จดหมายเปิดผนึกถึง Lenovo Thailand ในกรณี “เปลี่ยนแปลงนโยบายรับประกันเครื่องที่ซื้อจากต่างประเทศ และ ThinkPad รุ่น X201i 3323 (EAT และ L7T)”

เรียนท่านผู้บริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้องทาง Lenovo Thailand

ผมนายอรรณพ สุวัฒนพิเศษ ในฐานะผู้ดูแลหลักของเว็บ ThaiThinkPad ของเรียนแจ้งให้ทราบในกรณีประเด็นร้อนทั้ง “เปลี่ยนแปลงนโยบายรับประกันเครื่องที่ซื้อจากต่างประเทศ และ ThinkPad รุ่น X201i 3323 (EAT และ L7T)”  นั้น ณ.ตอนนี้ทางคุณ วีรบูรณ์ วิสารทสกุล ซึ่งเป็น Moderator ท่านหนึ่งได้ ตั้งกระทู้ “จดหมายร้องเรียนและให้แสดงความรับผิดชอบ ถึง lenovo ประเทศไทย” ซึ่งเข้าได้ผ่าน http://www.thaithinkpad.com/forum/index.php/topic,14124.0.html โดยตั้งในเว็บ ThaiThinkPad นั้น

ทางผมซึ่งเป็นคนดูแลหลักของเว็บจำเป็นต้องทำการแสดงจุดยืนและเพิ่มเติม Text Banner ด้านบนในทุกหน้าเพื่อแสดงถึงการเรียกร้องและเร่งรัดการพิจารณา “ข้อสรุปที่ชัดเจนและเป็นธรรมโดยยืนอยู่บนผลประโยชน์ของลูกค้าที่ซื้อสินค้าของ Lenovo ทุกคนเป็นหลัก”

โดยทั้งนี้ทั้งนั้น ผมอยากให้ทาง Lenovo แสดงท่าทีที่มีความชัดเจนในรูปแบบเอกสารอย่างเป็นทางการในเรื่องนี้ในเร็ววันเพื่อให้เรื่องนี้จบลงไปครับ

Ford AntiTrust
Founder : The IBM & Lenovo ThinkPad Notebook’s User Community in Thailand
http://www.thaithinkpad.com
http://www.thailenovo.com
http://www.thinkpadthai.com
http://www.thinkpad.in.th

[UPDATE]
เมื่อกี้ (17 ก.พ. 54 19:30 น.) Service Manager ของ Lenovo Thailand โทรมาบอกว่าเรื่องประกัน carry-in/onsite ของเครื่อง ThinkPad x201i สรุปแล้วปรับ onsite ยกล็อต! โดยหนังสืออย่างเป็นทางการจะออกในสัปดาห์หน้า แต่ตอนนี้โทรมาบอกความเคลื่อนไหวล่าสุดเพื่อให้ลูกค้าสบายใจว่าปัญหาได้ถูก แก้ไขและดูแลครับ

ยินดีด้วยนะครับ ^^

Review, Score & Real life experience: SSD Ocz VERTEX 2 SATA II 2.5”

เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้ SSD (Solid-State Drive) อย่างจริงจัง โดยปรกติแล้ว ผมมักจะใช้งาน SSD แบบผ่านๆ เสียมากกว่า แต่ด้วยทาง MemoryToday ได้ส่ง SSD สุดแรงตัวนี้มาให้ผมทดสอบ แน่นอน ผมได้นำมาใช้งานในลักษณะทำงานจริงเป็นหลัก ทั้งการทำงานด้าน Software  Develop, ตกแต่งภาพถ่ายที่ต้องใช้ความสามารถในการเข้าถึงไฟล์ที่รวดเร็ว และการใช้งานทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวันอื่นๆ

แน่นอนถ่้าผมนำมาทดสอบกับ Lenovo ThinkPad Z61t ก็ดูจะไม่เต็มที่ เพราะเป็น interface แบบ SATA 1.5Gbps แต่โชคดีที่ระหว่างนี้ผมมีเครื่อง ThinkPad Edge 14” (0578-23U) อยู่ข้างกายพอดี เลยได้โอกาสทดสอบกับ CPU และ Chipset รุ่นที่ทำตลาดจริงๆ ในปัจจุบัน ทำให้การทดสอบนี้ดูจะทันสมัยแน่นอน

แน่นอนว่า SSD นั้นแตกต่างจาก HDD (Harddisk Drive) ตรงที่ไม่ใช้จานแม่เหล็กเพื่อเก็บข้อมูล และต้องมีมอเตอร์เพื่อหมุนตัวจานแม่เหล็กเพมื่อให้หัวเข็มอ่านและเขียนข้อมูล แต่เป็นการใช้ CHIP หน่วยความจำ (คิดไม่ออก ก็คล้ายๆ กับพวก SD Card หรือ CF Card) ซึ่งใช้ Technology ชื่อ NAND flash memory แต่เอามาเรียงต่อกันเป็นแผงใหญ่ๆ แล้วใส่ interface ที่ต้องการนำไปเชื่อมต่อในภายหลังนั้นเอง แต่ข้อดีที่ทำให้มันเร็วคือการเข้าถึงข้อมูลแบบ Direct Access และความทนทานต่อสภาพความสั่นะเทือนระหว่างที่ใช้งานอยู่เป้นหลักนั้นเอง (หาอ่านต่อใน Google แล้วกันครับ)

เรามาดูหน้าตากันดีกว่า ว่าเจ้า SSD ตัวที่ผมกำลังผู้ถูกมีหน้าตาอย่างไร

DSC_7353 copy

หน้าตา SSD Ocz VERTEX 2 SATA II 2.5” นั้นเก็บงานได้เนียนครับ

DSC_7356DSC_7357

ตัว interface connection แบบ SATA ที่สามารถนำไปใช้กับ Notebook และ Desktop ได้ทันที โดยถ้าใช้กับ Desktop ในตัวกล่องก็มีชุดเหล็กยึดสำหรับใส่กับช่องใส่ HDD 3.5” ของ Desktop ให้เลยไม่ต้องซื้อเพิ่มเติมแต่อย่างใด

DSC_7362DSC_7359

อัตราการกินไฟไม่มากเท่าไหร่ น้อยกว่า HDD 2.5” 7,200rpm อยู่ 20 – 30%” โดยประมาณ

image

คุณสมบัติของครื่อง ThinkPad Edge 14” (0578-23U)  ก็มี Intel i3-350M (2.2GHz) ใส่ RAM มา 2GB DDR3 พร้อมกับ Microsoft Windows 7 Professional 64bit EE ที่ Preload มาจากทาง Lenovo เอง

image

Windows Experience Index ให้คะแนน SSD ตัวนี้ทะลุไป 7.5 เลยทีเดียว (HDD 2.5” 7,200rpm จะได้ประมาณ 5.8)

image

ทดสอบกับไฟล์จำนวนขนาด 100MB บนโปรแกรม CrytalDiskMark แล้วนั้นผลการทดสอบน่าพอใจครับ
ทำความเร็ว Read 202MB/s และ Write ที่ 136MB/s
สำหรับไฟล์เล็กๆ ย่อยๆ ก็ได้ในระดับที่น่าประทับใจครับที่ Read 14.5Mb/s และ Write ที่ 20.83Mb/s
แต่เมื่อไฟล์เล็กๆ ย่อยๆ มาใช้กับ IOmeter Random-Write IOPS (4KB, Queue Depth 32) ก็ทำความเร็วได้น่าประทับใจ

image

image

เมื่อเอามาทดสอบกับ HD Tunes นั้นก็ดูน่าประทับใจในเรื่องความเร็ว ซึ่งเร็วกว่า HDD 2.5” 7200rpm อยู่เยอะเลยทีเดียว!!!! (ดูผลการทดสอบของ HDD 2.5” 7200rpm ได้ด้านล่าง) แค่ Access Time และ CPU Usage ก็กินขาดแล้วครับ!!!

image

ดูผลการทดสอบ กันไปแล้ว มาพูดถึงความเห็นต่อตัว SSD ดูบ้าง

โดยส่วนตัวแล้วนั้น การทำงานของ SSD จัดว่าทำให้เราสามารถเปิดและทำงานกับไฟล์ได้รวดเร็วมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปรกติถ้าเราใช้ HDD เราบูทเข้า Windows 7 จะใช้ได้เวลาประมาณ 15 – 30 วินาทีและรอโหลด Service Process อีกสักพัก สำหรับ SSD ตัวนี้ผมนับ 1 ถึง 5 หลังจากเปิดก็เข้าสู่หน้า Desktop แล้ว และนับอีก 1 ถึง 3 พวก Service Process ก็โหลดจบ พูดง่ายๆ นับประมาณ 10 ก็พร้อมทำงาน หลายคนอาจคิดว่าช้ากว่าเจ้าอื่น แต่ต้องบอกว่า เครื่องที่ติดตั้งนั้นติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ใช้งานจริงซึ่งมี antivirus และ firewall อยู่ด้วย เพราะฉะนั้นนี่คือการทดสอบใช้งานของคนใช้งาน เพราะฉะนั้นจะไม่เหมือนกับการทดสอบที่อื่น

โดยปรกติคนใช้งาน Notebook มักเป็นคนที่ทำงานยุ่งเกียวกับงานด้านธุรกิจและติดต่องานซึ่งตัวผมเองนั้นใช้ Microsoft Outlook และเปิดไว้ตลอดเวลา ซึ่งตัวนี้ก็เช่นกัน โดยปรกติแล้วเราจะเปิดโปรแกรมตัวนี้จะใช้เวลาอยู่พอสมควรเลยน่าจะพอๆ กับบูท Windows 7 อีกตัว แน่นอน พอผมมาใช้ SSD คลิ้กเปิดโปรแกรม ตัว Outlook แทบจะเปิดขึ้นมาพร้อมใช้งานในเกือบจะทันที นับ 1-3 แล้วโหลดจบทันที! (ใน Outlook ผมมีไฟล์ PST ที่ต้องโหลดตอนเปิดอยู่ 4 ไฟล์ ไฟล์ละเกือบ 1GB ครับ) แน่นอน โปรแกรมอื่นๆ ในชุดอย่าง PowerPoint, Word, Excel ก็ไม่แตกต่างกัน การทำงานทำได้อย่างรวดเร็วขึ้นกว่าเดิมแบบรู้สึกได้

ต่อมาในส่วนของโปรแกรมตกแต่งภาพอย่าง The GIMP และ Photoshop CS5 Trial การเปิดโปรแกรมก็ดูจะรวดเร็วขึ้นเช่นกัน และการปรับแต่งรูปภาพนั้นเมื่อโหลดไฟล์รูปภาพขนาด 50MB แบบ TIFF ทั้ง 2 โปรแกรมก็โหลดได้เร็วภายในเวลาประมาณ 2-3 วินาที จากเดิมที่ใช้เวลาประมาณเกือบ 10  วินาที ยิ่งถ้าปรับแต่ง RAW File อย่าง Compressed RAW ของ Nikon (NEF) บน Capture NX 2 ก็ดูจะโหลดขึ้นมาหรือมีการ Zoom in-out ได้เร็วมากขึ้น (การ zoom in-out ของ CNX2 จะมีการโหลดข้อมูลจาก RAW ไฟล์เข้ามาใหม่)

สำหรับความเร็วในการปิดเครื่องก็เหมือนเปิดนั้นแหละครับ คลิ้กปิดเครื่องปั้บรอนับ 1 ถึง 3 แทบจะดับทันที !!

จะเห็นว่าที่ผมมาเล่าสู่กับฟังนั้นเป็นการทดสอบและความรู้สึกของคนที่ใช้งาน SSD แบบจริงจังเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าในตัวอื่นๆ อาจจะทำความเร็วได้ใกล้เคียงกับตัวนี้ แต่ด้วยราคาค่าตัวจาก MemoryToday.com ที่ให้ราคา 60GB ราคา 4,790.- บาท, 120GB ราคา 8,390.- บาท และ 240GB ราคา 17,990.- บาท (ราคาเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2553) ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในตอนนี้เลยครับ

คำถามที่ Apple ต้องนำกลับไปคิดว่าแถบวัดความชื้นเป็นสิ่งยืนยันสิ่งเดียวได้หรือไม่?

จากข่าว แอปเปิลปรับนโยบายเรื่องความชื้นใหม่ มีจุดแดงก็ยังไม่หลุดประกันได้ ผมนั้นไม่เคยได้รับผลกระทบจากกรณีนี้ ส่วนใหญ่ผมจะได้เคลมเสมอๆ แน่นอนว่าในอนาคตมันก็ไม่แน่ว่าผมจะโดนไปด้วยหรือไม่ (ปรกติผมเคลมเพราะแบตฯ เสื่อมเป็นหลัก)

แต่สิ่งที่น่าคิดจากกรณีนี้ ซึ่ง Apple อาจจะต้องนำกลับไปทำการบ้านเพิ่มเติม (และหวังว่าจะมีใครส่งให้เค้าสักหน่อย) คือ

Apple มีแถบวัดความชื้นไว้ตรวจสอบเครื่องตกน้ำ หรือโดนความชื้นมาเกินไป แต่ถ้าเกิดแถบวัดความชื้นไม่ได้คุณภาพล่ะ ผู้บริโภคมีทางตรวจสอบได้ไหมว่าไม่ใช่ความผิดปรกติของแถบวัดความชื้นที่ทำงานผิดพลาดแทน

 

image

รูปจาก http://www.pantip.com/cafe/mbk/topic/T10101050/T10101050.html

จากกันอย่างสมบูรณ์กับ dtac และได้เวลาของ AIS เสียที

image

จากเรื่องราวที่เล่าไว้ใน ลาก่อน dtac !!! จนมาถึง DTAC จะยื้อไปไหนครับ!?!? แน่นอนเป็นบันทึกที่ผมเขียนไว้เพื่อเผยแพร่ และเตือนตัวเองในอนาคต

เมื่อวานตอนทุ่มนึงผมก็ได้รับ sms แจ้งว่าการย้ายค่ายของผมเสร็จสิ้น ทุกอย่างสมบูรณ์ (สักที)

photo

ไม่รอช้า ผมโทรเข้า CC ของ AIS เพื่อสอบถามว่าผมจะเปิดใช้ BIS ได้เมื่อไหร่หลังจากสัญญาณของ AIS ใช้ได้ สรุปคือหลังจากเวลาที่กำหนดไว้ 2-3 ชั่วโมง

ผมเสียบ sim ของเก่าจาก dtac ไว้ใน BB ของผม และของใหม่ที่ AIS ให้ไว้ใน HTC (เครื่องเก่า) ตอนเช้าตื่นมา HTC สัญญาณยังไม่ activate แต่เครื่อง BB ยังได้รับสัญญาณเต็มของ dtac อยู่ โอเค ผมปิด BB แล้วลองเปิด-ปิดสัญญาณของ HTC ใหม่ สุดท้าย HTC ผมก็รับสัญญาณ AIS ได้ทันที

การย้ายค่ายในด้านโทรศัพท์ของผมเสร็จสิ้น การโทรเข้าและออกทำงานได้ปรกติแล้ว มาถึงด้านการส่งข้อมูล Internet บ้าง

ผมลองเข้า dtac.blackberry.com เพื่อเช็คว่า account ใน BIS ของ dtac ผมยังทำงานอยู่หรือไม่ สรุปยังทำงาน แต่ว่าแน่นอนเพราะผมยังไม่ได้ย้ายเครื่องเลย โอเค ผมรอต่อไป …

พอประมาณ 10 โมงเช้าของวันนี้ ก็ลองเข้า eServices ของ AIS เพื่อสมัคร package ต่างๆ กรอกหมายเลขโทรศัพท์ รอรับรหัสผ่านแบบ OTP แล้วเข้าใช้งานได้เลย ซึ่งผมลองดูว่าจะทำอะไรกับระบบนี้ได้บ้าง ออกแนวไม่อยากโทรเข้า CC จะลองดูว่าจะทำได้ไหม

ผมเข้า eServices ของ AIS เพื่อเปิด BIS ฯลฯ แน่นอน BIS ทำงานได้เกือบจะทันทีที่ผมคลิ้ก submit สมัครเข้าไป ระบบส่งผลการสมัครของ BIS กลับมา และ BIS ของผมที่จะทำงานกับ AIS ก็ใช้งานได้ ผมไม่รอช้า เข้าไปสมัคร account BIS บน ais.blackberry.com เพื่อเปิดใช้ push mail และ contact/calendar sync ของ E-Mail ที่ผมใช้ Google Apps Premium Account ของผม เมื่อ add account ตัว E-Mail เสร็จ ทำการ Activate Security ครบ ทำการ restart เครื่อง BB อีกครั้ง ทุกอย่างก็ทำงานได้ครบทั้งหมด แน่นอน BBM ของผม contact อยู่ปรกติ การ notify ต่างๆ ของ push mail ทำงานได้เหมือนเดิม ส่วน facebook และระบบที่ผูกกับ BIS ต้องทำการ login/authen ใหม่ทุกตัวอีกรอบ

ตอนนี้ทุกอย่างบน BB ผมทำงานผ่าน BIS ของ AIS ได้โอเค สำหรับเรื่อง edge plus ต้องรอดูกันยาวๆ ^^

มุมมองของผมสำหรับ Smart Phone ของ 4 ยักษ์: Apple/Blackberry อาจสะดุดขาตัวเอง, Google ไปได้สวย และ Microsoft ก็ดูจะใจเย็นเช่นเดิม

จาก CEO ของ Netgear ระบุ “ระบบปิดจะสร้างปัญหาให้แอปเปิลภายหลัง”, “เกมจบแล้วสำหรับไมโครซอฟท์” เลยมาเขียนขยายสักหน่อย

Apple ก็คือ Apple ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนอาจสะดุดขาตัวเองและจบลงไม่สวยเหมือนเดิม แบบเดียวที่เกิดกับตัวเองเมื่อ 10 ปีก่อน เพราะระบบปิด ถ้าไม่คิดจะเปิด ก็น่าจะกลับไปอยู่ในจุดเดิม แน่นอนจำนวน App ที่เยอะ ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนพัฒนา App ใหม่ๆ น้อยลง เพราะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ออกแนวตลาดเริ่มวาย ไม่ตาย แต่ก็โตช้าลง อีกทั้งตัวอย่างของระบบปิดแล้วไม่รุ่งที่สดๆ ร้อนๆ ก็ดูจะเป็น iAds ก็ไม่รุ่ง ดูจะเงียบๆ Ping ก็ดูจะเฉยๆ ผมก็ไม่ได้ใช้ มันปิดมากไป คนใช้งานก็ดูจะไม่ค่อยพูดถึง ฯลฯ จริงๆ ก็มีอีกหลายอย่างที่ดูจะไปไม่ถึงฝั่ง (แต่คนไม่ค่อยพูด) ถ้าไม่มีการปรับอะไรและยังดื้อดึง ก็คงรู้ว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร

Blackberry อันนี้ออกแนวเดียวกับ Apple แต่ดูจะเปิดกว่าเยอะในเรื่องของการส่งและตั้งราคาขายตัว App ให้เข้า Store แต่ด้วยความที่เป็นระบบที่ปิดเกือบจะทั้งหมดเช่นเดียวกับ Apple รวมไปถึงระบบ push/bbm ที่ใช้ได้กับของตัวเอง ถ้าไม่นับเรื่องความปลอดภัยในการเข้ารหัสอีเมล, ระบบ push ที่ถือว่าเป็นอันดับหนึ่ง ถ้ายังไม่สร้างอะไรใหม่ๆ ที่ฉีกแนวไปจากนี้ ก็ดูจะไปรอดได้ยากถ้าตลาดในปัจจุบันมุ่งไปทางผู้ใช้ทั่วไปเป็นหลัก และตลาดองค์กรก็ดูจะโดนผู้เล่นเจ้าอื่นๆ ตีขนาบเข้ามาเช่นกัน ทำให้ดูจะโดนบังคับต้องออกมาเล่นบนทะเลเลือดของคนอื่น เช่นเดียวกับที่ตัวเองก็เคยบังคับให้คนอื่นๆ วิ่งเข้ามาเล่นในทะเลเลือดของตัวเอง (ตลาด push/enterprise services) งานนี้ถ้า OS6 ไม่รุ่ง คาดว่า OS7 คงมีอะไรเปลี่ยนแปลงแบบผลิกฝ่ามือแน่นอน เพราะดูจากทิศทางของ Playbook ที่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมาช้าไปหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ OS7 ก็น่าจะแนวนั้น!

Google เห็นตรงนี้เลยใช้แนวทางอีกแนวที่เปิดเต็มที่ (เกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้) ก็ดูจะไปได้ดีและรุ่งใช้ได้เลย แต่ปัญหามันอยู่ที่การเข้ากันได้ของแต่ละรุ่นการพัฒนาซอฟต์แวร์จากรุ่นเก่ามารุ่นใหม่ เพราะ Google ทำให้มันแตกต่างมากจนยากจะ upgrade และใช้ต้นทุนสูงในการปรับแต่งอยู่พอสมควร ออกแนวเปิดเยอะ แต่ฟรีแค่ตอนต้น ถ้าอยากสร้างความแตกต่างก็ต้องลงทุนพัฒนาเพิ่มเอาเอง ตรงนี้แหละที่จะมีปัญหาความเข้ากันได้ในอนาคต ซึ่งผมก็คิดว่า Google ก็คงปล่อยไปแบบนั้น เพราะไม่งั้นจะเข้าแนวทางของ Apple และเสียความน่าเชื่อถือของตัวเองไป อีกอย่างที่ผมมองก็คือ Google อาจจะต้องตระหนักมากขึ้น คือการกำหนดคุณสมบัติขั้นต่ำของ OS ตัวเองไว้บ้าง มีการปล่อยตัวมือถือที่เป็นรุ่นเรือธงให้กับค่ายอื่นๆ ได้เป็นแบบอย่างเช่นเดียวกับที่ทำ Nexus ออกมา ไม่อย่างงั้นแล้ว ผู้ใช้ที่ซื้อมาใช้งานบนเครื่องที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม จะได้ประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ประทับใจกลับไปแทนสุดท้ายก็เสร็จ Microsoft และ Apple ตามระเบียบ!!!!

Microsoft ก็มาแบบช้าๆ ตามแนวทางพี่ใหญ่ตัวอ้วน ขยับตัวช้า แต่ดูแล้วรอบนี้จะใจเย็นเกินไป ถึงแม้ว่าของใหม่จะย่อมสดใสกว่าและยังเป็นเหมือนทวีปที่ยังต้องการค้นหาอะไรอีกเยอะ แต่ถ้าใจเย็นแบบนี้ กลัวจะไล่ตามคนอื่นเค้าไม่ทัน แต่แน่นอนครับ ผมมองว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะบอกได้ชัดเจนว่า Microsoft กำลังพ่ายแพ้ในตลาดนี้ เพราะดูจากการเปิดตัวและยอดจำหน่ายจากข่าวต่างๆ แล้วดูท่าจะขายได้เรื่อยๆ ประกอบกับเครื่องมือพัฒนา นักพัฒนาที่มีอยู่เยอะมาก และรวมไปถึงฐาน partner ตัวเองที่มีขนาดใหญ่และแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่ใช่เจ้าตลาดแบบ Windows Mobile 6 ที่ทำไว้เมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ไม่น่าจะหายไปไหนในระยะเวลา 2-3 ปีนี้ แต่ถ้า Windows Phone 8 มีอะไรที่ดีกว่าเดิม ก็ไม่ยากที่จะกลับมาเป็นเจ้าตลาดได้ เพราะเนื่องจาก Microsoft มีประวัติศาสตร์ที่น่าศึกษาจากการเข้าตลาดช้า แต่สุดท้ายก็ยืนระยะจนกำไร (หรือเจ้าตลาด) ได้ในที่สุด

เรื่องราวของ Microsoft ถ้าคิดไม่ออก ก็มี
– IE vs Netscape
– XBOX vs PS
– Windows Server vs Netware
– Windows vs Mac OS
– Office vs Lotus, Word
– ICQ vs MSN Msg

คือไม่ได้ดีที่สุดในระดับเจ้าตลาด แต่ก็มีกำไรให้กับผู้ถือหุ้น (คิดตัวอย่างแบบเร็วๆ ได้ประมาณนี้) และการกลับเข้ามาเป็นเจ้าตลาด แน่นอน Microsoft ใช้แผนอาศัยสิ่งที่ตัวเองมีอยู่มาเชื่อมทำให้ตัวเองได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น OS, file format, แต่แน่นอนว่ามี partner ยอมเล่นด้วยแน่ๆ ถ้าทุกอย่างไปได้สวย

ผมมองว่าตลาด Smart phone มันยังไม่วายและการให้ความเห็นในข่าวต้นเรื่องแบบนั้นเป็นเรื่องของความได้เปรียบด้านราคาหุ้นมากกว่า ออกแนวปั้นราคาหุ้นหรือเปล่า เพราะถ้ามองในทิศทางอื่นๆ ก็ดูจะยังคงแข่งขันและกำลังไปได้อยู่ ตลาดเทคโนโลยีไปฟันธงเน้นๆ ก็ลำบาก ผมยังไม่เจอค่ายไหนเป็นเจ้าตลาดได้ตลอดไปได้ยาวนานโดยเฉพาะตลาดที่มีคู่แข่งมากกว่า 3 รายขึ้นไป