มันมาแล้ว Battery IBM Thinkpad

สั่งร้านคอมฯ ที่นครสวรรค์ เมื่อเดือนที่แล้ว เป็นสินค้า By order คือต้องสั่งแล้วรอ ของมาแล้วค่อยจ่ายเงิน (หรือจ่ายก่อนแล้วก็รอของมา) กว่าจะมาก็รอมาเกือบ 2 เดือน -_-‘ สั่งจาก Dealer ที่เป็นของ SIS ก็ ok สินค้าก็มาตามสั่ง โดยที่สั่งไปเป็น battery ของ IBM Thinkpad R40/R32 มีหมายเลข part คือ 02K7052 ซึ่งราคาที่ร้านสั่งให้นี่ 3,950 บาท โดย battery จากที่ได้รับมานี่หมายเลข part ต่าง ๆ ทั้ง FRU P/N และ  ASM P/N นั้นเหมือนกับที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ 1 ก้อน และที่มากับเครื่องอีกก้อนด้วย

กล่องที่ส่งมาที่ร้านที่สั่ง ยังไมไ่ด้แกะ Sealed แต่อย่างใด

ที่หน้ากล่องจะบอกว่าเป็น P/N อะไรและมี S/N อะไร โดยบอกว่าเป็นของ ThinkPad R32 Li-Ion Battery แต่จริงๆ ใช้งานได้กับรุ่น R40 ด้วย

ภายในก็จะมี User’s  Guide และใบรับประกันของโซนยุโรปด้วย

เมื่อเอาคู่มือออกก็จะมีแบตที่ล้อมรอบด้วยฟองน้ำกันกระแทกและถุงซิลอีกชั้นนึง

แบตของข้า !!!

เปรียบกับแบตที่มากับคู่กับเครื่องซึ่งตอนนี้ผ่านมาจะ 3 ปีสามารถใช้งานได้ที่ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ส่วนก้อนที่ 2 ที่ซื้อเมื่อปีที่แล้ว ใช้ได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ส่วนก้อนใหม่นี้ คงได้ประมาณ 4 – 5 ชั่วโมง (ซื้อปีละก้อนเลย -_-‘)

ดูกันชัด ๆ ที่ตัวแบต รหัสนี่เหมือนกันทั้งคู่ตัวและที่สั่งใหม่ครับ

Review IBM (Lenovo) Thinkpad Carry Case Backpack

วันนี้ผมจะมา Review กระเป๋าใส่โน๊ตบุ๊กใส่ฝันของผมเลย คือ IBM (Lenovo) Thinkpad Carry Case Backpack ซึ่งหมายตามันมานานมาก โดยในการ Review จากเว็บเมืองนอกว่าดีมาก ๆ และใส่ของได้เยอะด้วย (ออกแบบโดย IBM Thinkpad Research ที่ญี่ปุ่น) โดยสั่งตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2006 โดยเป็นสินค้าแบบ By Order ซึ่งต้องจ่ายเงินและรอสินค้าประมาณ 3 – 4 อาทิตย์ เพราะไม่มีการสต็อกสินค้าไว้ในคลังสินค้า (คาดว่าเพราะมันขายยากเนื่องจากราคามันแพง) โดยสั่งกับ Shop4Thai และได้รับวันเสารที่ผ่านมานี่เองครับ ใช้เวลาประมาณ 3 อาทิตย์ ทีเดียว (รอได้ของดีไม่มีปัญหา ;) ) วันนี้เลยเอามา Review ประเดิมการย้าย Server ใหม่เสียเลย ฮ่า ….

ข้อมูลเบื้องต้น

  • IBM (Lenovo) ThinkPad Carrying Case – Backpack
  • P/N : 73P3599
  • น้ำหนัก : 2.8 lbs (1.27kg)
  • วัสดุ : Ballistic Nylon (วัสดุกันน้ำได้ดี)
  • ขนาดกระเป๋า (สูง x กว้าง x หนา) : 48.9 x 38.1 x 22.9 cm
  • ขนาดช่องใส่โน็ตบุ๊ก (สูง x กว้าง x หนา) : 33.0 x 28.45 x 6.0 cm
  • ระบบกันสะเทื่อนแบบ SafePORT Air Cushion System จาก Targus ในช่องใส่โน็ตบุ๊ก
  • ไฟสีน้ำเงินขนาดเล็กภายใน
  • การรับประกันแบบ Limited lifetime warranty จาก Targus และ IBM (Lenovo)
  • ช่องที่เป็นซองใส่ CD/DVD ทั้งหมด 7 ช่อง
  • สี : ภายนอกสีดำ และช่องใส่โน็ตบุ๊กเป็นสีน้ำเงิน
  • ราคา 3,340 บาท ( + ค่าส่ง + vat 7% = 3,700 บาท)

ส่งมาในกล่องขนาดใหญ่โดยส่งมาใันถึงไทยในวันที่ 28 สิงหาคม 2006 แสดงว่าเป็นสินค้าสั่งโดยตรงจริง ๆ เพราะบนกล่องมีวันที่กำกับวันที่ส่งและสายการบิน รวมไปถึงบริษัทขนส่งด้วย ซึ่งต้องเข้าด่านเพื่อชำระภาษี ฯลฯ รวมถึงต้องเข้าคลังสินค้าของ Dealer ก่อน โดยส่งตรงจาก Lenovo ประเทศจีน มาถึง Lenovo Thailand และส่งมายัง Ingram ต่อไป แล้วจึงส่งมาที่เว็บที่ผมสั่งก่อนที่จะส่งมาหาผม (หลายทอดจริง ๆ สั่งสินค้าคราวนี้ได้ใจมาก ว่ามันเดินทางไกลจริง ๆ -_-‘)

รายละเอียดบนหีบห่อที่ใส่กระเป๋ามาครับ โดยจะบอกว่ามันบรรจุลงหีบห่อในวันที่ 20 July 2006 นี้เอง โดยผลิตที่จีนครับ (ฐานการผลิตใหญ่ของ IBM เก่า ก่อนจะเป็นของ Lenovo ในคราวต่อมา)


ด้านหน้า ตัวซิปต่าง ๆ ทำมาเพื่อกันน้ำโดยเฉพาะและซิปด้านหน้ามีปุ่มสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์เล็ก ๆ ว่าเป็นกระเป๋าของ Thinkpad ครับ


ด้านหลัง มีการบุผ้าสำหรับระบายอากาศไม่ให้อับเกินไปครับ


ด้านบน จะเห็นว่าที่หิ้วกระเป๋านั้นจะติดกับสายสะพายเลย ซึ่งด้านซ้ายและขวาจะมีสายรั้งสายสะพายเสริมมาด้วย เพื่อช่วยไม่ให้สายสะพายรับน้ำหนักเพียงอย่างเดียว (ต้องปรับสักหน่อยให้ช่วยกันรับน้ำหน้กครับตัวสายสะพายจะได้ไม่ขาดเร็วเนื่องจากทำงานหนักครับ)

ด้านล่างมีแผ่นยางรองรับสำหรับวางกระเป๋าและทำให้กระเป๋าตั้งตรงได้โดยไม่ต้องพิงกับเสาหรือหลักอื่น ๆ ครับ


ป้ายชื่อ หลายคนคงคิดว่ามีไว้โชว์อย่างเดียว แต่มันแกะได้ครับ ด้านในเป็นที่ใส่นามบัตร หรือบัตรสำหรับด่านรับกระเป๋าตามสนามบินต่าง ๆ ได้ครับ


ช่องใส่ของด้านหน้าสุดครับ มีขนาดพื้นที่ไม่มาก เหมาะสำหรับใส่ของเล็ก ๆ น้อยๆ จำพวกผ้าอะไรพวกนี้ครับ อ่อ ลืมบอกไปครับว่า ช่องใส่ทุกช่องกันน้ำหมดครับ


ช่องที่ 2 ครับ เป็นช่องสำหรับใส่หนังสือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้เยอะมากครับ เราจะเห็นป้าย IBM เล็ก ๆ นั่นเป็นที่สำหรับคล้องกุญแจ และที่ห้อยจากป้ายเป็นไฟฉายขนาดเล็กครับ


ไฟฉายเป็นสีน้ำเงินแบบนี้ครับ โดยตัวไฟฉายจะยึดกับตัวคล้องกุญแจแต่มีเอ็นเส้นเล็็กแบบยืดออกมาได้เพื่อสะดวกในการใช้งานในที่อื่น ๆ ได้ด้วย (คล้ายๆ กับเมาส์ที่มีที่เก็บสายที่เป็นตลับ)


มีกระเป๋าเล็ก ๆ ใส่มาให้สำหรับใส่พวกอุปกรณ์ต่าง ๆ ผมเอามาใส่ Adapter ของโน๊ตบุ๊ก ครับ


ด้านในจะมีช่องเล็ก ๆ สำหรับใส่พวกของเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายช่องมาก ๆ ผมเอามาใส่พวกสายไฟ และเหล่าอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ มากมายได้หมดเลย

ด้านซ้ายมีช่องสำหรับเอาสายหูฟังออกมาได้โดยมียางกันน้ำไม่ให้น้ำเข้าไปภายในกระเป๋าครับ


ช่องต่อมาเป็นที่สำหรับใส่โน็ตบุ๊กครับ มีส่วนสำหรับใส่อุปกรณ์อีกหลายช่องครับ


ซองใส่ CD/DVD ทั้งหมด 7 ช่องครับ

ช่องใส่อุปกรณ์สายไฟครับ เล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ

ช่องใส่โน็ตบุ๊ก โดยมีช่องเล็ก ๆ สำหรับใส่โน็ตบุ๊กจอ 12.1 นิ้วด้วยครับ เพื่อให้มันพอเหมาะกับขนาดของโน็ตบุ๊กในแต่ละแบบครับ (มีช่อง 2 ขนาดคือ 14.1/15 นิ้ว และ 12.1 นิ้ว ครับ) เพื่อให้มันไม่สะเทือนครับ โดยที่สาบรัดซึ่งยึดไม่ให้ตัวโน็ตบุ๊กหลุดออกมานั้นสามารถดึงออกมาจากที่มันยึดอยู่ได้แล้วปรับขึ้นลงได้ เพื่อให้รองรับกับขนาดของโน็ตบุ๊กได้หลากหลายระดับ




แผ่น SafePORT Air Cushion System ที่เป็นแผ่นรองรับโน็ตบุ๊กครับ โดนมันสามารถกันกระแทกได้ในแนวตั้งครับ โดยใช้ซับแรง g จากการกระแทกให้ได้รับแรง g น้อยลงครับ ซึ่งลดได้ประมาณ 20 – 40 % ขึ้นอยู่กับแนว โดยอยู่ในระดับไม่เกิน 1.5 เมตรและลงมาในแนวตั้งของกระเป๋าด้วย แต่ก็ช่วยป้องกันได้บ้าง ดีว่าไม่ได้ป้องกันเลยครับ


ด้านข้างทั้งสองข้าง เป็นที่ใส่ขวดน้ำครับ


ด้านหลังบริเวณที่แนบกันแผ่นหลังเรายังมีช่องสำหรับใส่ของได้อีกพวกกระเป๋าตัง หรือเอกสารเล็ก ๆ น้อยครับ

และตามมาตรฐานกระเป๋าทั่วไปก็ต้องมีกระเป๋าเล็ก ๆ สำหรับใส่โทรศัพท์มือถือครับ

คงต้องรองใช้ดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่เท่าที่ได้สะพายและเอาไปใช้งานวันนี้ก็สะดวกและกระชับกับการสะพายครับ ;)

ซื้อ Hard Drive ใหม่เสียที หลังจากอึดอัดมานาน

ด้วยเหตุที่ว่า Notebook ผมนั้นมันมีพื้นที่ใช้ส่อยแค่ 40GB และถูกลดลงด้วยหลักเลขฐานสองลงไปอีก (อ่านดูแล้วกัน : พื้นที่ในฮาร์ดดิสค์หายไปไหน ?? มันคือพื้นที่ผีอยู่ หรือว่ามันหายไปจริงๆ !!! ) ซึ่งมันจะเหลือให้ใช้จริงๆ อยู่ประมาณ 38.xx GB เท่านั้น ทำให้อึดอัดมาก แค่ลง Operating System และ Software ต่าง ๆ ก็ใช้พื้นที่ไปแล้วกว่า 16 – 18GB ซึ่งนี้ยังไม่รวมไฟล์เอกสารที่มากมาย ที่ซัดไปเหลือให้ได้ว่าง ๆ เอาไว้วิ่งเล่น และ Defragmemt อีกนิดหน่อย ซึ่งน้อยมาก ๆ จนต้องไปหาซื้อ Hard Drive ใหม่สักที ด้วยราคาที่ถูกลงมากสำหรับความจุ 80GB ทำให้ผมไปคว้ามาซะเลยในราคาค่าตัว 4,000 ถ้วน (ราคาต่างจังหวัดนะ) ซึ่งแพงกว่าแถวกรุงเทพฯ ตามห้างดังต่าง ๆ อยู่ไม่น่าเกิน 300 บาท (คิดซะว่าค่ารถไปกลับยังไม่ถึงเลย ถือว่า ok แล้วกัน) โดยที่ซื้อคือ Seagate® Momentus 5400.3 ST980815A 5,400rpm 80GB ซึ่งเอามาแทนที่ Hitachi® Travelstar HTS424040M9AT00 4,200rpm 40GB ที่ติดมากับ IBM Thinkpad R40 ตัวเก่งของผม ซึ่งการเปลี่ยนก็ง่าย ๆ แค่ถอดน็อต 1 ตัวแล้วก็เลื่อนมันออกมา ขันน็อตที่ยึดอีก 4 ตัว แล้วก็เปลี่ยนเสร็จก็เอาตัวใหม่ใส่แล้วก็ทำขั้นตอนย้อนกลับก็จบ ง่ายมาก ๆ ไม่ยาก แต่ที่ยากคือการเอาข้อมูลใน Hard Drive ตัวเก่ามาใส่ตัวใหม่ ซึ่งคงต้องอาศัย software อย่าง Norton Ghost มาช่วยเล็กน้อย ตามวิชาที่ได้ร่ำเรียนมาจากสำนักประกอบเครื่องตอน ม. 4-6 ที่โรงเรียนเก่า (ประกอบเครื่องและลงโปรแกรม 250 เครื่องภายใน 5 วัน ก็ใช้ Ghost เนี่ยหล่ะเป็นคำตอบ อิๆๆๆ) ซึ่งก้ใช้เวลาอีก 3 – 4 ชั่วโมงในการย้ายข้อมูล รวมไปถึงการ update MFT (Master File Table) ของ File System ของ Windows อีก ครึ่งชั่วโมง โดยใช้การ chkdsk c:/f เพื่อทำการ update MFT เพราะไม่งั้น windows มันจะเอ้อๆ และช้าๆ เพราะ MFT ใน Hard Drive ตัวเก่า กับ ตัวใหม่นั้นมีการอ้างอิงที่มีการคลาดเคลื่อนกันได้ โดยเฉพาะถ้าขนาด Partition ที่มีไม่เท่ากัน ซึ่งอย่างของผม Drive C ที่เก็บ OS ไว้นั้น ตัวเก่ามีขนาด 20GB แต่ตัวใหม่มีขนาด 30GB ทำให้มีพื้นที่บางส่วนที่ MFT ไม่ครอบคลุมแน่นอน โดยสักเกตุได้ง่ายมากก่อนทำ chkdsk c: เฉยๆ มันจะขึ้น MFT error ซึ่งต้องทำการ fix ในส่วนของ MFT ด้วยคำสั่ง chkdsk c:/f ก่อน แล้วถึงจะหาย error ซึ่งจริง ๆ ต้องทำทุกๆ Drive เลยทีเดียว และคราวนี้ก็สมใจสักที มีพื้นที่โล่งๆ ไว้เก็บงานต่าง ๆ ได้มากขึ้น แถมเพลงอีกด้วย

ส่วนตัวเก่านั้นก็ไปซื้อ External Box 2.5" มาใส่ในราคา 190 บาท (ราคาต่างจังหวัด)

รูปต่าง ๆ ถ่ายด้วย Sony Ericsson W700i ย่อรูปเหลือขนาดที่ ~500 x ~500 Pixel

ความเป็นไปของยี่ห้อ HardDisk ต่าง ๆ

พอดีว่าอ่านแล้วน่าสนใจมากเลยนำมาบอกต่อครับ

อ้างอิงจาก http://www.pantip.com/tech/coffee/topic/JX1985579/JX1985579.html


ในสมัยก่อน มี HardDisk ยี่ห้อ Seagate,Maxtor,Quantum,IBM,Corner,Wetern Digital และ NEC

ซึ่งต้อนนั้นยี่ห้อ Seagate ขายดีที่สุด และ IBM ขายได้น้อยที่สุด

ในยุคต่อมา Seagate ได้ซื้อกิจการ HardDisk ของ Corner ทำให้ไม่มียี่ห้อ Corner ต่อไปแล้ว

ต่อมา บริษัท LG ได้ควบกิจการ HardDisk ของ Quantum
ทำให้ตอนนั้น HardDisk ของ Quantum มียี่ห้อว่า LG- Quantum

ในปีต่อมา บริษัท LG ได้หยุดควบ HardDisk ของ Quantum ทำให้ HardDisk มียี่ห้อ Quantum เหมือนเดิม

ต่อมา HardDisk ยี่ห้อ NEC ก็ได้เลิกกิจการแผนก HardDisk และเลิกผลิต HardDisk อีกต่อไป เพราะขายไม่ค่อยดี และได้กำไร น้อย

ต่อมามี HardDisk ยี่ห้อใหม่ๆ ออกมา คือ Fujitsu และSamsung
ตอนนั้นยังขายไม่ค่อยออกเท่าไร่

ต่อมา บริษัท HITACHI ได้เข้า TakeOver HardDisk ยี่ห้อ IBM ทำให้ HardDisk ยี่ห้อ IBM ได้เปลี่ยนเป็น ยี่ห้อ HITACHI และ HITACHI เป็นผู้ผลิต HardDisk เพียงแต่ผู้เดียว แต่ยังใช้โรงงานและเทคโนโลยีของ IBM อยู่

ต่อมา HardDisk ยี่ห้อ Samsung ขายดีมากขึ้น เทน้ำเทท่า ทำให้ Samsung ผลิต HardDisk ต่อไป

ต่อมามี HardDisk ยี่ห้อ TOSHIBA ออกมาแต่มักจะทำแบบ Notebook มากกว่าแบบ Desktop PC

ต่อมา HardDisk ยี่ห้อ Fujitsu แบบ Desktop PC ขายไม่ได้ตามเป้า แต่ในขนาดเดียวกันมี Notebook หลายยี่ห้อ ยังใช้ HardDisk ของ Fujitsu อยู่ Fujitsu จึงตัดสินใจยกเลิกผลิต HardDisk แบบ Desktop PC แล้ว แต่ยังคงผลิต HardDisk สำหรับ Notebook ต่อไป

ต่อมา HardDisk ยี่ห้อ Maxtor ได้ควบกิจการกับ Quantum เรียบร้อยแล้ว และให้ Maxtor ผลิต HardDisk สำหรับ Desktop PC และ Notebook และให้ Quantum ผลิต HardDisk สำหรับ Server

ปัจจุบัน HardDisk ยี่ห้อ Seagate ซื้อกิจการ HardDisk ยี่ห้อ Maxtor แต่จะเป็นยังไร เดียวมาเล่าสู่กันฟัง

ทำไมนะ Apple ถึงไม่ใช้ AMD ?

จากที่ได้อ่านเรื่อง Intel isn’t the only game in town “Why Not AMD ?” ในหนังสือ Mac World ฉบับมกราคม 2005 เมื่อกี้นี้ ได้อ่านบทวิเคราะห์ในเรื่องของการที่ Apple ไม่ใช้ Chip CPU Intel ว่า

“Jobs has a clear goal in mind: innovative design. And such designs require ultralow-voltage chips, which IBM and Freescale weren’t going to make with the PwerPC ship core and which AMD has not yet perfected”

แปลประมาณว่า jobs เนี้ยต้องการ Chip ที่ Design ในลักษณะ ultralow-voltage ซึ่ง IBM เองนั้นไม่สามารถทำให้ได้ และ AMD ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบพอ

และยังต่ออีกว่า “นี่เป็นความเหมาะสมในทางปฎิบัติ ซึ่งต้องทำอย่างจิงจัง โดยการตัดสินใจของ Jobs เอง”

โดยในงาน IDC (Intel Developer Con.) นั้นทาง Intel ได้บ่งบอกถึงสายการผลิตที่สมบูรณ์ของ chip ที่ใช้พลังงานต่ำ (low-power) ที่ใช้ในตลาด mobile และ computer ขนาดเล็ก

Jobs นั้น ก็ชอบ AMD ในเรื่องของการใส่คุณสมบัติต่างๆ มากมาย ใน road map แต่ว่า นั้นก็ทำให้เกิดปัญหาที่มองข้ามไม่ได้คือ “ทุกๆ อย่างที่อยู่ใน road map ต้องเป็นไปได้ทั้งหมด” และในอนาคตอันใกล้นี้ AMD ก็ยังไม่สามารถออก low-voltage และ ultralow-voltage processors ได้แน่นอน ซึ่ง AMD ยังต้องพัฒนา chip ที่ทำงานได้ในสถาพการใช้พลังงานที่ต่ำแบบเดียวกับ Pentium M และรวมไปถึงการที่สามารถขายในราคาที่ยอมรับได้ด้วย และต้องมีทรัพยากรที่เพียงพอต่อการรับ load การผลิตที่สูงๆ ได้ตามที่ตลาดของ Apple ต้องการ

โดยตัวเลือกจาก Intel ที่ Apple ได้เลือกในตอนนี้คือ Yonah ที่เป้น low-power/dual core ship ที่เอามาใช้สำหรับ Notebook โดย Yonah นั้นจะจำหน่ายในปี 2006

“Yonah นั้นมีสิ่งที่เหมาะสมกับ Apple โดยที่ Yonah นั้นจะเป็นตัวจักรสำคัญให้กับกับ Apple notebook ได้ ซึ่ง AMD นั้นยังคงกำลังพัฒนา low-power, dual core chip ที่บาง และเล็ก เพื่อใช้ใน notebook อยู่ แถมก็ยังไม่ได้บอกว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะสำเร็จ แต่ว่า Yonah นั้นเป็น x86 Architecture ซึ่ง Apple ต้องทำให้ softwae ที่ทำงานบน x86 Architecture ได้อย่างสมบูรณ์เสียก่อนด้วย” Kevin Krewell, editor in chief of Microprocessor Report กล่าว

ในด้าน Performance นั้น Intel และ AMD นั้น ในการต่อสู้กับในตลาดมายาวนาน ดูเหมือนจะพลัดกันแพ้ชนะมาเรื่อย และบริษัททั้งสองก็มี dual core chip ที่มีความร้อนสูงอยู่ และแถมยังไม่สามารถทำความเร็ว clock speed ได้สูงไปกว่าที่เป็นอยู่ได้มาเป็นเวลานานแล้ว

ซึ่ง Intel จะจัดการกับปัญหานี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2006 นี้ โดยจะเป็น low-power, dual-core chips โดยที่ Brookwook จาก Intel ยืนยันหนักแน่นว่าจะใช้พลังงานที่ต่ำกว่าเดิม และมี performance มากขึ้น แต่จะไม่ปรับ Mhz ให้สูงขึ้น

โดยที่ “Intel ได้เลิกความคิดในเรื่องของสงครามตัวเลข Mhz ไปแล้ว และมันคงเป็นสิ่งที่ Jobs ต้องการได้ยิน ซึ่ง Jobs คงไม่ต้องการได้ยินการลดความเร็ว clock speed ของ Intel มากกว่าที่ PowerPC ได้ทำไว้” Brookwook จาก Intel ได้กล่าวไว้ และทิ้งท้ายไว้ว่า “Application performance ของ Mac นั้น คงไม่ต้องการ chip ที่มีความเร็วต่ำกว่าที่ควรจะเป็น”

มันเป็นไปได้ไหมว่าว่า Apple อาจจะใช้ AMD Processor ในอนาคต หลังจากที่ Transition ไป x86 Architecture แล้ว ? นาย Brookwood ได้กล่าวว่า “สำหรับ Apple แล้วนั้น การที่จะย้ายไป AMD นั้น ทาง AMD ต้องมี low-power chip เสียก่อน ซึ่ง Intel ของเรานั้นมี สินค้าในส่วนที่ ที่มีปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ อยู่แล้ว และคงเป็นการยากที่จะทำในหลายๆ เรื่อง”