ข้อควรระวังในการให้รหัสผ่าน iCloud/Apple ID ตอนนำเครื่องส่งซ่อม

พอดีว่ามีเคสของพี่ที่รู้จักท่านหนึ่ง นำเครื่อง Macbook pro (2016) ส่งซ่อม แล้ว ศ. บริการในไทยขอรหัสผ่านเข้า account ของ iCloud ไปเพื่อใช้ในการซ่อมเครื่อง ซึ่งต้องบอกว่าอันนี้เป็นเคสที่ค่อนข้างซีเรียสนะ เพราะ account ตัว iCloud นั้นก็คือ Apple ID ด้วยนั้นเอง

คนที่ได้ Apple ID ไปนั้นสามารถเข้าถึงความสามารถ และข้อมูลใน iCloud ได้ทั้งหมด ไฟล์งานต่างๆ ใน iCloud Drive ระบบ tracking location device, สั่ง wipe และปลดการผูกตัวเครื่องกับ account ได้

(มีเคสมากมายที่เวลา iPhone โดนขโมย โจรมักใช้อุบายเพื่อบอกให้เราปลดพวกนี้แหละ)

ในส่วนของบริการทั่วไป ก็สามารถนำไป sign in ตัว iTunes เพื่อซื้อเพลง หนัง และบริการอื่น ๆ ได้ รวมไปถึง Apple online store เพื่อซื้อสินค้าได้ด้วย เพราะอย่าลืมว่า Apple ID ผูกบัตรเครดิตไว้อยู่ด้วยมันซื้อของจาก online store ได้

ฉะนั้นตรงนี้ต้องระวังกันให้มาก ไม่ใช่ ศ. บริการ หรือใครมาขอก็ให้ไปเพราะเห็นว่าสะดวก น้ำตาตกในเพราะเราไม่รู้ว่า ศ. บริการจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้ได้ดีแค่ไหน บางครั้งตัว ศ. บริการอาจจะไม่มีปัญหา แต่ดูแลจัดการข้อมูลไม่ดี หลุดรอดออกไปภายนอก และอาจถูกนำไปใช้ซื้อของ ขโมยข้อมูล หรือใช้ในการติดตามได้

ซึ่งจากเคสตัวอย่างนี้ไม่ใช่แค่ Macbook แต่ยังรวมไปถึง iPhone, iPad และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เชื่อมโยงเข้ากับ iCloud ทั้งหมด

สุดท้าย ไม่แน่ใช่แค่สินค้า Apple ที่ใช้ iCloud หรือ Apple ID เท่านั้น สินค้าหลาย ๆ ยี่ห้อ-รุ่นอย่างของ Android ที่ผูกกับ Google Account หรือ Windows ทีใช้ Microsoft Account ก็ไม่แตกต่างกัน ฉะนั้น หาก ศ. จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเหล่านี้ เราควรนัดและปลดล็อคให้ภายใน ศ. บริการเองเท่านั้น ลำบากหน่อย แต่ข้อมูลของเราจะไม่ถูกนำไปใช้โดยไม่ผ่านการควบคุมดูแลที่ดี

Find my iPhone ไม่ต้องใช้ Two-step verification สำหรับเข้าใช้งานบน iCloud.com แม้จะเปิดใช้งาน Two-step verification ใน Apple ID

แม้เราจะเปิด Two-step verification ใน Apple ID แล้ว แต่ยังมีความสามารถหนึ่งที่ชื่อ Find my iPhone ที่สามารถเข้าถึงได้ทันทีโดยไม่ต้อง verify ผ่าน Two-step verification ได้ ทำให้เข้าไปดูว่าเครื่องที่ใช้กับ account นั้นอยู่ที่ไหน (Locate) ใช้เล่นเสียง (Play Sound), เข้าโหมดแจ้งหาย (Lost Mode) และแม้แต่ลบข้อมูล (Erase iPhone) ได้

ส่วนตัวมองว่าเป็นช่องว่างที่สำคัญ (อาจจะตั้งใจ) ที่อาจทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงผ่านการเดารหัสผ่าน และเข้ามา “ลบข้อมูลใน iPhone” ของเราได้ทันที (ส่วนการติดตามว่าอยู่ที่ไหนนี่อีกเรื่องนึง แต่ถือว่าไม่ปลอดภัยเหมือนกัน)

ซึ่งแตกต่างจากค่ายอื่นๆ ที่ใช้อีเมล หมายเลขโทรศัพท์สำรอง รวมไปถึง recovery code ในการเข้าใช้งานแทน verification code ที่จะส่งมาให้กับ trusted device ที่อาจจะทำหายไปแทน ซึ่งดูแล้วไม่รัดกุมเท่าไหร่นัก

โดยคำแนะนำตอนนี้คือ ตั้งรหัสผ่าน Apple ID ให้แข็งแรงเข้าไว้ (ยากต่อการเดา) และเปลี่ยนบ่อยๆ เพื่อป้องกันเหตุจากการที่ผู้ไม่ประสงค์ดีใช้ความสามารถดังกล่าวในทางที่ผิด

หมายเหตุ ไม่รู้ว่าหาไม่เจอ หรือว่ามันเป็นแบบนี้อยู่แล้วนะ คือผมพยายามหาที่เปิดใช้ Two-step verification ในส่วนของ Find my iPhone แต่หาไม่เจอ ใครทราบเม้นไว้ก็ได้ครับ

2015-09-26_231445

การมาของ iOS 7 หลายๆ แอพอาจงานเข้า!

นั่งอ่าน iOS 7 UI Transition Guide, Designing for iOS 7 และ UIKit User Interface Catalog ของ iOS 7 แล้วต้องบอกสั้นๆ ว่า “ทำเอพใหม่อาจง่ายกว่ามั้ง” จริงๆ ผมถืองานพัฒนาตัว iOS App ไว้อยู่ตัวนึง และที่กำลังคิดว่าจะออกอีกหลายตัว (ผมมี account ตัว iOS Developer และเป็นคนสั่งเค้าทำอีกทีมากกว่า) แต่ดูท่าคงต้องได้รื้อทำหน้าตาใหม่ให้สอดคล้องกับแบบนี้ด้วย แต่ดีว่าไม่มากนัก เพราะใช้ Native UI เป็นหลัก ><~

สำหรับหน้าตาคงไม่เอามาโพสซ้ำ หาได้ทั่วไปตามเว็บข่าวต่างๆ ค้น Google หน้าจะเจอ

โดยผมขอขยายความของปัญหาจริงๆ นั้นแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ

  1. การเปลี่ยนตัวควบคุม (Control UI) เป็นปัญหาในการออกแบบหน้าตาให้สอดคล้องกับ iOS 7 ในแอพตัวเก่าๆ โดยปัญหามักจะเป็นพวกแอพที่สร้างตัวควบคุมและหน้าตาของ UI ที่ไม่ได้ใช้ชุด UI แบบ Native หรือใช้ปนๆ กัน จะมีปัญหาด้านความต่อเนื่องสูงมาก
  2. แนวทางออกแบบในการใช้ตัวอักษร (font) ปัญหาเรื่องของ system font ที่มีการเปลี่ยนแปลง โดยปัญหาหลักคือ spacing ระหว่างตัวอักษรของ system font ใน iOS 7 ที่อาจจะมีปัญหากับแอพเก่าๆ ทุกตัวที่ใช้การแสดงผลชุด label ที่ใส่ข้อมูลพอดีกับขอบของแอพ ซึ่งอาจทำให้แอพต่างๆ ต้องทำ auto switch theme (layout) เพื่อทำให้การแสดงผลสอดคล้องกับ iOS 7 และตัวก่อน iOS 7 ไม่งั้นงานเข้ากันทั่วหน้าแน่ เพราะคำและกลุ่มคำจะตกขอบตัว label ซึ่งแน่นอนว่าคนจะด่าแอพเหล่านั้นกันทั่วหน้าแน่ๆ (ไม่ด่า Apple หรอก ลอยตัวเหนือปัญหาแน่ๆ)
  3. ในส่วนของ transition และ motion design อาจต้องเลี่ยงการใช้ gesture ชุดเดียวกับ system gesture บางส่วน เช่น ปัดนิ้วจากล่างขึ้นบนเพื่อเรียก Control Center หรือปัดในทิศทางอื่นๆ ที่เป็น system gesture ตัวใหม่ๆ ในอนาคต การพลิบและการเลื่อนเปลี่ยน App Page ไปมา อาจต้องไล่กำหนดใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับ Control UI และรูปแบบ gesture ด้วย

โดยทั้งหมดทั้งหมดใน 3 ส่วนนี้ต้องมานั่งแก้ไขกันอีกเยอะแน่ๆ ครับ (ยังมีอะไรด้านหลังอีกหลายส่วนที่คาดว่าอาจมีการปรับใหม่อีกหลายรอบ) ซึ่งตอนนี้สำหรับนักพัฒนาใน iOS 7 และคนที่ดูแลโครงการพัฒนา App บน iOS คงต้องไล่อ่านคำแนะนำ UX/UI บน iOS ในหน้า developer site ของ Apple แล้วเอามาวางแผนแก้ไขให้แสดงผลได้อย่างถูกต้องใหม่ ซึ่งหากไม่ทำแบบนั้น จะทำให้ UX/UI ของแอพใน iOS 7 มีปัญหาหนักเมื่อเอาแอพจากตัวเก่าๆ ที่ไม่ได้ปรับแต่งการแสดงบน iOS 7 มาใช้งานครับ

Bill Gates vs Steve Jobs; Stealing from a rich neighbor – Pirates of Silicon Valley

ไปเอามาเพราะ Bill Gates บอกว่า บุคลิกของตัวเขาในภาพยนตร์ Pirates of Silicon Valley แม่นยำสูงในระดับหนึ่ง (reasonably accurate) อ้างอิงจาก บิล เกตส์ ตอบคำถามผ่าน Reddit

แต่ @plynoi บอกว่าในหนังไม่โหดเท่าเหตุการณ์จริง ที่อ้างอิงจากหนังสือ Revolution in The Valley: The Insanely Great Story of How the Mac Was Made เขียนโดย Andy Hertzfeld ที่บอกว่าในเหตุการณ์จริง Bill Gates คนเดียว แต่มี Steve Jobs และรายล้อมด้วยทีมงานของ Apple

Steve Jobs: I obviously made a mistake. I made a mistake. I trusted. I believed. Family. Maybe a Mafia family. You turn your back, and you get whacked. Our guys come back from Japan with this NEC…. and it’s loaded with Microsoft programs. Your Microsoft programs. They’re almost identical to ours.

Bill Gates: There may be a few… similarities.

Steve Jobs: Similarities? Similarities? Try theft.

Bill Gates: Steve, all cars have steering wheels, but no one tries to claim that the steering wheel was their invention.

Steve Jobs: We have a contract, you and I. Well, you should read it more carefully.

Steve Jobs: What is this? This is like doing business with a praying mantis. You get seduced, and then eaten alive afterwards?

Bill Gates: Get real, would ya? You and I are both like guys who had this rich neighbor – Xerox – who left the door open all the time. And you go sneakin’ in to steal a TV set. Only when you get there, you realize that I got there first. I got the loot, Steve! And you’re yellin? “That’s not fair. I wanted to try to steal it first.” You’re too late.

Steve Jobs: We’re better than you are! We have better stuff.

Bill Gates: You don’t get it, Steve. That doesn’t matter!

Great Scene – Pirates of Silicon Valley, stealing from a rich neighbor

“บังคับ” ทางเลือกที่ยากลำบากของ Apple

ขอเอามาจาก Tweet ใน Twitter นิดนึง

ผมขอเสริมขยายความความรู้สึกตัวเองในฐานะผู้ใช้งาน iOS 6 บน iPod Touch/iPad และ iOS Developer Account คนหนึ่ง

Maps ตัวใหม่ หรือ Keyboard 4 แถวของไทยใน iOS 6 จะไม่ใช่ประเด็นเลย ถ้า Apple มีทางเลือกให้ผู้ใช้ว่าจะใช้ตัวเก่าหรือตัวใหม่ แต่ Apple เลือกที่จะ “บังคับ”

การเลือกที่จะ “บังคับ” ถ้ามันห่วยกว่าเดิม หรือไม่ถูกจริตคนใช้งานเก่าๆ นั้น ตัว Apple เองแหละที่จะลำบาก

ซึ่งคงเหมือนกับ Start Screen ใน Windows 8 ซึ่งตัด Start Menu ออกไป แต่ Start Screen ใน Windows 8 ยังไม่ใช่ประเด็น เพราะผู้ใช้ยังสามารถหา Software ทีทำงานคล้ายๆ กันมาใช้งานทดแทนได้ทันที และผู้ใช้มีทางเลือกว่าจะอัพเกรดหรือไม่ก็ได้ในระหว่างนี้ โดยถ้าจำเป็นต้องอัพก็มีเวลาเตรียมตัว สร้างความคุ้นเคย นั้นทำให้ทุกคนรู้และได้ลองก่อนอัพแน่ๆ มันจึงเป็นที่มาของ Release Preview และ Evaluate Version ให้ทดลองใช้ 90 ก่อน

สำหรับ Apple ในเรื่องนี้นั้นเหมือน “หักดิบ” แถมการ downgrade กลับไป iOS 5 ถึงจะทำได้ในทางเทคนิค แต่ก็ไม่ง่าย และแต่นั้นหมายถึงความเสี่ยงต่อการที่ข้อมูลที่ upgrade มาจะย้อนกลับไปใช้งานกับ iOS 5 ไม่ได้ด้วย

สิ่งที่น่าคิดคือ ถ้ายังไม่พร้อมทำไมไม่มีทางเลือกให้คนใช้งานเพื่อทดแทนความไม่พร้อมของตัวเอง แทนที่จะบังคับใช้ น่าจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยน แล้วรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้ทั่วๆ ไป แทนที่จะฟังแต่ developer กลุ่มเล็กๆ ทั้งในและนอกบริษัทตัวเอง ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะสิ่งที่ตัวเองยึดมั่นถือมั่นกับความสำเร็จเก่าๆ มันบังตาไปหมดแล้ว จนลืมไปว่า Ping ของตัวเองก็ล้มเหลวมาแล้ว และ Apple ก็ไม่รู้จักจำ เพราะขนาด developer account ที่ได้ทดลองใช้งาน iOS 6 มาก่อนล่วงหน้านานหลายเดือนยังบอกเลยว่า Maps ตัวใหม่นั้นยังไม่พร้อม ยังตามหลังคู่แข่งอย่าง Google Maps ที่ตัวเองถอดออกไปอยู่เยอะมาก แต่ developer account หลายๆ คนเชื่อมั่นว่าเมื่อถึงวันเปิดตัว คงพร้อมมากกว่านี้ แต่แล้วพอวันที่ Release จริง ทุกอย่างก็เหมือนเดิม

หรือจริงๆ แล้ว Apple ไม่เคยฟังใครเลย….