ณ. SM Tower ชั้น 25 TARADdotcom
ไม่ใช้ขาตั้งกล้อง พยายามให้นิ่งที่สุดตอนวางกล้องทาบกับขอบกำแพงกั้น และหนึ่งใน 10 ช็อตที่ถ่าย ได้ภาพนี้มาครับ
http://fordantitrust.multiply.com/photos/album/80/
Human knowledge belongs to the world!
ณ. SM Tower ชั้น 25 TARADdotcom
ไม่ใช้ขาตั้งกล้อง พยายามให้นิ่งที่สุดตอนวางกล้องทาบกับขอบกำแพงกั้น และหนึ่งใน 10 ช็อตที่ถ่าย ได้ภาพนี้มาครับ
http://fordantitrust.multiply.com/photos/album/80/
กล่องที่ส่งมาที่ร้านที่สั่ง ยังไมไ่ด้แกะ Sealed แต่อย่างใด
ที่หน้ากล่องจะบอกว่าเป็น P/N อะไรและมี S/N อะไร โดยบอกว่าเป็นของ ThinkPad R32 Li-Ion Battery แต่จริงๆ ใช้งานได้กับรุ่น R40 ด้วย
ภายในก็จะมี User’s Guide และใบรับประกันของโซนยุโรปด้วย
เมื่อเอาคู่มือออกก็จะมีแบตที่ล้อมรอบด้วยฟองน้ำกันกระแทกและถุงซิลอีกชั้นนึง
แบตของข้า !!!
เปรียบกับแบตที่มากับคู่กับเครื่องซึ่งตอนนี้ผ่านมาจะ 3 ปีสามารถใช้งานได้ที่ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ส่วนก้อนที่ 2 ที่ซื้อเมื่อปีที่แล้ว ใช้ได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ส่วนก้อนใหม่นี้ คงได้ประมาณ 4 – 5 ชั่วโมง (ซื้อปีละก้อนเลย -_-‘)
ดูกันชัด ๆ ที่ตัวแบต รหัสนี่เหมือนกันทั้งคู่ตัวและที่สั่งใหม่ครับ
วันนี้ผมจะมา Review กระเป๋าใส่โน๊ตบุ๊กใส่ฝันของผมเลย คือ IBM (Lenovo) Thinkpad Carry Case Backpack ซึ่งหมายตามันมานานมาก โดยในการ Review จากเว็บเมืองนอกว่าดีมาก ๆ และใส่ของได้เยอะด้วย (ออกแบบโดย IBM Thinkpad Research ที่ญี่ปุ่น) โดยสั่งตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2006 โดยเป็นสินค้าแบบ By Order ซึ่งต้องจ่ายเงินและรอสินค้าประมาณ 3 – 4 อาทิตย์ เพราะไม่มีการสต็อกสินค้าไว้ในคลังสินค้า (คาดว่าเพราะมันขายยากเนื่องจากราคามันแพง) โดยสั่งกับ Shop4Thai และได้รับวันเสารที่ผ่านมานี่เองครับ ใช้เวลาประมาณ 3 อาทิตย์ ทีเดียว (รอได้ของดีไม่มีปัญหา ;) ) วันนี้เลยเอามา Review ประเดิมการย้าย Server ใหม่เสียเลย ฮ่า ….
ข้อมูลเบื้องต้น
รายละเอียดบนหีบห่อที่ใส่กระเป๋ามาครับ โดยจะบอกว่ามันบรรจุลงหีบห่อในวันที่ 20 July 2006 นี้เอง โดยผลิตที่จีนครับ (ฐานการผลิตใหญ่ของ IBM เก่า ก่อนจะเป็นของ Lenovo ในคราวต่อมา)
ด้านหน้า ตัวซิปต่าง ๆ ทำมาเพื่อกันน้ำโดยเฉพาะและซิปด้านหน้ามีปุ่มสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์เล็ก ๆ ว่าเป็นกระเป๋าของ Thinkpad ครับ
ด้านหลัง มีการบุผ้าสำหรับระบายอากาศไม่ให้อับเกินไปครับ
ด้านบน จะเห็นว่าที่หิ้วกระเป๋านั้นจะติดกับสายสะพายเลย ซึ่งด้านซ้ายและขวาจะมีสายรั้งสายสะพายเสริมมาด้วย เพื่อช่วยไม่ให้สายสะพายรับน้ำหนักเพียงอย่างเดียว (ต้องปรับสักหน่อยให้ช่วยกันรับน้ำหน้กครับตัวสายสะพายจะได้ไม่ขาดเร็วเนื่องจากทำงานหนักครับ)
ด้านล่างมีแผ่นยางรองรับสำหรับวางกระเป๋าและทำให้กระเป๋าตั้งตรงได้โดยไม่ต้องพิงกับเสาหรือหลักอื่น ๆ ครับ
ป้ายชื่อ หลายคนคงคิดว่ามีไว้โชว์อย่างเดียว แต่มันแกะได้ครับ ด้านในเป็นที่ใส่นามบัตร หรือบัตรสำหรับด่านรับกระเป๋าตามสนามบินต่าง ๆ ได้ครับ
ช่องใส่ของด้านหน้าสุดครับ มีขนาดพื้นที่ไม่มาก เหมาะสำหรับใส่ของเล็ก ๆ น้อยๆ จำพวกผ้าอะไรพวกนี้ครับ อ่อ ลืมบอกไปครับว่า ช่องใส่ทุกช่องกันน้ำหมดครับ
ช่องที่ 2 ครับ เป็นช่องสำหรับใส่หนังสือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้เยอะมากครับ เราจะเห็นป้าย IBM เล็ก ๆ นั่นเป็นที่สำหรับคล้องกุญแจ และที่ห้อยจากป้ายเป็นไฟฉายขนาดเล็กครับ
ไฟฉายเป็นสีน้ำเงินแบบนี้ครับ โดยตัวไฟฉายจะยึดกับตัวคล้องกุญแจแต่มีเอ็นเส้นเล็็กแบบยืดออกมาได้เพื่อสะดวกในการใช้งานในที่อื่น ๆ ได้ด้วย (คล้ายๆ กับเมาส์ที่มีที่เก็บสายที่เป็นตลับ)
มีกระเป๋าเล็ก ๆ ใส่มาให้สำหรับใส่พวกอุปกรณ์ต่าง ๆ ผมเอามาใส่ Adapter ของโน๊ตบุ๊ก ครับ
ด้านซ้ายมีช่องสำหรับเอาสายหูฟังออกมาได้โดยมียางกันน้ำไม่ให้น้ำเข้าไปภายในกระเป๋าครับ
ช่องต่อมาเป็นที่สำหรับใส่โน็ตบุ๊กครับ มีส่วนสำหรับใส่อุปกรณ์อีกหลายช่องครับ
ช่องใส่โน็ตบุ๊ก โดยมีช่องเล็ก ๆ สำหรับใส่โน็ตบุ๊กจอ 12.1 นิ้วด้วยครับ เพื่อให้มันพอเหมาะกับขนาดของโน็ตบุ๊กในแต่ละแบบครับ (มีช่อง 2 ขนาดคือ 14.1/15 นิ้ว และ 12.1 นิ้ว ครับ) เพื่อให้มันไม่สะเทือนครับ โดยที่สาบรัดซึ่งยึดไม่ให้ตัวโน็ตบุ๊กหลุดออกมานั้นสามารถดึงออกมาจากที่มันยึดอยู่ได้แล้วปรับขึ้นลงได้ เพื่อให้รองรับกับขนาดของโน็ตบุ๊กได้หลากหลายระดับ
แผ่น SafePORT Air Cushion System ที่เป็นแผ่นรองรับโน็ตบุ๊กครับ โดนมันสามารถกันกระแทกได้ในแนวตั้งครับ โดยใช้ซับแรง g จากการกระแทกให้ได้รับแรง g น้อยลงครับ ซึ่งลดได้ประมาณ 20 – 40 % ขึ้นอยู่กับแนว โดยอยู่ในระดับไม่เกิน 1.5 เมตรและลงมาในแนวตั้งของกระเป๋าด้วย แต่ก็ช่วยป้องกันได้บ้าง ดีว่าไม่ได้ป้องกันเลยครับ
ด้านข้างทั้งสองข้าง เป็นที่ใส่ขวดน้ำครับ
และตามมาตรฐานกระเป๋าทั่วไปก็ต้องมีกระเป๋าเล็ก ๆ สำหรับใส่โทรศัพท์มือถือครับ
ทำไม !! คอมไพล์เลอ ต้องมังกร และ โอเอส ต้องไดโนเสาร์
เป็นคำถามที่ผมว่ามันก็หาคำตอบลำบาก แต่วันนี้ผมจะมาแนะนำหนังสือ คงไม่บอกว่ามันดียังไง เพราะว่าหนังสือมันก็ดีทุกเล่มนั้นแหละ เพียงแต่ว่าเล่มนั้นจะให้แนวคิดและทำความเข้าใจได้ง่ายกว่ากันเท่านั้นเอง (หนังสือบางเล่มจำเป็นต้องมีพื้นความรู้หลายๆ อย่างก่อนไม่งั้นอ่านแล้ว งง โคตรๆ)
ถือเป็นหนังสือที่เอาไว้ศึกษาหลักการ Operating System ได้ดีมาก ๆ เลยทีเดียว ที่ผมเรียนตอนปี 3 ก็ใช้เล่มนี้สอนเป็นหลัก แต่เนื้อหามันเยอะมาก เลยเรียนไม่หมดเล่ม ด้วยความอยากรู้เลยไปซื้อที่ CU Book ที่ม. ตอนนั้นมี Wiley Asia Sutdent Edition ขายพอดีราคาเลยถูกกว่าเล่มที่วางขายทั่วไปพอสมควร (เล่มในรูปซื้อมาประมาณ 600 – 700 ไม่เกินนี้ จำราคาไม่ได้นานแล้วอ่ะ -_-‘) เอาไว้ศึกษาพวก thead, memory management แล้วก็พวก deadlock ต่าง ๆ จริง ๆ อ่านเล่มนี้ทำให้เราเขียนโปรแกรมให้มีประสิทธิภาพสูงได้เลยหล่ะ ได้แนวคิดเยอะมาก ๆ จริง ๆ คนที่เขียนพวกซอฟต์แวร์ที่ใช้ thead หรือพวก control session ต่าง ๆ สมควรอ่านอย่างยิ่งเลย เล่มที่ได้มานี่ 7th Edition ถือน่าจะใหม่เกือบที่สุดแล้วในตอนนี้ (เห็นใน amazon มี with Java ด้วย อันนี้น่าจะใหม่กว่านิดหน่อย) แต่เนื้อหาหลัก ๆ ถือว่าควบถ้วนครับ ซึ่งเล่มถ้าจะอ่านต้องมีพื้นในด้าน Hardware พอสมควร แนะนำให้เปิดหนังสือเล่มนี้อ่านพร้อม ๆ กับพวกวิชา Introductrory to Computer หรือ Computer Organization and Architecture ไปด้วยจะดีมาก ๆ
by Alfred V. Aho, Ravi Sethi, and Jeffrey D. Ullman
เล่มนี้ถือว่าหายากมากในไทย แถมเป็นเล่มที่ Classic ของคนเรียน Computer Science (ออกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985-1986) เห็นว่าเดือนนี้ (สิงหาคม 2006) จะออก Edtion ที่สองแล้ว แต่ว่าเล่มนี้นี่ ผมก็ไม่รู้ทำไม ที่มหาวิทยาลัยก็ไม่มี ในหอสมุดก็เพิ่งจะเอามาลงเมื่อปลายปี 2548 นี้เอง จริง ๆ ดูราคาแล้วก็แพงมหาโหดมาก ราคาจาก US -> Thai นี่เกือบ ๆ 4,000 บาทได้ เลยต้องยืมของหอสมุดมาถ่ายเอกสารเอา เพราะว่าหาซื้อไม่ได้ แถมแพงอีก ยิ่งแล้วใหญ่เลย (ถ่ายยังราคาเกือบ ๆ 500 บาทได้) โดยภายในหนังสือสอนแนวคิดก่อน และก่อนจะอ่านเล่มนี้จริง ๆ ต้องมีพื้นหลายอย่างมาก่อนแล้วทั้ง Computationnal Thoery หรือพวก Regular Expression wi POSIX/Perl ไม่งั้น อ่านลำบากมาก เพราะด้านในนี้แทบจะหา code โปรแกรมน้อยมาก ส่วนใหญ่จะออกแนวสัญลักษณ์ Computationnal Thoery เยอะ แถมต้องแม่น Data Structure และ Programming Language พอสมควรอีก ถ้าใครคิดจะอ่านเล่มนี้ต้องหาหนังสือเล่มอื่น ๆ อ่านประกอบไปด้วยไม่งั้นนึกภาพตามไม่ออกจริง ๆ ขนาดเราว่าเราแม่น ๆ หลายวิชาแล้วนะ ยังอ่านแล้วอ่านอีก เพราะว่าอ่านยากจริง ๆ แต่ถ้าอ่านแรกเข้าใจนะ โห … สุด ๆ อ่านแล้วนี่ Optimize Code ที่เราเขียนห่วย ๆ ตอนปี 2-3 ได้สบาย ๆ เลย เหมาสำหรับคนที่ออกแนวชอบ Optimize Code หรือพวกชอบงานแนว ๆ Code Quality
เล่มต่อมาเป็น
อันนี้ไม่พูดอะไรมาก ราคาไม่แพงพอ ๆ กับ Operating System (เพราะว่ามันเป็น International Edition มันเลยถูก ;) ) เอาไว้อ่านประกอบ Compilers ด้านบนนั้นแหละ แต่บางอย่างอาจขัดแย้งกันในบางเรื่องกับ Compilers คงต้องเลือก ๆ อ่านสักหน่อย แต่ถือว่าช่วยให้อ่านเจ้า Compilers ได้เยอะ
ปิดท้ายด้วย หนังสือสำหรับคนที่ชอบการออกแบบ Database
เล่มนี้เอาไว้เรียนวิชา Database และมันเป็นแหล่งอ้างอิงที่ดีในการทำ Database Tuning ด้วย คงไม่บรรยายอะไรมาก หาอ่านเอาแล้วกัน เล่มนี้ Concept แน่นดีมาก ๆ
ว่าง ๆ จะหาหนังสือดีมาแนะนำอีกนะ ไปก่อนหล่ะ แว็บบบบบบบ