Exclusive Report : Carve the new path, New ThinkPad X100e and EDGE

19 Jan 2010, 2:30pm-3:45pm

งานเปิดตัวครั้งเริ่มต้นโดย คุณจีรวุฒิ วงศ์พิมลพร, Country Manager for Commercial Business Unit, Lenovo (Thailand) ออกมาพูดในเรื่องของการเติบโตของตลาดในไทย ตรงส่วนนี้ผมขอไม่กล่าวถึงนะครับ เพราะผมตามไม่ทัน แหะๆๆ …

เลย ขอมาเริ่มที่คุณคุณวรเทพ จักรวาลวิบูลย์, Business Development Manager, Lenovo (Thailand) ได้ออกมานำเสนอพระเอกของงานว่า ThinkPad EDGE และ ThinkPad X100e เป็นอะไร และอย่างไรบ้าง

อย่างแรก ThinkPad Brand แยกออกเป็น ThinkPad EDGE Series และ  ThinkPad Classic Series (R, T, W, X Series) เรียบร้อย โดยที่ ThinkPad EDGE เป็นส่วนที่แยกออกมาเพื่อให้ ThinkPad เข้าถึงตลาดองค์กรขนาดเล็กและให้ดูมีความเป็นวัยรุ่นสูงมากขึ้นแต่ยังคงเป็น Business Series ของ Lenovo เช่นเดิม เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเครื่องที่มีเป็นคุณสมบัติบางอย่างของ ThinkPad แต่ก็ไม่ทิ้งความเป็นวัยรุ่นที่มากเกินไป

น้ำหนัก ThinkPad X100e นั้นหนักไม่ถึง 1.5kg และ ThinkPad EDGE นั้นก็หนักไม่ถึง 1.8kg เบาและบางใช้ได้เลย เหมาะสำหรับสาวๆ หรือซื้อให้สาวๆ ครับ ;P

ใน งานเปิดตัวครั้งนี้ได้นำเสนอ ThinkPad EDGE และ ThinkPad X100e นั้นมาในรูปแบบของคีย์บอร์ดใหม่ ซึ่งจากที่ได้สัมผัสและได้ลองทดสอบพิมพ์เทียบกับ ThinkPad Z61t ของตัวเองแล้วพบว่าลักษณะการดีดตัวของคีย์บอร์ดนั้นไม่แตกต่างกับตัวเดิม แต่ระยะห่างของตัวคีย์อาจจะห่างกว่าเล็กน้อย ซึ่งถ้าใครเคยใช้ ThinkPad รุ่นต่ำกว่า ThinkPad T60/R60 ลงไปจะทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงระยะห่างแบบนี้มารอบแล้วตอน *6x Series (T6x, X6x, R6x เป็นต้นมา) โดยรุ่นปัจจุบันจะมีระยะห่างกว่ารุ่นเก่าๆ ช่วงเมื่อ 3 ปีก่อนเช่นกัน การเปลี่ยนลักษณะคีย์บอร์ดแบบนี้ไปโดยสิ้นเชิงโดยที่ยังให้การดีดตัวของคีย์ ได้ไม่ต่างจากเดิมมากนักถึงว่าโอเคอยู่ ระยะห่างขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อย แต่ที่ยังกังขาคือการปรับมาเป็น 6 rows แทน 7 rows คีย์บอร์ดและปุ่ม Backward/Forward ถูกนำออกไปจากคีย์บอร์ดของ ThinkPad EDGE และ X100e เป็น PgUp/PgDn แทน ซึ่งอีกอย่างที่หลายคนกังวลคืออาการ Flex บอกได้เลยว่าไม่ Flex!!! แน่นอน ซึ่งมีปุ่ม Mute Mic มาให้ด้วยเพื่อให้รองรับต่อการติดต่อสื่อสารแบบ VoIP ด้วย พร้อมทั้งในรุ่น ThinkPad X100e มีการติดตั้ง WWAN มาให้ในตัวเลยไม่ต้องหาใส่เพิ่มทีหลัง ! (แต่ไม่แน่ใจว่าจะโดนตัดออกในอนาคตหรือเปล่าเพื่อทำราคาให้ถูกลง)

โดย ที่ขนาดหน้าจอของ ThinkPad EDGE คือ 13.3″ ส่วน ThinkPad X100e คือ 11.6″ แบบ Glossy ทั้งสองตัว โดยให้แบบ HD resolution ขนาด 1366 x 768 ที่อัตราส่วน 16:9 ซึ่งเจ้าทั้งสองตัวนี้ให้ Touchpad และ Trackpoint มาในตัวซึ่งไม่มี Netbook ในตลาดตัวใดให้ในราคาระดับนี้ พร้อมทั้ง Touchpad เป็นแบบ Multi-touch ด้วย ซึ่งตรงตามขนาดหน้าจอ 16:9 ทำให้แม่นยำมากขึ้นด้วย และเท่าที่ผมเทียบขนาด Touchpad ของ ThinkPad EDGE มันมีขนาดใหญ่กว่า ThinkPad Z61t ถึงสองเท่า!!!

USB แบบ Alway Power สีเหลืองที่จะจ่ายไฟให้ตลอดเวลาแม้จะปิดเครื่องเพื่อสะดวกสำหรับจ่ายไฟให้ กับอุปกรณ์ที่ต้องการเอามาชาร์จได้ แถมใน BIOS สามารถได้ด้วยว่าการจ่ายไฟที่พอร์ตนี้จะให้ไฟกับอุปกรณ์แบบใด ซึ่งมีให้เลือก 3 แบบคือ BlackBerry, iPod/iPhone และ Standard ซึ่งใส่ใจในรายละเอียดมากในส่วนนี้ รวมถึงมี option สลับ Fn-Ctrl ให้และมี option ที่ให้เรา hold ตัว Fn Key ให้ด้วย

ส่วนระบบใน ThinkPad Classic ที่ถูกนำมาใส่ใน ThinkPad EDGE และX100e นั้นครบครันครับ ได้แก่ AP กันตัว HDD, คีย์บอร์ดกันน้ำแบบใหม่ ที่แตกต่างจากตัว ThinkPad Classic ที่ไม่มีรูระบายน้ำด้านล่างแต่ใช้การซีลที่ตัวคีย์บอร์ดแทนนั้นหมายความว่า ต้องตะแคงเครื่องแทน้ำออกแทนให้มีรูระบายน้ำออกด้านล่างเอา

จากที่ ได้ฟังนั้นเหตุที่ Lenovo ใช้ CPU ของ AMD ใน ThinkPad EDGE และ X100e เพราะในระดับ CPU สำหรับ Netbook แล้วนั้นให้ความเร็วกว่า Intel ATOM ในราคาที่ถูกกว่า

ทั้งสองรุ่นให้ OS เป็น Windows 7 Professional เพราะมันคือเครื่องของ Business Series (ไม่ให้ก็แปลกแล้ว) พร้อมทั้ง ThinkVantage Technologies App มาทั้งหมด ในแบบเดียวกับรุ่น classic อีกทั้ง Windows 7 ที่ให้มานั้นถูกปรับแต่งมาเฉพาะสำหรับ ThinkPad และ Lenovo Notebook โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่ Preload ก็ไม่ได้เร็วเท่าที่มากับเครื่องแน่นอน โดยมีวิดีโอเปรียบเทียบให้ดูในงาน (ไม่แน่ใจว่าจริงแค่ไหนตอนใช้งานจริง ต้องลอง ใครจะซื้อยกมือ แต่อย่าลืมใส่ชื่อเป็นผมแนะนำนะ อิๆๆ)

ThinkPad EDGE มี 2 รุ่นคือ

  • CPU AMD Neo จะมีราคาที่ 19,900 บาท (exc VAT)
  • CPU Intel ราคา 25,900 บาท (exc VAT) !!! ….

ThinkPad X100e มี CPU ของ AMD เท่านั้นราคาอยู่ที่ 17,900 บาท (exc VAT)

สำหรับ ในงานมีสิ่งของเล็กๆ ที่พี่ๆ ที่ไปด้วยสนใจคือ USB to DVI ของ Lenovo ครับ ตัวนี้น่าสนใจมาก เพราะไม่จำเป็นต้องมี port สำหรับต่อจอนอกก็ได้สำหรับ notebook/netbook ก็ใช้ตัวนี้ต่อจอด้านนอกได้ แถมในงานจอภาพออกสองตัวได้อย่างอิสระอีกด้วยครับ สอบถามพบว่าใช้ได้กับยี่ห้ออื่นๆ ด้วยในราคาไม่เกิน 3,000 นะครับ จากที่สอบถามราคามา ยังไม่แน่ใจราคาสุดท้ายครับ

ทิ้งท้ายสิ่งที่เป็นข้อสังเกต

  • เป็นรอยนิ้วมือง่ายไปหน่อย แต่ถ้าใช้ iPod/iPhone หรือมือถือรุ่นใหม่ๆ น่าจะทำใจกันได้อยู่แล้ว ;P
  • การแกะฝากหลังเครื่องนั้นง่ายกว่าเดิมแน่นอน อิๆๆ ต้องลองแกะดู ใครซื้อมาก็แกะเล่นกันดูนะครับ คาดว่าจะอัพเกรดแรมง่ายขึ้น
  • รุ่นที่ขายนั้นให้ RAM 2GB เป็นมาตรฐานมา
  • บานพับไม่ใช่แบบเดียว ThinkPad Classic
  • ไม่มี Roll Cage คราวนี้ไปห้ามเอามาเหยียบเล่น ;P
  • ไม่มี ThinkLight!!!! (แน่นอน Blacklight ก็ไม่มี)
  • ไม่มีไฟสถานะใดๆ ให้แยงตาด้วย นอกจากไฟ power!!! (แต่มีไฟสีแดงที่หัวตัว i ของ ThinkPad -_-‘)
  • ไม่มีตะขอเกี่ยวที่ขอบจอด้านบนแล้ว !!!
  • ความร้อนผมถือว่าโอเคไม่ร้อนอย่างที่คิด แต่ก็ถือว้ร้อนกว่า Atom แน่นอน

สุดท้าย

ถ้า ยอมรับข้อสังเกตของผมได้และสนใจอยากลองจับๆ เล่นๆ ดูก่อนแนะนำให้เอาเงินฝากไว้ที่ ผบทบ ก่อน …. ผมเตือนท่านแล้ว … เพราะคาดว่าจะได้เสียเงิน อิๆๆ ;P

ขอบคุณทีมงาน Lenovo Thailand ทุกท่านครับ

[UPDATE – 1]

Warranty ของ ThinkPad EDGE และ ThinkPad X100e นั้นสามารถเข้า ศ. IBM Service Centre ได้เช่นเคย

สรุปชีวิตปี 2009 แล้วนี่เราจะเป็น Web Developer หรือ Photographer หล่ะเนี่ย (ตอนที่ 1)

เป็น entry ที่จะเขียนหลายรอบแล้ว จะจรดนิ้วพิมพ์ก็มีงานให้เข้ามาให้ปวดหัวและทำก่อนเสมอ ๆ สุดท้ายก็ไม่ได้เขียนสักที คืนนี้คืนข้ามปีของปีใหม่เลยเขียนสักหน่อย แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้เอาขึ้นใน blog เมื่อไหร่แฮะ คาดว่าจะหลายตอนอยู่เหมือนกัน เพราะเขียนไม่จบแน่ๆ คืนนี้ เอ้าาา ลุย

คือหลาย ๆ คนที่ตาม blog ผมคงจะงง ๆ ว่าไอ้บ้านี่มันเป็น Web Devloper หรือมันเลิกทำงานทำการไปเป็น Photographer แล้ว ฮา ๆๆ น่าสนใจมาก ว่ามาได้อย่างไร จริงไหม

ใน To-do-list ของปี 2009 เนี่ยเอาของเก่าที่ทำไม่ได้ใน 2008 มาทั้งหมดคือ

  • สอบ Certification ด้าน Web Developer อย่างน้อย  ๆ 2 ใบ ที่ดู ๆ ไว้ตอนนี้คือ Zend PHP 5 Certification (ZCE) กับ  MySQL Certified Associate ก็พอ แต่สุดท้ายก็ยังหาเวลาไปสอบไม่ได้ ถึงแม้จะเตรียมตัวสอบไปหมดแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปสอบ แถมตอนนี้ PHP 5.3 ออกมาได้อ่านเพิ่มอีกกระบุงนึง –_-‘ แถมเยอะใช้ได้เลยทีเดียว
  • ไล่อ่านหนังสือที่อ่านค้าง ๆ คา ๆ ที่บ้านให้หมด รวมถึงที่ซื้อมาใหม่ที่กองอยู่ที่ห้องที่กรุงเทพฯ ให้หมดด้วย ตอนนี้ก็ยังไม่หมด แถมยังซื้อมาเติมอยู่เรื่อย ๆ –_-‘ ยิ่งถ่ายรูปยิ่งเยอะกว่าเดิมอีก เออ เอากับมันดิไอ้บ้านี่ 
  • ตอนแรกจะพัฒนาให้ PHP Hoffman Framework ออก pre-release ออกมา สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ และคาดว่าจะทำใช้เอง ไม่อะไรแล้ว รู้สึกว่าทำใช้เองมีความสุขกว่าแฮะ ;P
  • จากที่เก็บเงิน อันนี้หมดไปกล้องถ่ายรูป ฮาๆๆ จริงๆ เงินเก็บก่อนที่จะถ่ายรูปมีอยู่พอสมควรเพราะกะว่าจะเอาไว้แต่งงาน สรุปก็ … เอ่อ เอาเหอะ เรื่องก็จะครบปีแหละ
  • แล้วก็ออกกำลังกายให้มาก ๆ เดี่ยวจะตายเร็วเสียก่อนงานนี้ ตอนนี้ก็ได้ออกกำลังกายทุกๆ ครั้งที่ออกไปถ่ายรูปอยู่แล้ว เดินกันสนุกสนานเลยทีเดียว ฮา ๆๆๆ
  • สุดท้ายก็ภาษาอังกฤษที่ควรจะดีกว่านี้ถึงแม้จะอ่านออก แต่ใช้ในการสื่อสารยังไม่ดีแฮะ … คืออ่านได้เพราะตัวเองอ่าน text book เป็นเล่มๆ ตอนเรียนหนังสือจนชินเลยได้สบายหน่อยตอนทำงาน แต่การสื่อสารยังเข้าขั้นแย่อยู่มาก

ท้ายที่สุด To-do-list ทั้งหมดในปี 2009 ก็ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ตามที่บอกไปแล้วปีนี้ 2010 ก็เลยคิดว่าไม่อยากเพิ่มอะไรเท่าไหร่แฮะ ที่เพิ่มคงเป็นเรื่องถ่ายรูปที่อยากให้สร้างรายได้อีกช่องทางหนึ่งให้กับตัวเองให้มากขึ้นอีกช่องทางหนึ่งก็เท่านั้นเอง

ส่วนแฟนเหรอ … ถ้ามีโอกาสค่อยว่ากัน แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ได้รีบหาไม่รู้ ถ้าจะมีก็คือมี อืมมม จังหว่ะชีวิต ไม่อยากคาดหวัง เท่าไหร่ว่าต้องปีนี้ เดือนนี้ หรือวันไหน ๆ …

แต่ก่อนอื่นมาสรุปเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างก่อน ว่าในปี 2009 เนี่ยเจออะไรกับชีวิตบ้าง คือประเดิมเดือนมกราคม เดือนแรกของปีก็เลิกกับแฟนเลย เป็นลางดีอวยพรประจำปีอย่างมากๆ เลยทีเดียว –_-‘ เหตุที่เลิกกันขอไม่ยาวมาก เดี่ยวจะหาว่า geek อกหักมักจะเฮิร์ตยาว (ฮา …) ก็แค่ระยะทางทำให้ทุกอย่างจบลง เสียดายนะเวลา 6 ปีที่คบกันมา แต่ทำไงได้ ทุกอย่างยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ได้แต่ทำใจและบอกเลิกกันไป เฮ้อ เซงมากตอนนั้น … พอ ๆๆ มาอ่านเรื่องเศร้ารับเดือนแรกปี 2010 นี่คงไม่ดี

มาเดือนที่สองของปีก็ต่อจากเดือนแรก เริ่มปล่อยตัว ปล่อยชีวิตทำงานแบบ เออ ชีวิตมีไปวัน ๆ มาก ๆ เพื่อนฟิวส์ (@ifew) มันก็ทักบอก “เฮ้ยยย! ถ่ายรูป ๆๆ อย่างงี้ต้องจัดสักดอกแล้ว D90 ไปเล้ยยยย” เราก็งง อะไรวะ D90 ไม่รู้จัก อะไรเหรอ 70-200 อืมมม แต่เราก็ยังไม่สนใจ “เออ ไว้ก่อน ๆๆ กูยังไม่พร้อม” ก็เลยไม่ได้อะไร เพราะเดือนนั้นได้เครื่อง Server สำหรับใส่เว็บ ThaiThinkPad มาเครื่องนึง Dell PowerEdge 1425  เป็น CPU Intel Xeon 3.0 GHz (64 Bit) มี Memory ให้ 1 GB ECC DDR-2 Ram (แบบ 512MB x 2) และมี Hard disk แบบ S-ATA มาให้สองตัวขนาด 80GB ตอนนั้นไม่คิดเรื่องอื่นครับ นั่งไล่ฟื้นความรู้ด้าน Server ทั้งหมดที่มีตอนฝึกงานที่ Lab Digital Content ที่ ม.ศิลปากร ที่ อ.รวิทัตดูแลอยู่ (@rawitat) กลับออกมาให้หมด (ตอนนั้นไปฝึกงานที่ทับแก้ว ก็รู้จักกับเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนที่นั้นที่ถ่ายรูปด้วยกันก็ @neokain นั้นก็ด้วย) ใช้เวลาอยู่สักพักประมาณอาทิตย์นึกก็ได้เวลาเอาเครื่องเข้า IDC โดยการแนะนำของ @ifew ให้ไปวางที่ CS-Lox เสือป่า ก่อนจะย้ายมาที่ CyberWorld ในภายหลัง เดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคมทั้งสองเดือนนี่ง่วนกับเรื่องนี้อย่างเดียวเลย เข้าออกหลายรอบ สุดท้ายก็สบายตอนหลัง ๆ เพราะระบบเริ่มนิ่งและไม่มีปัญหาอะไร แต่ไอ้ตอนมีปัญหานี่ตี 2-3 ทุกรอบซิน่า –_-‘

ต่อมาเดือนมีนาคม ก็ได้ความช่วยเหลือจากคุณทิม (http://www.memorytoday.com) มาสนับสนุน RAM ของ Server ที่เพิ่งได้มา ซึ่งทางผมก็ติดป้ายโฆษณาให้พี่เค้าด้วยในเว็บ ThaiThinkPad โดยเพิ่มจาก RAM 1GB เป็น 5GB โดยได้เป็น Transcend TS2GDL670S 2GB DDR2 PC2-3200 400MHz REG CL3 Module สำหรับเครื่อง Dell PowerEdge 1420SC/1425SC แบบ Single Rank มาใส่เครื่องซึ่งก็เป็นจำนวนเงินที่มากทีเดียวครับ ซึ่งในตอนนั้นเพื่อน ๆ สมาชิกในเว็บ ThaiThinkPad ก็ช่วย ๆ กัน Donate เข้าเว็บกันเรื่อย ๆ ครับ ช่วยเรื่องค่าเครื่องบ้าง ค่าวางเครื่องใน IDC บ้าง แต่ส่วนใหญ่ผมก็ออกเองเป็นส่วนใหญ่ครับ ออกแนวทำเอามันแฮะ ;P แต่ทุก ๆ คนช่วย ๆ กันเลยทำให้เว็บนี้ยังอยู่ได้จนทุกวันนี้ และในเดือนนี้แหละได้ซื้อกล้องสมใจเพื่อนช่างยุอย่างเจ้าฟิวส์ –_-‘ เพราะเดี่ยวก็ไปเท่าที่กระบี่ เลยเออ เอาวะ ซื้อก็ซื้อ ไม่มีความรู้เรื่อง DSLR เลย เอาง่าย ๆ ว่าความรู้เป็นศูนย์ ใช้แต่คอมแพ็ดแบบงู ๆ ปลา ๆ ถ่ายแบบ เออให้มันออกมาสวยแล้วกัน แค่นั้นแหละ ได้มาสักพักไม่ถึงอาทิตย์มั้ง ไปเดือนถ่ายรูปที่ Commart แบบ มือใหม่มาก ยังฮาตัวเองไม่หาย เพราะรูปที่ถ่ายเสียเกือบหมด ฮา ๆๆ โดนพี่ๆ ใน twitter บอก “มึงไปฝึกวัดแสงก่อนไป …..” ไอ้เราก็ “เออ อะไรวะวัดแสง เกิดมาเพิ่งได้ยิน”  ตอนนั้นก็บ้าสุด ๆ ซื้อหนังสือมานั่งอ่าน แล้วก็มานั่งกด ๆ ถ่าย ๆ สรุปช่วงนั้น 10,000 shutter release แรกเป็นครูมาก ๆ เพราะเสียเยอะจนหลายคนบอก “มึงซื้อมากดถ่ายรูปให้มันเสียเล่นๆ แล้วลบทิ้ง ใช้ไหม” –_-‘ เออ ก็จริงนะ ตอนนั้นรู้สึกได้ว่า ถ่ายด้วยกล้องคอมแพ็คตัวเก่ายังสวยกว่าเลย T_T คือไปงาน Commart ได้ภาพที่ใช้ได้มานิดหน่อย (เพราะนอกนั้นลบออกไปเยอะเลยทีเดียว) และงาน Motor Show ก็เช่นกัน สวยอยู่ไม่กี่รูป (กล้าพูดจริงจริ้ง ….) พอจบจากงาน event สองงานนี้นี่ไปกับ @neokain ซะส่วนใหญ่ เดิน ๆ ถ่าย ๆ รู้จักพริ๊ตตี้ก็น้องมิกส์และน้องแพท ที่ก็ไปเจอในงาน Motor Show เช่นกัน ส่วนคนอื่น ๆ ก็ผ่าน ๆ ตาบ้างบางคนเราก็รู้จัก แต่เค้าไม่รู้จักเรา (เอ้า ฮา …)

พอมาเดือนเมษายน ก็ไปเที่ยวกระบี่ คือซื้อกล้องมากะไปถ่ายตอนเที่ยวเนี่ยแหละ แต่ภาพตอนไปเที่ยวก็ยังไม่ได้ทำอะไรกับภาพเท่าไหร่แฮะ ก็ยังถ่ายดีมั่งไม่ดีมั่งอยู่ ขนาดถ่ายทะเลแดดแรง ๆ ยังใช้ ISO 400!!!  เออ ความอ่อนหัดสุดๆ ของตัวเอง ความไม่รอบคอบและประสบการณ์ที่ยังไม่มี CPL ก็ไม่ซื้อไป ฮาๆๆ ก็เลยได้ภาพแบบ อืมมม นะ เอาเหอะ ไม่เป็นไร ค่อยว่ากัน หลังจากนั้นก็ไปทริปฟรี Dpixmania.com พอดีว่าพี่อัท (ThaiAdmin.org) โทรมาชวน “เฮ้ยย ทริปฟรี มาฝึกมือกันมา” ก็เลยตกลงไป โทรชวนยศเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยไปด้วยอีกคนก็มาด้วย ตอนนั้นถ่ายทริป Portrait แรกเลย มุมมอง อะไรนี่ไม่มีในหัว ท่าทางนางแบบก็บอกเค้าไม่เป็น อะไรคือหลังละลายก็ไม่รู้จัก อืมมม สรุปยังโง่อยู่ –_-‘ ฮาๆๆ โง่ก็บอกว่าโง่ อวดฉลาดไปก็เท่านั้นแหละ ส่งท้ายเดือนก็มีงาน ThaiThinkPad Meeting 2 ก็จัดกันเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก เพราะอยากให้สบายๆ นั่งกินข้าวกัน เราก็ได้เพื่อนๆ ในเว็บเพิ่มขึ้นเยอะเลย สรุปเดือนนั้นเว็บ ThaiThinkPad เริ่มเข้าที่เข้าทางและไปได้ดีแล้วหล่ะ

มาเดือนพฤษภาคมนี้พี่หงษ์ (@hongsyok) ก็เห็นว่าผมถ่ายรูปแล้วใช้ Nikon เหมือนกัน ประกอบกับพี่เค้าเลิกถ่ายรูปด้วยกล้อง DSLR พี่เค้าบอกเกินวัยของพี่แหละ กล้องและเลนส์หนักไม่เหมาะสมกับวัย ให้หนุ่มๆ แบกแทนแล้วกัน –_-‘ แล้วก็เลยให้ยืมเลนส์มา 2 ตัวคือ Nikkor AF 60mm F2.8 micro (ตัวนี้อายุ 10 กว่าปีแล้ว) และ Nikkor AF 80-200mm F2.8 ED (อายุกว่า 15 ปี) แล้ววันต่อมาเลยเอาไปถ่ายรูปที่งาน Architect 09 ต่อเลย ก่อนหน้านั้นใช้แต่เลนส์ Kit 18-135mm F3.5-5.6 ED ที่รูรับแสงไม่กว้าง และหลังไม่ละลายเท่าไหร่ พอมาใช้เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างๆ เริ่ม เฮ้ยยย ใช่เลย แต่ตอนนั้นใช้ 60mm F2.8 Micro เป็นหลัก เพราะระยะไม่ต้องยืนไกลมากนัก แต่ปัญหาคือระยะชัดมันไม่เยอะ วืดไปซะเยอะแฮะ –_-‘ ช่วงนั้นก็ยังใช้ 80-200mm F2.8 ไม่คล่องเท่าไหร่ ออกแนวกิงก่าได้ทอง มีของดีแต่ใช้ไม่เป็น พี่อั้ม (@9aum, http://www.scriptdd.com) ก็บอกตอนไปงาน Barcamp Bangkok 3 ว่า “เมิงนี่ใช้ของไม่เป็นจริงๆ มาเดี่ยวเดือนสอนให้ แล้วจะรู้ว่า Tele มันดียังไง” –_-‘ เออ เอาครับพี่ ได้เลยครับ ในงาน Barcamp Bangkok 3 นั้นก็เลยได้ลองได้ถ่ายบ้างตามสมควร ในงาน Barcamp Bangkok 3 นี่ผมก็ไปพูดเรื่อง PHP Performance with APC + Memcached ในงานนั้นคนเข้าฟังเยอะมากมาย จนรู้สึกว่าเฮ้ยยย ใช้ได้แฮะ เป็นหัวข้อที่ทุกคนสนใจ จริงๆ ในงานนี้ก็ได้ฟังเรื่องการถ่ายรูป Portrait จากน้าแมว (http://catphoto.multiply.com/) หัวข้อ “ความจริงของตากล้องใน multiply กับการถ่ายภาพ 100 นางแบบใน 3 เดือน” ฮาดี แถมภาพสาว ๆ ที่นำมาโชว์เรียกเสียงฮือฮาจากหนุ่ม ๆ ในห้องได้เยอะทีเดียว ตอนนั้นไม่รู้หรอก ทริปถ่ายรูปเค้าไปกันยังไง … แต่ ในงาน Barcamp นั้นก็ประกาศหัวข้อเพิ่มอีกหัวข้อเกี่ยวกับสาวๆ ใน Hi5 ไทยบ้างเล็กน้อย แต่ว่าก็ออกแนวคุยแลกเปลี่ยนกันมากกว่าแฮะ ในงาน Barcamp รอบนี้สนุกสนานไปอีกแบบ แต่ก็เหนื่อยกว่ารอบก่อนๆ เพราะมี 2 วันแบบค้างคืนที่โน้นเลย แต่ผมก็ไม่ได้ค้าง กลับมาตอนตีสามกว่าๆ แล้วไปอีกทีตอนเก้าโมงเช้า เจองานนี้ไปสองวันกลับมาสลบไปเลยทีเดียว (blog งาน Barcamp นี่ก็ยังเขียนไม่จบ เจ้าของ blog ก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ –_-‘) ต่อจากงานนี้ ได้ถ่ายรูปใช้เลนส์ Tele 80-200mm แล้วพี่เค้ากระถุงต่อมในงาน Barcamp ก็เลยหาที่หาทางถ่ายฝึกๆ ไว้บ้าง นิดหน่อยแล้วหล่ะ สุดท้ายแล้วก็ได้ไปเดินถ่ายรูปงาน Money Expo 09 งานนั้นเลยเริ่มเข้าใจว่า 80-200mm มันดียังไง แล้วช่วงท้ายเดือนก็ไปเดินถ่ายรูปเล่นๆ ที่วัดพระแก้วกับเพื่อนฟิวส์ บ้าง แต่ระหว่างเดินถ่ายรูปก็ฝนตกลงนิดหน่อย แต่พอทน ภาพก็ยังอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้แปลงตัว RAW สักที –_-‘

เดือนมิถุนายนพี่อั้ม (@9aum) ก็ชวนไปถ่ายรูปที่ Fat T Shirt 09 เป็นงานถ่ายรูปคอนเสิร์ตงานแรก ได้เรียนรู้จากคำแนะนำจากพี่อั้มเยอะมาก อ่อ ลืมบอก พี่อั้มเป็นโปรแกรมเมอร์และตากล้องประจำเว็บ http://www.songburi.com นั้นเอง เลยได้วิธีการทำงาน การเตรียมตัวและมุมมองกล้องต่างๆ ว่าควรจะยืนตรงไหนยังไงบ้าง ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีในการถ่ายงานแนวนี้เพราะต่อมาก็เป็นงานที่ได้รับความไว้วางใจจากพี่ๆ Organize ที่รู้จักกันให้ไปถ่ายรูปงานแนวๆ นี้อยู่เรื่อยๆ จบงานนี้ก็ไม่ได้ไปถ่ายรูปที่ไหนเลย เพราะงานเข้าช่วงนั้นกำลังออกจากงานที่บริษัทเก่า ไล่เคลียร์งานกันหูตูบเลยทีเดียว แต่จนแล้วจนรอดพี่อัทก็ชวนไปถ่ายรูปนอกรอบรับปริญญาน้องออมที่สวนรถไฟ ได้ถ่ายแนวนี้ก็ได้แนวคิด ไปมุมมองใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาอีก แล้วก่อนสิ้นเดือนก็มีงานเข้าให้กดดันอีกครั้งกับงาน Federbrau – Glow In The Dark Party ที่ไอ้เราก็ไม่มีประสบการณ์ด้านถ่ายรูปตอนกลางคืนประกอบกับเฟลชเราก็ไม่มี งานนี้ยืม SB600 จากฟิวส์มา จริงๆ มันก็ถ่ายได้ แต่ก็ไม่มาถ่าย บอกไม่ใช่แนว –_-‘ เออ เอากับมัน เอาวะได้เฟลชมาต้องฝึกก่อนไปงานจริง พอไปหน้างานมีน้องในทีมมี SB800 เออ ก็โอเคอยู่ เลยแลกกันใช้เพราะไอ้เราเป็นกล่องหลัก –_-‘ เออนะ แต่ว่าด้วยความที่ไปถ่ายงาน Fat T Shirt ก่อนหน้านี้เลยบอกในทีมที่ไปถ่าย เกือบทุกคนก็มือใหม่กับงานแนวนี้ซะเยอะด้วยซ้ำ มีพี่อ้วน (@anantachai) ที่ถ่ายรูปมาก่อนหน้านี้เยอะกว่าทุกๆ คนต่างคนก็ต่างช่วยๆ กันวางแผนว่าเฮ้ยย เน้นมุมให้มากเท่าที่ทำได้ สุดท้ายก็เลย ได้ภาพที่รวมๆ กันแล้ว ได้กันในมุมมองที่ดี และคุณภาพที่น่าพอใจ เพราะงานนี้พวกเน้นจำนวนคนเข้าว่า เพราะถึงมีบัตร Staff แต่พอเอาเข้างานจริงแล้วแทบไม่มีประโยชน์เลย –_-‘ เบียดเสียดกันซะ ดีที่วางแผนว่าให้ไปยืนกันทีเดียวเลย 3 คนหน้าเวธีใครโดนบังโดนเบียดหรือไม่ได้มุมค่อยออกมา ให้คนที่ได้มุมดีๆ หรืออยู่ได้ถ่ายกันไป ซึ่งก้ได้ผลแฮะ … เราโดนเบียดจากเข้าไปถ่ายไม่ได้ ในมุมที่สวยและดี เลยให้พี่อ้วนที่อยู่ในมุมที่ดีกว่ารับหน้าที่ถ่ายแทน ส่วนผมกับน้องอีกคนก็ออกมาท้ายด้านนอกมุมกว้างๆ และมุมเทเลถ่ายเจาะเอาตามสมควรแทน พอจบงานนี้ก็ได้ประสบการณ์การเรื่องถ่ายรูปด้วยเฟลชและการทำงานเป็นทีมเพิ่มมามากขึ้นเยอะ และสุดท้ายของเดือนก็ถ่ายรูป The Last Day at TARAD.com เป็นภาพที่ลองถ่ายแนวๆ นี้แล้วก็ชอบแฮะ ถึงได้ไม่กี่รูปแต่ก็ได้ความรู้สึกไปอีกแบบนึง

เอ้าา จบตอนที่ 1 ก่อนแล้วกันนะครับ มาได้ 6 เดือนแล้ว ;)

ของขวัญให้ตัวเองในปีใหม่นี้

ปีนี้ได้โบนัสมาตามสมควร และตั้งใจว่าจะซื้อ Spyder3Express อยู่แล้ว เลยได้เวลาจัดมาสังเวยความเป็นตากล้องของตัวเองเสียเลย ในราคาค่าตัว 4,900 บาทที่ pix-one สาขา IT Mall fortune ครับ

DSC_6841

ข้อแตกต่างของ Spyder3Express กับ Spyder3Pro และ Spyder3Elite ก็คือ

 

Spyder3Express

Spyder3Pro

Spyder3Elite

Gamma Choices

2.2 (Fixed)

4 choices: 1.8, 2.0, 2.2, 2.4
(16 target combinations)

Unlimited choices, user defined

Color Temperature

6500K (Fixed)

4 choices: 5000K/5800K/6500K/native
(16 target combinations)

Unlimited choices, user defined

Embedded Ambient Light Sensor/Desktop Cradle

No

Yes

Yes

Ambient Light Measure

No

Yes

Yes

Multiple Display Calibration

No

Yes

Yes

อื่นๆ ดูได้ที่ http://spyder.datacolor.com/s3compare.php

โดยทั่วไปแล้วเนี่ยแค่ Spyder3Express ก็เพียงพอต่อการใช้งานสำหรับตากล้องอย่างผมแล้วหล่ะ ราคาก็ไม่แพงด้วย ใช้อยู่หน้าจอเดียวคงยังไม่จำเป็นต้องใช้ Pro แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ในอนาคตค่อยปล่อยขายแล้วมาซื้อก็ได้ เพราะเป็นของที่มีอายุใช้งานยาวนาน ปล่อยขายมือสองราคาก็ไม่ตกมากมายนัก

พอซื้อมาก็ทำการติดตั้งโปรแกรมแล้วลงมือ Calibrate ตัวหน้าจอเครื่อง notebook ของเรา ผลที่ได้คือจอภาพติดแดงๆ หน่อยๆ แต่เท่าที่ศึกษามานั้นเป็นการปรับให้ Gamma เป็น 2.2 และ White Point ที่ 6500K เลยทำให้ดูแปลก ๆ ตาไปแต่พอใช้ไปจริงๆ แล้วก็ชินไปเอง ซึงจอทั่วๆ ไปนี่จะใช้ White Point ที่ 9300K ทำให้ออกโทนสีฟ้าและขาวนั้นเอง

คราวนี้เราก็ได้มาตรฐานส่วนของ output ที่จอภาพได้มตรงตามมาตรฐานมากขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว