ทำความเข้าใจหน้าที่ของ OIS และ Speed Shutter ในกล้องมือถือ

พอดีว่าได้ตอบความคิดเห็นใน Motorola บอกใบ้ กล้อง Moto X ถ่ายรูปไม่เบลอ? แล้วอยากเอามาเผยแพร่ต่อใน blog ตัวเองสักนิดเผื่อคนที่ยังไม่เข้าใจกันว่ามีหน้าที่แตกต่างกันอย่างไรระหว่าง OIS และการปรับ speed shutter เพื่อใช้ในการหยุดการเคลื่อนไหวของตัวแบบและการแก้ไขอาการสั่นไหวของการถ่ายรูป

การหยุดการเคลื่อนไหวของตัวแบบต้องใช้ speed shutter ในการถ่ายแหละครับ เพราะ OIS (Optical Image Stabilization) ช่วยเรื่องการทำให้ภาพนั้นนิ่งตอนย้ายหรือตอนที่ถ่ายนั้นเกิดการสั่นไหวที่ตัวกล้องเป็นหลัก สรุปมันใช้แทนกันไม่ได้หรอกครับ มันคนละหน้าที่กัน

หลายๆ คนมองภาพไม่ออก ผมยกตัวอย่างเช่น ระบบ IS (Canon) หรือ VR (Nikon) ใน lens ระดับโปรบนกล้อง DSLR ที่สามารถช่วยให้สามารถถ่ายรูปด้วยเลนส์ 70-200mm f/2.8 น้ำหนัก 1-2kg แล้วสามารถลด speed shutter ลงได้ถึงระดับ 1/60s ก็ไม่ได้หมายความว่าจะถ่ายรูปรถที่วิ่งอยู่ได้ชัดเจน เพราะการถ่ายรูปรถที่เร็วนั้นคุณต้องเพิ่ม speed shutter เพื่อหยุดความเคลื่อนไหวของตัวแบบเพียวชั่วขณะ อาจใช้ถึง 1/2000/s หรือ 1/4000s เลยก็ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการถ่ายรูป

ข้อเท็จจริงคือ electronic shutter มีมานานแล้วและกล้องมือถือก็ใช้กันแบบนี้ทั้งนั้น การทำ speed shutter สูงๆ ระดับหลักหมื่นจึงทำได้ง่ายกว่า DSLR หรือพวกที่เป็น mechanical shutter มาก (Nikon D7100 ถ่ายได้ speed shutter 1/8000s) เอาง่ายๆ ว่ากล้องอย่าง Nokia Lumia 920 ถ่ายรูปได้ที่ 1/3000s สบายๆ แต่สิ่งที่แตกต่างคือการควบคุม speed shutter นั้นจะเป็นตัว camera app เป็นคนควบคุม ไม่ใช่คนใช้งาน เพราะฉะนั้น ส่วนที่จะทำให้มันเกิดขึ้นในกล้องมือถือได้มากขึ้นคือทำให้ camera app ฉลาดพอที่จะรู้ว่าควรถ่ายแนวไหนยังไง สุดท้ายก็ต้องมาลงที่ app ที่คนจะใช้งาน ซึ่งสามารถเลือกหรือสั่งงานอย่างถูกต้องกับสิ่งที่กำลังจะถ่ายอยู่

ต่อมาคือ การถ่ายรูปในสภาพ speed shutter สูงๆ นั้นต้องทำให้ตัวเซ็นเซอร์รับภาพ สามารถรับภาพที่ ISO (ความไวแสง) ได้สูงมากขึ้นในสภาพแสงต่างๆ กันไป เพราะยิ่งเราต้องการใช้ speed shutter สูงเท่าไหร่ก็ต้องการเซ็นเซอร์ที่ไว้ต่อแสงมากขึ้นเท่านั้น (เพราะแสงมีเวลาที่จะวิ่งเข้าไปหาเซ็นเซอร์น้อย) ซึ่งอย่าลืมว่ากล้องมือถือส่วนใหญ่ค่า f นั้นคงที่อยู่แล้ว จะไปควบคุมหลี่หรือเปิดรูรับแสง (ค่า f) ซึ่งปรกติปรับค่า f ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะทำให้ถ่ายรูปแล้วเซ็นเซอร์รับแสงได้ดี ต้องพัฒนาให้เซ็นเซอร์รับรู้แสงในระดับ ISO สูงๆ แทน ใครนึกภาพไม่ออก ถ้ามี DSLR ลองเอาเลนส์ fixed 50mm f/1.8 มาถ่ายรูปด้วยค่า f/2.0 ตลอดทั้งวันดูครับ เช้ายันเย็น จะเข้าใจว่าค่าที่คุณปรับจะเหลือแค่ speed shutter และ ISO เท่านั้น โดยถ้าได้รับการเรียนรู้การถ่ายรุปมาจะรู้ว่าต้องปรับ speed shutter ก่อน ISO เสมอ เพราะ ISO ยิ่งปรับมาก ยิ่งเกิด noise คุณภาพของภาพจะแย่ลง โดยถ้าคุณถ่ายรูป speed shutter สูงๆ ในอาคาร ต้องดัน ISO ขึ้นสูงอาจจะ 1600 หรือ 3200 เลย กล้อง DSLR อาจจะสบายๆ แต่กล้องมือถือ แค่ 800 ก็ตายแล้ว ><" ปล. ใครงงที่ผมอธิบาย ลองศึกษาเรื่อง ค่ารูรับแสง (ค่า f) ความเร็วชัตเตอร์ (ค่า s) และค่าความไวแสง (ค่า ISO) ดูครับ น่าจะเห็นภาพชัดขึ้น ซึ่งอยู่ในชื่อบทความจำพวก "การวัดแสง” และ “ความเร็วชัตเตอร์ รูรับแสง และ ISO ” ในเรื่องการถ่ายรูป ;)

เอาภาพจากกล้อง HTC One X มาให้ดู

ผมได้ไปงาน Dinner เล็กๆ ของ HTC มาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาครับ เป็นงาน HTC One Gathering Dinner จัดกันเล็กๆ ที่ Sivatel Bangkok (แอบหลงตอนไป)

โดยรวมแล้วในงานมี 3 ตัวครับ แต่ผมถูกใจภาพจากกล้อง HTC One X มากที่สุดและได้เล่นเยอะที่สุด ส่วนตัว V และ S ผมเล่นไม่เยอะครับ แต่ทุกตัวคุณสมบัติตัว OS ไม่ต่างกัน ต่างกันที่ตัว spec ของ H/W และหน้าจอ ซึ่ง HTC One X ดูดีสำหรับผมมากๆ วัสดุสวยและดีจริงๆ ในงานโชว์ทำตกพื้นให้ดูก็หยิบมาเล่นต่อได้ ซึ่งน่าสนใจๆ มากสำหรับคนชอบอะไรทนไม้ทนมือ

สำหรับตัวกล้องนั้น One X ให้มา 8Mpx ครับ ทำ ISO ได้สูงถึง 1600 แต่ปรับได้จริงๆ ประมาณ 800 (คิดว่ากล้องถ้าตั้ง Auto มันจะปรับเพิ่มได้อีก) ซึ่งสำหรับกล้องมือถือด้วยเนี่ย ไม่ธรรมดา ภาพในที่แสงดีๆ HDR สวยเลย แต่แอบช้านิดๆ แต่ถ่ายออกมาสวย (ตอนถ่ายในที่แสงน้อยต้องมือนิ่งๆ สักหน่อย)

ขอไม่พูดอะไรมากครับ ผมขอเอาภาพจากกล้องมือถือตัวนี้มาให้ชมกันเล็กๆ แล้วกันครับ

ปล. ภาพบางภาพผมถ่ายเองบ้าง คนอื่นถ่ายบ้าง แต่ไม่รู้ใคร ><” ขออภัยด้วยที่ไม่ได้กล่าวถึงคนถ่ายรูปบางภาพ เพราะอยู่ในเครื่องมาก่อนถึงผมแล้ว เลย copy มาฝากด้วย

ปล2. อยากดูภาพ Original คลิ้กที่รูปผมอัพไฟล์ต้นฉบับจากกล้องให้แล้วครับ

IMAG0099c

f/2 speed 1/20s ISO-500
Original: 3264x1840pixel (8Mpx) to 1024x577pixel (via Bicubic Sharper)

IMAG0118

f/2 speed 1/15s ISO-1600
Original: 3264x1840pixel (8Mpx)

Read more

Nikon Sales Thailand เปิดตัว Nikon D4 และเลนส์รุ่นใหม่ในประเทศไทย

ในวันที่ 6 ม.ค. 2555 Nikon Sales Thailand เปิดตัวกล้องและเลนส์รุ่นใหม่พร้อมกับ Nikon สาขาอื่นทั่วโลก แน่นอนว่าเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้เปิดตัวกล้องรุ่นโปรพร้อมกับประเทศ อื่นๆ อีกด้วย

คุณสมบัติของกล้อง Nikon D4 คือ

  • CMOS image sensor 16.2 megapixel format FX (24x36mm Full-Frame)
  • ความเร็วในการถ่ายรูปต่อเนื่องที่ full-resolution (16.2 megapixel) ที่ 10 frame per second (fps) เมื่อเปิด AE/AF และไม่เปิด AE/AF ที่ 11 frame per second (fps)
  • Startup time 0.12 seconds และ Shutter Lag 0.042 seconds
  • ปรับปรุงการถ่ายรูปในที่แสงน้อยโดยตั้งแต่ ISO 100 ถึง 12,800 และลดและเร่งได้ตั้งแต่ ISO 50 ถึง 204,800 ทั้งในโหมดถ่ายภาพปรกติและวิดีโอ
  • Image Processor EXPEED3 รุ่นใหม่
  • ปรับปรุงระบบวัดแสงจาก D3 เป็นรุ่นที่ 3 (Third generation color matrix metering system) ที่ 91,000 pixel RGB metering sensor และ 3D Color Matrix III เน้นความสว่างที่ใบหน้าของคน
  • Advanced Multi-CAM 3500FX ระบบโฟกัสปรกติทัั้งหมด 51 จุด และระบบโฟกัสแบบ cross-type ทั้งหมด 15 จุด ที่ f/5.6 หรือกว้างกว่า และระบบโฟกัสสามารถโฟกัสได้ช่วงสว่างน้อยลงไปได้อีก 2 stop จากความสว่างปรกติ
  • มีระบบ Focus Point Switching ระหว่าง Portrait/Landscape
  • เพิ่มปุ่มย้าย Focus อีกปุ่มเพื่อความสะดวกตอนใช้ถ่ายแนวตั้ง
  • Viewfinder แบบ Full Pentaprism 100%
  • บันทึกวิดีโอแบบ Full HD 1080p ได้ที่ 30 และ 24 fps และ HD 720p ที่ 60 fps ในโหมด slow-motion โดยรอบรับการบันทึกแบบบีบอัดด้วย H.264 B frame compression ด้วย ถ่ายได้สูงสุด 29 นาที 59 วินาทีต่อคลิป
  • ระบบบันทึกวิดีโอมี Auto Flicker Reduction (50/60Hz)
  • ระบบวิดีโอสามารถเลือก FX (x1), DX (x1.5) และ CX (x2.7) Format บนวิดีโอแบบ Full HD โดยไม่ลดคุณภาพใดๆ
  • สนับสนุน WTSA wireless control บน Nikon WT-5 wireless tramsmitter และมี Ethernet port
  • HDMI ouput สำหรับบันทึกวิดีโอแบบไม่บีบอัดบน Apple ProRess 422 Series
  • มี Function ทำงานผ่าน HTTP Mode ในการควบคุมและเข้าถึงไฟล์ต่างๆ ในกล้องได้ทันที
  • เพิ่มระบบ face detection/recognition เพื่อสะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น
  • ตัวกล้องนั้นเป็นกล้องตัวแรกที่สนับสนุน XQD Compact Flash memory card (125MB/s) และ CF UDMA7 (100MB/s)
  • Thermal Shield พื้นผิวตัวกล้องเพื่อป้องกันความร้อนจากภายนอกเข้าภายในกล้องได้ดีมากขึ้น
  • ตัว Shutter นั้นออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยทดสอบแล้วทำงานได้ถึง 400,000 ครั้ง
  • เพื่อขนาดจอ LCD ด้านหลังเป็น 3.2" 921,000 pixel Gapless และมีเซ็นเซอร์ปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติ
  • น้ำหนัก 1.180kg (ไม่รวมแบตฯ)

ราคาขายอยู่ที่ 200,000 บาท (ถามตอน Q/A ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต)

ปิดท้ายด้วย เปิดตัว AF-S Nikkor 85mm f/1.8G เลนส์รุ่นใหม่ในงานนี้ด้วยราคาประมาณ 16,000-17,000 บาท (ถามตอน Q/A ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต)

ราคาทั้งสองตัวยังไม่มีออกมาอย่างเป็นทางการ

Read more

ดู Tech Spec ของ iPhone 4S Camera แล้วมาเล่าสักหน่อย

ยังไม่ได้ของจริง แน่นอนผมจั่วหัวมาแบบนี้ เพราะผมอ่าน spec มาพูดในเชิงคนถ่ายรูปล้วนๆ จากการที่ได้ใช้งานกล้องถ่ายรูปมาได้สักเกือบๆ 4 ปีแล้ว

คำเตือน! … ต่อจากนี้ Keyword เพียบ คนอ่านอาจธาตุไฟเข้าแทรกได้ แนะนำให้เตรียมตัวรับและหาคำตอบจาก Keyword บางตัวเองนะครับ เป็นศัพท์เทคนิคล้วนๆ ใครอ่านแล้วเข้าใจเกือบหมดแสดงว่าถ่ายรูปมาพอสมควร

ทำความเข้าใจร่วมกันก่อนว่า การถ่ายรูปหรือการเก็บภาพลงบนสื่อใดๆ คือ “การเก็บแสงที่สะท้อนเข้าตาเรา โดยที่เราแทนที่ตาเราด้วย เลนส์ และ Image Sensor มีสมองเป็นตัวประมวลผลภาพ ซึ่งเราให้ Image Processor เป็นตัวแทน” เพราะฉะนั้นแสงยิ่งสว่าง หรือมีแสงเพียงพอต่อการถ่ายรูปจะยิ่งดี

เพราะฉะนั้น ผมของแยกออกมาเป็น 3 ส่วนคือ เลนส์, Image Sensor และ Image Processor

เลนส์ของกล้อง iPhone 4S เป็นชิ้นเลนส์ 5 ชิ้นมาประกอบกันเป็นชุดเลนส์ 1 ชุด (Five element lens) จากของเดิมใน iPhone 4 เป็น 4 ชิ้นเลนส์ ซึ่งในความเป็นจริงๆ ปรกติเลนส์ของกล้องถ่ายรูปนั้นจะมีชิ้นเลนส์หลายๆ ชิ้นมาประกอบกันเพื่อโฟกัสและรวมแสงเข้า Image Sensor อยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าจะใส่กี่ชิ้นและจัดระยะห่างกันอย่างไร การเพิ่มชิ้นเลนส์ตามความเข้าใจคนทั่วไป อาจจะมองว่าอาจทำให้แสงเดินทางผ่านตัวกลางเพิ่มขึ้นจนทำให้คุณภาพของแสงที่วิ่งผ่านเข้าสูง Image Sensor ลดลง แต่ในความเป็นจริง การเพิ่มชิ้นเลนส์อาจเพื่อแก้ไขปัญหา หรือเพื่อทำให้แสงที่เดินทางผ่านเข้ามานั้นมีคุณภาพที่ดีขึ้นได้ อาจจะเพื่อบีบแสงให้รวมกลุ่มกันดีมากขึ้นไม่ให้ฟุ้ง หรือลดแสงสะท้อนต่างๆ (คล้ายๆ กับการเพิ่มชิ้นเลนส์ ED ของ Nikon ที่ลดความคลาดแสง หรือเพิ่มชิ้นเลนส์ Nano Coating เพื่อลดการเกิดแสงโกสหรือแฟร์ เป็นต้น) เพราะฉะนั้นการเพิ่มชิ้นเลนส์อาจจะหมายถึงคุณภาพของแสงที่วิ่งเข้ามาดีขึ้น ขจัดแสงที่ไม่พึงประสงค์ออกไปทำให้ภาพดูชัดและคมมากขึ้น

เมื่อตัวชิ้นเลนส์ที่มีตัวกลางเพิ่มขึ้น แม้จะช่วยได้มากในการรวมแสงที่มีคุณภาพดีขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาว่าในสภาพของแสงที่น้อย การเพิ่มรูรับแสง (Aperture) ให้ได้คุณภาพดีนั้นก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น ผมมองว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วก็เลยเพิ่มขนาดความกว้างของรูรับแสงใน iPhone 4S กว้างขึ้นเป็น f/2.4 จาก f/2.8 ใน iPhone 4 จึงทำให้ชดเชยสิ่งที่เสียไปด้วยอีกทางเช่นกัน

ข้อสังเกตอย่างนึงก็คือ เลนส์ iPhone 4 แต่เดิมนั้นมีทางยาวโฟกัส (Focal length) ที่ 3.85mm แต่ใน iPhone 4S ปรับให้แคบลงมาเป็น 4.3mm ซึ่งทำให้ถ่ายรูปออกมาแล้วรู้สึกว่าถ่ายได้พื้นที่สำหรับเก็บภาพที่กว้างน้อยลง (ทางยาวโฟกัสเพิ่มขึ้นองศารับภาพลดลง)

image

ส่วนของ Image Sensor ของ iPhone 4S เป็น CMOS Backside illumination ให้ขนาดของภาพที่ 8 Megapixel  (3264×2448 pixel) โดย Back-side illumination (BSI) นั้นเป็นการให้ Photodiode สลับมาอยู่ด้านบน ทำให้แสงสามารถตกลงบน Photodiode ได้ดีกว่าเดิม

 image
รูปจาก i-micronews.com

ซึ่งขนาดของ Image Sensor ของ iPhone 4S นั้นมีขนาดอยู่ที่ 4.54 x 3.39 mm2 (5.67 mm diagonal) ซึ่งเท่ากับของ iPhone 4 โดยถ้าเทียบกับกล้อง Film (Full-frame พวก SLR หรือ DSLR) ขนาด 35mm จะได้ crop factor ที่ 7.64x ถ้ามานั่งคำนวณต่อว่าจะได้ความชัดลึก-ชัดตื้นเท่าไหร่ (Depth of field/DOF) ด้วยชุดเลนส์ที่ให้รูรับแสงกว้างถึง f/2.4 และทางยาวโฟกัสที่ 4.3mm ถ้าเทียบกับกล้อง Film (SLR หรือ DSLR) ขนาด 35mm จะได้ทางยาวโพสกัสที่ 33mm และค่าของรูรับแสงที่ f/22 เพราะฉะนั้นจะหน้าชัดหลังเบลอแบบเอาไปเทียบกับ SLR/DSLR คงทำได้ไม่ดีนัก เพราะปัจจัยในการได้ภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอนั้นไม่ใช่แค่เลนส์แล้วจบ แต่มันเกี่ยวกับขนาดของ Image Sensor เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

แต่ทาง Apple ไม่ได้ระบุว่า ISO และ Speed Shutter เท่าไหร่ แต่คิดว่าถ้าบอกว่าสว่างขึ้นและเร็วขึ้นจาก iPhone 4 เพราะฉะนั้นลองเอามาเทียบๆ กับ iPhone 4 ที่สามารถใช้ ISO 80-2000 และ Speed Shutter 1/1000sec นั้นอาจจะถ่ายภาพด้วย ISO ที่สูงขึ้นได้อีกและ Speed Shutter และ Frame per Second ที่ดีมากขึ้นด้วย

ส่วนที่น่าสนใจคือ Hybrid IR Filter ที่เป็นการกรองคลื่นแสง Infrared ในแสงธรรมชาติหรือแสงจากแหล่งอืนๆ เพื่อให้สามารถถ่ายภาพได้สีสดใสมากขึ้น (ปรกติพบอยู่ในกล้อง DSLR เป็นปรกติอยู่แล้ว)

สุดท้าย Apple A5 ที่ออกแบบและพัฒนาตัว Image Signal Processor (ISP) ไว้ใน CPU ตัวนี้ เป็นอีกปัจจัยนึงที่ทำให้ภาพนั้นมีคุณภาพดีขึ้น ควบคุมโทนสีต่างๆ และความคมชัดที่ถูกปรับแต่งผ่าน Image Processor นั้นถูกตาถูกใจคนใช้งานได้มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะในโหมดของ HDR ที่ปรกติจะเป็นการถ่ายภาพ 3 ภาพใน Exporsure ที่แตกต่างกันและนำมาทำ Tone Mapping เพื่อให้ได้ Dynamic Range ของภาพที่มากขึ้นกว่าถ่ายภาพปรกติ

อีกอย่างที่น่าสนใจคือ Apple ใช้ ISP บน A5 ในการปรับแต่งภาพให้ได้สมดุลสีขาว (White Balance) ที่ถูกต้องมากขึ้นอีก 28% และรองรับ Face Detection ในตัวไปเลย (ใช้ Apple A5 ในเรื่องการถ่ายภาพคุ้มค่ามาก)

ซึ่งเจ้า Image Processor ที่ที่กล่าวมานั้นมีอยู่เป็นเรื่องปรกติในวงการถ่ายภาพด้วยระบบ Digital อยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่ละค่าย แต่ละยี่ห้อก็จะมีสูตรและวิธีคิดปรุงแต่งตัวภาพที่ได้จาก Image Sensor ที่แตกต่างกันไปตามเอกลักษณ์ของแต่ละค่ายนั้นเอง (ขอไม่พูดถึงไฟล์แบบ RAW Format เดี่ยวจะงงไปใหญ่)

สุดท้ายเหมือนเป็นของแถมจากการใช้ CPU ที่เร็วขึ้น และด้วยการที่พัฒนา Apple A5 ให้มี ISP ที่ดีขึ้น ทำให้สามารถถ่ายรูปแรกนับตั้งคลิ้กเริ่มถ่ายได้ในเวลาเพียง 1.1 วินาที และรูปต่อมาในเวลาเพียง 0.5 วินาที โดยที่สามารถถ่ายวิดีโอขนาด 1080p บน iPhone 4S ได้อีกด้วย

New Nikon "1 System" mirrorless cameras

image image

สิ่งที่ทำให้ค่ายอื่นๆ ร้อนๆ หนาวๆ คือ Mount Adapter FT1 ของ Nikon 1 System!!! พวกลากเอา NIKKOR Lenses AF-S ยกบริษัทมาใช้งานได้เลยนี่ดิ!! แถมมัน Autofocus ได้

Nikon V1 and J1 (Same Feature)

  • 10.1 megapixel CMOS sensors CX-size (13.2mm x 8.8mm, 2.7x crop factor)
  • up to ISO 3200 (Hi-1 mode 6400)
  • New Dual-core EXPEED 3 processing engine
  • Nikon F-Mount Support via Adapter
  • 73-point AF system (Generous array of 73 phase detection AF points)
  • 10fps shooting photos
  • Electronic shutter (1/16,000 second)
  • X-sync is at 1/60 second (via electronic shutter)
  • Full HD 1080p (1,920 x 1,080 pixel)
    • 30 progressive-scan frames per second video capture
    • 60 interlaced fields per second from 60 frames per second
    • HD 720p (1,280 x 720 pixel) 60 frames per second video capture
    • VGA (640 x 480) 400 frames per second video capture
    • QVGA (320 x 240 pixel) 1200 frames per second video capture for a 40x super slow motion effects
    • Video use MPEG-4 / H.264 AVC
    • auto-noise reduction on movie clips
    • 29 minute cap on single movie files
  • HDMI / USB connectivity

Nikon J1

  • Built-in flash (Guide number of 5 meters or 16 feet at ISO 100)
  • 3-inch LCDs 460,000 dot (153,000 pixel)

Nikon V1

  • No built-in flash and supports an external flash
  • 3-inch LCDs higher-resolution 921,000 dot (307,000 pixel)
  • High-res electronic viewfinders (EVF) – 0.47” (1,440,000 dot electronic viewfinder)
  • Mechanical shutter (1/4,000 second)
  • X-sync 1/250 second (via mechanical shutter)
  • Stereo microphone input
  • Multi-accessory port
  • Magnesium alloy chassis

Nikon unveils V1 and J1 mirrorless cameras: 10.1MP CMOS, 1080p video, ships in October for $650+ (video)
Nikon announces Nikon 1 system with V1 small sensor mirrorless camera
Nikon V1, J1: Two new compact system cameras for Nikon’s mirrorless debut (รูปภาพ)