วระหว่าง True Internet และ Server ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา(ลอสแอนเจลิส)

ด้านขวา ทดสอบความเร็วระหว่าง True Internet และ Server ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา (อูไคย่า)

 

จากข้อมูลข้างต้นนั้นเป็นข้อมูลที่ทดสอบในช่วงกลางคืน สำหรับในช่วงกลางวันนั้น มีปัจจัยที่ทำให้ช้าลงประมาณ 30 – 40% ในแต่ละวัน สำหรับการสื่อสารระหว่างประเทศอยู่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปรกติในการใช้งานอินเตอร์เน็ตระหว่างประเทศ แต่แน่นอนว่าบางบริการที่มีสายเชื่อมต่อเฉพาะอย่าง Google ก็ยังคงทำงานได้ความเร็วที่ดีเยี่ยมอยู่มากทีเดียว

จากทั้งหมดที่ได้เล่ามาทั้งหมดนี้ หลายๆ คนที่ติดตามน่าจะพอสรุปภาพรวมได้พอสมควรสำหรับบริการต่างๆ ทั้งหมดที่กล่าวมาได้ หรือลองอ่านย้อนตอนเก่าๆ ที่เคยเขียนไว้เพิ่มเติมก็ยังได้ครับ

รีวิว LG 34UC97 Curved Ultrawide monitor 21:9 IPS QHD LED 34” ที่เหมาะสำหรับเล่นเกมและทำงาน ให้ความรู้สึกเหมือนต่อ 2 จอ

หลังจากรีวิว LG 29UM65 Ultrawide 21:9 IPS LED monitor ขนาด 29” ไปก่อนหน้านี้ วันนี้ได้มีโอกาสได้ทดลองใช้งาน LG 34UC97 อีกครั้งประมาณ 2 อาทิตย์ โดยรอบนี้ไม่ได้มาแค่เฉพาะ 21:9 เท่านั้น แต่มาพร้อมความกับการออกแบบที่ตัวจอภาพมีความโค้งรับการกับการกวาดสายตา เมื่อเวลาใช้งาน และด้วยความที่เป็นจอภาพสัดส่วน 21:9 ซึ่งทำให้มันเหมาะกับใช้ทำงานเอกสารที่ต้องใช้การเปิดหลายๆ หน้าต่างแล้วอีกด้วย

IMG_20150202_114208

 

แรกเริ่มสัมผัส

image

จากรีวิวเก่า เราขอเล่าซ้ำสักหน่อยว่า โดยจากแผนภาพด้านล่าง จะเห็นได้ชัดเจนถึงขนาดของจอภาพ 21:9 ที่ได้พื้นที่แนวกว้างเพิ่มมากขึ้นกว่า 16:9 หรือ 16:10 อยู่ถึง 1 ใน 5 นั้นทำให้มันมีพื้นที่ในการทำงานในแนวนอนเยอะมากขึ้นจนสามารถที่จะเปิด หน้าต่างของโปรแกรมได้ถึง 2-3 หน้าต่างพร้อมๆ กันในแนวนอนได้

https://www.thaicyberpoint.com/ford/blog/wp-content/filesuploaded/Image/-LG-29UM65-Ultrawide-IPS-LED-monitor_10310/image.png

สำหรับความกว้างในการแสดงผลของสีนั้น LG ก็ทำได้ตามที่บอกไว้ (เส้นสีแดง)โดยจากคำโฆษณานั้นรองรับ sRGB >  99% ซึ่งจากการที่ใช้งานมานั้น ผลการแสดงผลสีสันระหว่างการใช้งานตกแต่งรูปทำได้ดีเยี่ยม การไล่แฉดสีทำได้เที่ยงตรงดี แต่ต้อง calibrate monitor สักหน่อย (โดยผมจะมีกล่าวต่อเรื่อยๆ ว่าทำไม)

2015-02-15_191853

ช่องเชื่อมต่อที่เครื่องมีให้ มีดังต่อไปนี้

  1. ช่องต่อ Power Adapter
  2. ช่องต่อหูฟัง 3.5 mm
  3. ช่องต่อ HDMI 1-2 โดยให้มา 2 ช่อง ขนาดปรกติ
  4. ช่องต่อ Display Port ขนาดปรกติ
  5. ช่องต่อ Thunderbolt 1-2 โดยเพื่อรองรับการเชื่อมต่อแบบ Daisy-Chain
  6. ช่องต่อ USB 3.0 แบบขาเข้าสำหรับใช้ต่อร่วมกับ USB 3.0 ที่เป็นช่องขาออกที่มีให้ 2 ช่อง
  7. ช่องต่อ USB 3.0 ขาออกให้ที่ได้รับสัญญาณข้อมูลจาก USB 3.0 ขาเข้า โดยมันสามารถเอาไว้ชาร์จไฟมือถือที่ต้องการแรงดันไฟขนาด 1.1A ได้

ด้านซ้ายสุดจะมีปุ่มเปิด-ปิด

DSC_7944

2015-02-16_130802

สำหรับในส่วนของฐานจอภาพนั้น เป็นเหล็กชุบโครเมียมอย่างดี น้ำหนักค่อนข้างมา ลับคมตามขอบดีเยี่ยม

DSC_7927c

การเชื่อมต่อของตัวฐานจอภาพ และส่วนที่ยึดเข้ากับจอภาพนั้นใช้น็อตทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน โดยที่ฐานจอ 2 ตัวและที่ตัวจอภาพ 2 ตัว

น้ำหนักของจอภาพที่ลองกับฐานจอภาพนั้นจะถ่ายน้ำหนักได้ค่อนข้างดี โดยจะมีน้ำหนักลงไปตรงกลางระหว่างจุดด้านหน้าและด้านหลังจอภาพ ทำให้เมื่อตั้งจอภาพแล้วจอภาพไม่หงายหลังล้มได้ง่ายแต่อย่างใด

DSC_7921c DSC_7916c

อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องนั้น มีคู่มือ แผ่น CD บรรจุ driver/software จำนวน 2 แผ่น, power adapter ขนาดใหญ่ (มาก), สาย DisplayPort, สาย HDMI และแผ่นพลาสติกปิดจอภาพด้านหลังบริเวณช่องต่อต่างๆ ให้ดูเรียบร้อยขึ้น

DSC_7897c

โดยส่วนตัวแล้วการต่อจอภาพเพื่อใช้งานให้ได้ภาพขนาด ระดับ QHD (3,440×1,440 pixel) ตามคุณสมบัติของจอภาพนั้น ผมต้องต่อผ่าน DisplayPort ซึ่งช่องต่อจอของรุ่นนี้อาจจะมีปัญหาสักหน่อย เพราะด้วยหัวของสาย DiaplayPort ที่ใหญ่และแข็ง อาจจะต้องใช้แรงในการกดเข้าไปต่อ และใช้แรงกดและดึงออกมา เมื่อปลดออก ซึ่งตรงนี้ต้องระวังกันสักหน่อย และเมื่อต่อเข้าไปเรียบร้อยแล้วจะก็เอาแผ่นปิดหลังจอมาปิดให้เรียบร้อย

จากข้อมูลข้างต้น จอภาพรุ่นนี้เป็นจอภาพระดับ QHD (3,440×1,440 pixel) หรือระดับเทียบเท่า 2K หรือ 2,560 x , 1,440 pixel แต่เพิ่มความกว้างเข้ามาเพิ่มขึ้นนั้นเอง

DSC_7844

ประกอบเสร็จเรียบร้อย ก็พร้อมใช้งาน ด้วยขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ และด้านกว้างที่กว้างพอสมควร ทำให้ต้องกวาดสายตาไปมาค่อนข้างมา เวลาใช้จริงๆ อาจจะต้องปรับตัวอยู่นานพอสมควร

ตัวจุดต่อกับฐานจอภาพนั้น สามารถใช้ Wallmount Bracket ที่เป็นอุปกรณ์เสริมของ LG เพื่อนำไปแขวนบนผนังได้ด้วย

 

ความรู้สึกระหว่างการใช้งาน

DSC_7848

มาดูความโค้งของจอภาพนั้นไม่ได้โค้งจนหน้ากลัว หรือทำความคุ้นเคยยากเกินไปนัก ส่วนตัวแล้วใช้เวลาปรับตัวอยู่ 2-3 วันก็คุ้นเคยได้อย่างดี การโค้งของจอภาพแบบนี้นั้น ช่วยในการทำงานในระยะใกล้ๆ ที่ตาของผู้ใช้งานห่างจากจอภาพประมาณ 50-60 cm ได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้เราไม่ต้องชะโงกไปซ้าย-ขวาไปมาเวลาดูมุมจอภาพ เพราะด้วยความที่จอภาพนั้นยาวกว่าความคุ้นเคยตามปรกติที่ใช้งานกัน 16:9 ในแบบ Full HD แบบเดิมๆ (รูปสุดท้ายด้านล่าง)

DSC_7835 DSC_7837

DSC_7803c

การปรับจอภาพนั้นใช้จอยสติ๊กเล็กๆ ที่ด้านล่างขอภาพที่ถูกซ่อนไว้ โดยเมนูจะเพิ่มเติมขึ้นมา โดยในรุ่นนี้ยังคงมีความสามารถที่ชื่อว่า Dual Link คือต่อจอภาพจากแหล่งสัญญาณภาพหลายแหล่งให้แสดงผลได้พร้อมๆ กัน

สำหรับความสามารถที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ MaxxAudio ที่ให้เสียงลำโพงที่อยู่ที่จอภาพนั้นดังมากขึ้น ซึ่งคงจะเหมาะกับหลายๆ คนที่ไม่อยากมีลำโพงตั้งอยู่บนโต๊ะทั่วๆ ไป การมาซ่อนและอยู่กับจอภาพก็ทำให้โต๊ะดูโล่งมากขึ้น และดูสะอาดตา แต่เรื่องมิติเสียงนั้น ส่วนตัวแล้วเฉยๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไร

ในส่วนของความสว่างของจอภาพนั้น ตัวจอภาพให้ความสว่างที่ค่อนข้างมาก แต่ด้วยการ calibrate จอภาพที่เหมาะสมต่อการใช้งานด้านภาพถ่ายและงานเอกสาร จึงต้องปรับลดคามมสว่างลงมาค่อนข้างเยอะ โดยจากที่ได้ทดสอบนั้น ต้องลดลงไปเกือบๆ 40 unit (หน่วยของการปรับของจอรุ่นนี้) แต่ดูเหมือนว่าที่ 40 จะให้แสงสว่าง 132cd/m^2 และไม่สามารถลดลงไปมากกว่านี้ได้แล้ว ซึ่งตามปรกติ จอภาพที่ใช้ทำงานด้านภาพถ่ายจะปรับลดลงเหลือเหลือประมาณ 120cd/m^2 ก็อาจจะลำบากสักหน่อยกับงานภาพที่ต้องการดูโทนสีด้านมืดที่ดำสนิท

DSC_7852

image image

สำหรับการเล่นเกมบนจอกว้างๆ แบบนี้ ก็ดูเแปลกตากว่าปรกติมากเลย ผมได้เอาเกม Batman Arkham Origins มาลองเล่นดู โดยรวมพอเล่นไหว แต่ด้วยเครื่องที่มีการ์ดจอแรงเมื่อหลายปีก่อน เลยกระตุกอยู่พอสมควร เพราะต้องขับความละเอียดของเกมไปที่ระดับ 3,440 x 1,440 pixel หากต้องเล่นเกมบนความละเอียดขนาดนนี้ แนะนำให้การเครื่องที่แรงๆ และการ์ดจอที่แรงสุด ๆ มาเล่น ผมคิดว่าจะได้รับความบันเทิงที่แปลกใหม่มากขึ้น

DSC_7830

ระหว่างการเล่น Batman Arkham Origins จะสังเกตเห็นโทนสีฝั่งมืดที่มองยากกว่าปรกติ โดยเฉพาะเงาในที่มืด แต่ทั้งนี้คงเป็นเป็นตอนที่ยังไม่ได้ calibrate monitor และหลังจากที่ calibrate monitor แล้ว การแสดงผลโทนสีดำและโดนเงากลับแสดงผลได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งนั้นเป็นที่ค่อนข้างแน่ว่า หากได้จอภาพมา อาจจะต้องทำ calibrate monitor เพิ่มเติมสักหน่อย เพื่อการแสดงผลช่วงมืดที่ดีมากขึ้น

DSC_7815

สำหรับการแสดงผลของภาพยนต์ต่างๆ นั้น เรื่องความกว้างและการแสดงผลด้านสีสันไม่ได้แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง LG 29UM65 มากมายนัก แต่ด้วยความที่จอภาพเป็นแบบโค้ง จึงให้ความรู้สึกเหมือนดูบนจอภาพยนต์ตามโรงภายยนต์มากขึ้น (โรงภาพยนต์ส่วนใหญ่จะจอโค้งหน่อยๆ)

DSC_7858c

ในด้านการใช้งานทั่วไปนั้น แน่นอนว่าจอภาพละเอียดระดับ 3,440 x 1,440 pixel ย่อมให้พื้นที่ในการทำงานมากขึ้น โดยระหว่างนำมาทดสอบ ก็ใช้เอามาดูไฟล์ต่างๆ ที่เรียงกันได้มากขึ้น (แต่ก็นั่งไล่กันลายตาขึ้น) ได้พื้นที่สำหรับการทำงานหลายๆ อย่างพร้อมๆ กันนั้น ทำให้การทำงานสะดวกสบายเพิ่มขึ้น

ส่วนตัวเป็นคนใช้ทำงานด้านเอกสาร และการพัฒนาโปรแกรมต่างๆ อยู่แล้ว เมื่อเอามาใช้ทำงานด้านนี้แล้ว ค่อนข้างสะดวกสบายอย่างมาก

DSC_7886

DSC_7860 DSC_7887

 

สรุปการใช้งานระหว่างทดสอบ

  1. จอภาพโค้ง ให้ประสบการณ์ในการใช้งานที่แปลกใหม่กว่าเดิมอย่างมาก ช่วยให้การใช้งานนั้นสะดวกในการกวาดจอภาพให้ครบทั้งพื้นที่ของจอภาพที่เป็นสัดส่วน 21:9 ได้มากขึ้น
  2. การแสดงผลระหว่างการเล่นเกมและดูภาพยนต์ทำได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะต้อง calibrate monitor ก่อนเพื่อให้การแสดงผลส่วนมืดทำได้ดีมากขึ้น ซึ่งคงไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป แต่สำหรับมืออาชีพแล้ว ค่อนข้างแสดงได้ดีหลังจาก calibrate monitor แล้ว
  3. ช่องเชื่อมต่อต่างๆ หลังจอภาพมีความหลากหลายอย่างมาก port USB 3.0 ให้มานั้น ไม่ใช่แค่ช่วยให้เชื่อมต่อกับ external hard drive หรือ flash drive ต่างๆ ได้ แต่ยังเชื่อมต่อชาร์จไฟเข้าอุปกรณ์อย่างมือถือ หรือแท็บเล็ตได้ด้วย
  4. ราคาในไทยขายอยู่ที่ราคา 32,900 บาท ซึ่งขนาดจอภาพ ความสามารถ และราคาระดับนี้ น่าจะเหมาะสมกับมืออาชีพที่ทำงานด้านภาพถ่าย วิดีโอ หรืองานด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์มากกว่า แน่นอนว่า กลุ่มเป้าหมายของ LG ที่ทำตลาดจอภาพรุ่นนี้ มุ่งจำหน่ายกลุ่มเพื่อความบันเทิงอย่างการเล่นเกมด้วย ซึ่งส่วนตัวอาจจะเป็นทางเลือกที่แพงไปสักหน่อย แต่เรื่องนี้ต้องอยู่ที่กลุ่มผู้ซื้อที่เอาไปเล่นเกมนั้นเป็นกลุ่มที่เล่นเกมแนวไหน หากเป็น hard core gamer เล่นเกมแนว FPS แล้ว ก็อาจจะมองค่าตัวระดับนี้ไม่ใช่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด
  5. การแสดงผลความละเอียดระดับนี้อาจจะต้องตรวจสอบการ์ดจอและจุดเชื่อมต่อของเครื่องที่จะเอามาเชื่อมต่อว่าพร้อมหรือไม่ เพราะหากไม่พร้อม อาจจะซื้อของแพงมา แต่ใช้งานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพได้ (ซึ่งน่าเสียดายมาก) และแน่นอนว่าการใช้จอภาพความละเอียดระดับนี้ ต้องใช้คู่กับ mouse ที่มีความละเอียดสูงมากๆ (high dpi) ไม่เช่นนั้น การลากเมาส์ไปจุดต่างๆ บนจอภาพจะไม่สะดวกอย่างมาก

ข้อมูลด้านเทคนิดอื่นๆ LG UltraWide QHD IPS Monitor 34UC97 34″ 21:9 Curved UltraWide Monitor – LG Electronics TH