สัญญาลิขสิทธิ์ของ Windows 7 แบบ FPP License ดีกว่า OEM อย่างไร ?

ในฐานะที่ทำเว็บ Community อย่าง ThaiThinkPad และได้รับเป็นผู้ทดสอบ Windows 7 ภาษาไทยกลุ่มแรกๆ จึงมีอีเมลต่าง ๆ สอบถามมาในเรื่องของ Windows 7 ในรูปแบบ licensing ต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง จริงๆ แล้วก็ไม่ได้แตกต่างจากใน Microsoft Offcie 2007 เท่าใดนัก แต่เพื่อเจาะจงลงไปจะได้อ่านเข้าใจได้ง่ายๆ ผมเลยนำมาสรุปอีกครั้งจะได้ไม่งงกับข้อมูลครับ

สำหรับ Windows 7 ในนั้นมีระบบ licensing อยู่ 3 แบบหลักๆ แต่ผมจะพูดส่วนของ FPP และ OEM ก็พอ ส่วน Volume License นี่ผมคงไม่พูดถึงครับ

  1. FPP License หรือ Full Package Product License จะมาในรูปแบบของกล่องซึ่งเหมาะ สำหรับผู้ใช้ซอฟต์แวร์ส่วนบุคคล ใช้ตามบ้านทั่วๆ ไป หรือนิสิตนักศึกษาเป็นหลัก โดยอาจจะต้องมีความรู้ในการติดตั้งเองสักหน่อย เช่นต้องหาแผ่น driver ต่างๆ ของเครื่องเราเอง แต่ก็มีความคล่องตัวในการย้ายเครื่องได้มากกว่า
  2. สิทธิ์ที่ได้
    – 1 กล่องจะสามารถใช้งานได้เพียง 1 เครื่องเท่านั้น
    สามารถโอนย้ายข้ามเครื่อง ได้ โดยการย้ายข้ามเครื่องต้องลบซอฟต์แวร์ออกจากเครื่องเก่าก่อนแล้วทำการติดตั้งในเครื่องใหม่ แล้วทำการโทรเข้า ศ.บริการของ Microsoft เพื่อทำเรื่องของ Activation Software อีกทีหนึ่ง
    – ไม่ได้รับสิทธิในการใช้งานเวอร์ชั่นเก่าได้ (Downgrade Right)
    – ไม่สามารถใช้งานข้ามภาษาได้
    – อาจจะได้รับ Software Assurance ในกรณีที่กำลังจะมีการออกรุ่นใหม่ออกมาทำให้เราได้รับการอัพเกรดฟรี

    สิ่งที่อยู่ในกล่อง
    – คู่มือการใช้งาน
    – ใบรับรองสินค้าของแท้ (Certificate of Authenticity: COA) ติดอยู่ข้างกล่อง
    – ใบอนุญาตการใช้งานสำหรับผู้ใช้ ปลายทาง (End User License Agreement)
    – แผ่นดิสก์ หรือ CD ROM 

  3. OEM License หรือ Origianl Equipment Manufacturer จะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเครื่องใหม่ องค์กร หรือห้างร้านที่ไม่ต้องการยุ่งยากกับการใช้ซอฟต์แวรที่ไม่ต้องการยุ่งยากในการติดตั้งและหา driver ต่างๆ โดยจะติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานทันที

    สิทธิ์ที่ได้รับ
    – 1 กล่องจะสามารถใช้งานได้เพียง 1 เครื่องเท่านั้น
    – ซื้อพร้อมกับเครื่องใหม่เท่านั้นและจะติดไปกับเครื่องนั้นเท่านั้น โดยที่ไม่สามารถย้ายเครื่องได้ในกรณีที่เครื่องเสีย โดยในกรณีที่เป็นเครื่องที่เป็น partner กับ Microsoft อย่างถูกต้องจะมีชื่อผู้ผลิตเครื่องระบุในตัว COA ด้วยซึ่งถ้ามีปัญหาใดๆ ก็จะอ้างอิงจาก S/N เครื่องเป็นหลัก แต่ถ้าเป็นการติดตั้งแบบ OEM ที่ซื้อต่างหากที่ให้กับร้านค้าประกอบเครื่องเองเช่นในห้างไอทีต่างๆ ในไทยนั้นจะผูกติดกับ M/B เป็นหลัก ถ้า M/B ของเครื่องนั้นๆ เสีย OEM License ตัวนั้นก็จะสิ้นสุดสิทธิ์ในการใช้งานไปด้วย
    ได้รับสิทธิในการใช้งานเวอร์ชั่นเก่าได้ (Downgrade Right) แต่ก็ตามที่ระบุไว้นะครับว่าต่ำสุดได้เท่าไหร่
    – ไม่สามารถใช้งานข้ามภาษาได้
    – อาจจะได้รับ Software Assurance ในกรณีที่กำลังจะมีการออกรุ่นใหม่ออกมาทำให้เราได้รับการอัพเกรดฟรี

    สิ่งที่อยู่ในกล่อง OEM
    – OEM จะมีสติ๊กเกอร์ใบรับรองสินค้าของแท้ (Certificate of Authenticity: COA) ให้มาแปะกับเครื่องและจะไม่สามารถนำออกไปได้ถ้าติดไปแล้วโดยจะมี CD-Key ระบุไว้อย่างชัดเจนบน สติ๊กเกอร์นั้นๆ
    – ใบหรือการ์ดระบุคุณลักษณะในการใช้งานทั่วไป
    – ใบอนุญาตการใช้งานสำหรับผู้ใช้ ปลายทาง (End User License Agreement)
    – แผ่นดิสก์ หรือ CD ROM (มีเฉพาะกับของ Windows เท่านั้นซอฟต์แวร์ตัวอื่นๆ จะไม่มี)

  4. Volume License อันนี้เหมาะกับองค์กรเป็นหลักครับ เพราะมีราคาถูกที่สุด และใช้ในปริมาณมากๆ ได้ดีแต่ก็ต้องทำติดขอซื้อและทำสัญญา Software Assurance ต่างๆ ด้วยซึ่งตรงนี้อาจจะกล่าวต่อไปถ้ามีเวลาครับผม ซึ่งถ้าเปิดบริษัทผมแนะนำตัวนี้ครับ เพราะถ้าเราซื้อสิทธิ์พร้อม Software Assurance จะได้รับการอัพเกรดเป็นรุ่นใหม่เสมอๆ ตลอดระยะเวลาทำสัญญา Software Assurance ครับ

จากข้อมูลด้านบนนั้นผมมักแนะนำเสมอๆ ว่าถ้ามีโอกาสผมก็จะแนะนำให้ซื้อ FPP ไปเลย เพราะย้ายเครื่องได้ อัพเกรด หรือทำอะไรกับเครื่องก็สบายใจ เพราะถ้าเราอัพเกรดมากๆ บางครั้ง OEM จะโดนให้ Activate ใหม่ แล้วมักจะไม่ผ่านในขั้นตอนนี้ครับ ซึ่งจะเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมากครับ ซึ่งราคา FPP ในประเทศไทยนั้นราคาไม่แพงไปกว่า OEM ในตลาดเมืองนอกครับ ถ้ายังจำได้ตอน Windows 7 เปิดตัวในไทยใหม่ๆ จะมีราคาโปรโมตชั่นแรงๆ ในราคาถูกมากๆ ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีและน่าจะเหมาะกับวิถีชีวิตการใช้งานคนไอทีในไทยที่มักจะซื้อเครื่องประกอบเอง และเปลี่ยนแปลงเครื่องตัวเองบ่อยๆ มากกว่า OEM ครับ (ราคา OEM และ FPP สำหรับ Windows 7 ก็ไม่ได้แตกต่างไปมากแบบเมื่อในรุ่นเก่าๆ แล้วครับ)

อ้างอิงจาก http://www.microsoft.com/thailand/licensing/

G-Shock G-7900-1DR เหมาะกับคนใช้ ThinkPad แบบผม

เมื่อวันก่อนนาฬิกาที่อยู่คู่ข้อมือผมมายาวนานกว่า 7 ปีก็สายเรซิ่นขาดเป็นครั้งที่สาม ขาดแต่ละครั้งเสียเงิน 800 บาทค่าสายรอบนี้เลยได้เวลาเปลี่ยนใหม่เสียที เพราะถ้าเปลี่ยนสายอีกรอบนั้นคือราคานาฬิหาเรือนใหม่ได้เลย (เปลี่ยน 3 รอบเท่าราคาซื้อใหม่แล้ว) ผมเลยคิดว่าไหนๆ ก็ไหนๆ ซื้อใหม่ดีกว่า ผมก็เลยตามหาร้านขายนาฬิกาในกรุงเทพฯ เพราะส่วนตัวตลอดชีวิตมานี่ซื้อนาฬิกาที่นครสวรรค์ทุกเรือนเลย ผมมีร้านประจำอยู่ แต่ในกรุงเทพฯ ผมมืดแปดด้าน เลยตามหาข้อมูลด้วย google แล้วก็ได้คำแนะนำต่างๆ มากมาย @tongkatsu บอกลองดูในเน็ตก่อนเพื่อเทียบราคาถ้าโอเค แล้วไปเดินดูราคาร่วมด้วย เทียบๆ ราคากับความเสี่ยงแล้วค่อยสั่ง สุดท้ายผมก็ไปเดินดูที่เซ็นทรัลลาดพร้าว แล้วเจอเจ้าตัวนี้พอดีเลย ในราคาที่ถือว่าโอเคไม่ถือว่าแพงไปกว่าในเน็ตเท่าไหร่ แพงกว่า 200-300 สำหรับผมไปถึงที่แล้ว ถ้าผมสั่งในเน็ตผมเสียค่าส่งอีกสรุปไม่ต่างกันเกินไป แถมได้เลือกด้วย เลยตัดสินใจในตอนนั้นไปเลย

อยากรู้ว่าทำไมผมถึง บอกว่ามันเหมาะกับคน ThinkPad ดูเอาเองครับ ;P

รูปใหญ่ๆ อยู่ที่

http://www.flickr.com/photos/fordantitrust/sets/72157623141583663/

ปรับค่าเริ่มต้นแสดง Tab ใหม่ของ Firefox 3.6 ให้ไปอยู่ที่ลำดับสุดท้าย

หลายๆ คนคงทราบว่าการขึ้น Tab ใหม่ใน Firefox ที่เป็นค่าเริ่มต้นก่อน Firefox 3.6 จะถูกย้ายไปอยู่ลำดับสุดท้ายด้านขวามือ แต่ใน Firefox 3.6 นั้นจะเป็นการแทรกเข้าไปด้านหลัง Tab ปัจจุบันที่เราใช้งานอยู่แทน ซึ่งผมก็ตามไล่ล่าว่ามันจะมี option ที่ปรับเจ้าจัวนี้ไหม ใน about:config แล้วผมก็ได้พบกับ optionที่ทำให้เราสามารถกลับมาใช้การแสดง Tab ใหม่แบบเดิมได้แล้วนั้นคือ option ชื่อ “browser.tabs.insertRelatedAfterCurrent” แล้วปรับเป็น false ซะ ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิมครับ

2010-01-22_131705

Canon ทำกล้องวงจรปิด!!!

ไปอ่านใน Canon Network Camera, Ice Monster ของ @ifew เมื่อเช้าแล้วน่าสนใจแฮะ … คือเมื่อตอนเรียนปีสามเนี่ยผมเคยไปติดตั้งกล้องวงจรปิดให้พ่อผมที่ร้านอาหารของพ่อที่พิษณุโลก (แถวๆ ม.นเรศวรนั้นแหละ) แล้วพบความยุ่งยากว่าต้องมานั่งดูว่ากล้องแต่ละตัวมันเข้ากับชุดการ์ด DVI ของเราได้หรือเปล่า แล้วเจ้าการ์ด DVI เนี่ยมันรองรับกล้องได้กี่ตัว แถมต้องลากสายสัญญาอะไรอีกให้วุ่นวายมากมายเลย –_-‘ แถมไอ้เรื่องที่น่าปวดหัวที่สุดคือการ์ด DVI เนี่ยมันเลือก M/B และ VGA Card ด้วยครับ ใช้รุ่นใหม่ๆ หน่อยก็ไม่ได้ ต้องรุ่นเก่าๆ หน่อยไม่งั้นภาพไม่ขึ้นใช้งานไม่ได้อีก แถมเจ้าระบบไฟล์ที่ได้จากการ์ด DVI มันเป็นไฟล์เฉพาะ อยากเอาออกมาใช้งานทีนึงก็ต้อง Export เป็น Mpeg4 ซึ่งกินเวลานานมาก ขนาดต้องการแค่ 2-3 ชั่วโมงยังใช้เวลา Export 5-6 ชั่วโมงทีเดียว แถมมีขนาดไฟล์ที่ใหญ่มากๆ ด้วย แถมในรุ่นเล็กๆ ยังทำให้ดูผ่านระบบ Network ไม่ได้เสียด้วย ซึ่งลงทุกไปหลายหมื่นอยู่แต่ได้งานในระดับที่พอใช้ได้

ซึ่งมารอบนี้ Canon เข้ามาทำตลาดกล้องวงจรปิดแบบ IP Network Camera แล้วน่าสนใจมากคือต้องบอกก่อนว่าเจ้า IP Network Camera นี่มีมาพอสมควรแล้วหล่ะ เพียงแต่ว่าทำตลาดในวงแคบและไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไหร่นัก แต่มารอบนี้ Canon ทำตลาดให้ผู้ใช้งานตามห้างร้านที่ต้องการกล้องวงจรปิดโดยใช้ความรู้ในด้านการติดตั้งน้อยกว่าตอนผมติดตั้งเมื่อ 4-5 ปีก่อนมากเลยทีเดียว พร้อมระบบควมคุมที่น่าสนใจทีเดียวครับ จากที่ได้อ่านการติดตั้งและคุณสมบัติของมันแล้ว เจ้าตัวซอฟต์แวร์ Network Video Recording นี่ต่อได้ 64 ตัวพร้อมๆ กันได้เลย เลยน่าสนใจมากสำหรับคนที่ต้องการติดตั้งให้ครอบคลุมพื้นที่มากจุด แถมแปลงไฟล์วิดีโอเป็น QuickTime ซึ่งผมไม่แน่ใจว่า QuickTime เนี่ยมันเป็น Mpeg4 หรือเปล่า ถ้าใช่ก็ไม่แน่ใจอีกว่าเป็น codec H.264 ที่ใช้พื้นที่จัดเก็บไม่มากแบบรุ่นที่ขายกันทั่วไปไหม

52570458[1]

ยืมภาพจาก @ifew มา เดี่ยวไม่เห็นของจริง ;P

ต่อมาเรื่องของ Motion Detection และ Night Mode ที่ถ้าเป็นกล้องแบบเดิมๆ จะอยู่ในรุ่นสูงๆ หรือกล้องเฉพาะงานที่มีราคาแพงเท่านั้น ซึ่งในตัวนี้มีมาให้พร้อมเลยทีเดียวครับ ซึ่งเจ้า Motion Detection นี่น่าจะละเอียดกว่าพวก DVI โดยทั่วไปอยู่พอสมควร เดี่ยวถ้าได้มีโอกาสอัพเกรดตัวกล้องที่ร้านคงได้ลองใช้ดู … (อาจจะไปยุให้บ้านน้าติดตั้งดูก็ดีแฮะ เพราะเห็นว่ากำลังจะติดตั้งอยู่เหมือนกัน)

… แล้วพอลล่าไม่เป็นพรีเซ็นเตอร์เหรอครับ ;P

อ้างอิงข้อมูลอื่นๆ จาก

“พิสูจน์แล้ว แคนนอน Network Camera เทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อโลกธุรกิจ…ที่ให้ได้มากกว่าความปลอดภัย”

http://th.syndacast.com/press-releases/277-canon-network-camera.html

http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?p=896214#post896214

http://technology.impaqmsn.com/article.aspx?path=spec&rid=0&id=9772

กทช. เสนอออกใบอนุญาตให้กับผู้ประกอบการ ต้องติดตั้งอุปกรณ์ดักจับข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต!!!

FACEBOOK Fan Page : http://www.facebook.com/pages/Thailand-No-Sniffer/262241759249

ไอซีทีจับมือ5 หน่วยงานวางแนวกำกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาผ่านอินเทอร์เน็ต http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=19658:5-&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524

"คณะ ทำงานกำกับดูแลฯ ยังได้มีมติเสนอให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เพิ่มหลักเกณฑ์ในการออกใบอนุญาตให้กับผู้ประกอบการ ต้องติดตั้งอุปกรณ์ดักจับข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือ Sniffer ไว้ที่เกตเวย์ด้วย. Sniffer คือ โปรแกรมที่คอยดักฟังข้อมูลที่วิ่งไป-มาบนเครือข่าย หรือ Traffic"