Client Choice with Google Talk

They say talk is cheap. Google thinks it should be free. Google Talk enables you to call or send instant messages to your friends for free–anytime, anywhere in the world. Google Talk offers you:

  • Choice: Get in touch how and when you want to–over email, IM or a call
  • Quality: Talk through your computer but hear your friends as if they were in the same room
  • Convenience: Your Gmail contacts are pre-loaded into Google Talk so inviting or talking to your friends is just a click away

Google Talk is in beta and requires a Gmail username and password.
Google Talk

——————————————-

เท่าที่ได้ลองใช้ในการทดสอบพูดคุย พบว่าแทบไม่พบการ delay ของสัญญาเสียงเลย ค่อนข้าง work มาก ทีเดียว ส่วนลูกเล่น ยังไม่มีมากเท่าใดนัก

ส่วนการกินทรัพยากรนั้น อยู่ในระดับ 3:4 ที่ MSN Messenger ใช้

ร่วมโปรโมตร : HighLight Dictionary (โปรแกรม ดิกชั่นนารี อังกฤษ ->ไทย ที่มีคำศัพท์ มากกว่า แสนคำ)

HighLight Dictionary (โปรแกรม ดิกชั่นนารี อังกฤษ ->ไทย ที่มีคำศัพท์ มากกว่า แสนคำ)
เป็น Dictionary [English-Thai] มีข้อมูลคำศัพท์ ทั่วไป ประมาณ มีคำศัพท์ทั้งหมด 112,333 คำ (142,585 รายการ) สามารถใช้ร่วมกับโปรแกรมต่าง ๆ ได้ โดยจะแปลศัพท์ที่ คุณต้องการรู้ความหมายจริง ๆ โดยไม่ต้องพิมพ์คำศัพท์ใหม่ เพียงแค่คุณลาก Highlight คำศัพท์ที่ต้องการแล้วกดปุ่ม Windows Key + X (Alt + X) โปรแกรมก็จะทำการแปลและแสดงผล …

จุดเด่นหลักของโปรแกรมคือความสามารถในการรับคำศัพท์เพื่อมาแปล โดยจะใช้การลากไฮไลต์ (Drag Mouse) บนคำศัพท์ที่ต้องการแล้วกดปุ่ม Windows Key + X หรือปุ่มอื่น ๆ ตามที่ตั้งค่าไว้ โปรแกรมจะแปลและแสดงผลโดยอัตโนมัติ ดังนั้นคุณไม่ต้องพิมพ์คำศัพท์ใหม่ หรือก๊อปปี้คำศัพท์แล้วมาวางในโปรแกรมแปลอีกครั้ง

โปรแกรมนี้สามารถใช้ร่วมกับโปรแกรมต่าง ๆ ได้ เช่น MS Internet Explorer , MS Office , Adobe Acrobat หรือโปรแกรมอื่นๆ โดยมีข้อแม้ว่าคำศัพท์ที่แปลต้องใช้เมาท์ลากไฮไลต์ (Drag Mouse) ได้เท่านั้น …

Version 2.1 Update

  1. เพิ่มคำศัพท์ใหม่ ใช้ฐานข้อมูลดิกชั่นนารี่ที่มีลิขสิทธ์จาก HopeStudio/ KDictThai (37,018 คำ) และ Nontri (22,336 คำ) รวมกับ Lexitron ที่มีอยู่เดิม (V 2.00) 52,979 คำ (83,231 รายการ) สรุปว่า V.2.10 Beta มี คำศัพท์ทั้งหมด 112,333 คำ (รวม 142,585 รายการ) ประกอบด้วย คำศัพท์ภาษาอังกฤษ คำแปลภาษาไทย คำอ่าน คำหลัก คำพ้องและคำตรงข้ามความหมายภาษาไทย คำพ้องและคำตรงข้ามความหมายภาษาอังกฤษ และตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ …
  2. แก้ไขข้อผิดพลาดเกี่ยวกับการค้นหาคำศัพท์ที่มีเครื่องหมาย ” เป็นส่วนประกอบ …
  3. เพิ่มฮอตคีย์ ALT+X เพื่อให้สะดวกในการใช้งาน และสามารถใช้โปรแกรมกับโน๊ตบุค หรืออื่นๆ ที่คีย์บอร์ดที่ไม่มีปุ่ม Windows Key ได้

จากที่ได้ลองใช้ผมว่าเป็นโปรแกรมที่ OK มากทีเดียว ใช้ทรัพยากรระบบพอๆ กับ ThaiSoftware Dictionary 4.0 เลยหล่ะ แต่โปรแกรมทำงานได้เร็วกว่าพอสมควรเลย

ในด้านการเข้าถึงคำศัพท์ อาจจะไม่ครอบคลุมเท่า ThaiSoftware Dictionary แต่ว่าก็เพียงพอสำหรับคนที่ใช้งานทั่วๆ ไปอยู่แล้ว

Download ได้ที-> HighLight Dictionary (โปรแกรม ดิกชั่นนารี อังกฤษ ->ไทย ที่มีคำศัพท์ มากกว่า แสนคำ)

เกมส์ฆ่าคุณได้ ?

อ่ะอ่า …….. อย่าๆๆ อย่าเพิ่งด่า ที่จั่วหัวแบบนี้ ใจเย็นก่อน อ่านให้จบ

ดื่มน้ำเย็นสักแก้ว แล้วอ่าน เดี่ยวจะเส้นเลือดในสมองแตกตาย แทนเล่นเกมส์แล้วช็อคตาย

จาก Can games kill? และจากข่าวการตายของคนเล่นเกมส์บ้าระห่ำ 48 ชั่วโมง up …… แล้วช็อคตายห่า หน้าร้านเกมส์

หลายๆ สื่อโทษ เกมส์ และรวมถึงหลายๆ คน โทษ เกมส์ รวมถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดจากการนำพาของเกมส์ ไม่ว่าจะความรุนแรง หรื่อข่าวด้านอื่นๆ

ผมว่าโดยธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ยอมโทษ ตัวเองหรอก ว่าตัวเองผิด ชอบโบ้ย ให้คนอื่นผิด หรือแม้แต่สังคมเองก็ตามที ที่มักจะหาแพะ มารองรับความผิดที่ตนเองก่อขึ้น

ในเรื่องของเกมส์เป็นตัวอย่างที่ดี ของคนที่ใช้กระบวนความคิด ในการแก้ไข และหาเหตุผลมาเสนอ และบ่งบอกความผิด ในรูปแบบที่ผิดวิธีไปอย่างมาก

ในเรื่องการจัด Rating เกมส์เป็นเรื่องที่ดี จริงๆ แล้วในเรื่องราวแบบนี้ควรจะมีการจัดไว้ในทุก ๆ สื่อ ไม่เว้นแม้แต่เกมส์ หรือภาพยนต์ต่าง ๆ

แต่ด้วยบ้านเมืองเราในปัจจุบัน ตัวบทกฎหมาย มีไม่ครอบคลุมเนื้อหา และปัญหาของสังคม รวมถึง ผู้ใช้กฎหมาย ไม่มีความแข็งแรง ทั้งในด้านจิตใจ และจิตสำนึก ที่จะต่อกร ต่อความไม่อยุติธรรมของสังคม และจิตใจของวงการธุรกิจที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเท่าใดนัก

สิ่งหนึ่งที่คนไทยบางกลุ่มซึ่งกลุ่มนี้เป็นคนกำหนดชะตาชีวิตของสังคมไทย และรวมถึงแนวรวม ของสังคมที่ชอบทำอะไร ตามๆ กัน มักอ้าง สิทธิมนุษยชน อ้าง ความเป็นเสรีภาพ

โดยสิ่งที่อ้าง และกล่าวอ้าง มักเป็นสิ่งที่ขัดต่อบทกฎหมาย และตัวบทกฎหมายก็มักจะตีความได้มากมาย และไม่เฉพาะเจาะจงลงไปมากนัก ทำให้เกิดการตีความที่ผิดต่อวัตถุประสงค์อย่างร้ายแรง

ประชาธิปไตย เป็นเสรีภาพ ที่ไม่ควรอยู่เนื้อกฎหมายสูงสุดของรัฐนั้นๆ แต่เราชาวไทยโดยทั่วๆ ไป คิดว่าเสรีภาพ นั้นคือการทำอะไรก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำ คือแบบนี้มันง่ายเกิน จนมักง่าย ทำอะไรก็ไม่ดูหรอกว่า มันทำได้หรือเปล่า อยากจะทำก็ทำ อยากจะเอามาเข้ามาในประเทศ ก็ทำ ขอให้ได้เงิน เป็นพอ

นี่ปี ค.ศ. 2005 หรือ พ.ศ. 2548 ไม่ใช่ปี พ.ศ. 1700-2400 นะครับ ใครจะ ใคร่ค้าม้า ก็ค้า จะค้ายาเสพติดก็ค้า บ้านเมืองมีกฎหมาย มากมายเพื่อยับยั้ง ความคิดที่หลุดโลก หลุดจากศีลธรรมต่างๆ

ที่หลายมาทั้งหมด ในเรื่องของการใช้ตัวบทกฎหมาย ก็อยากให้เข้าใจว่า การแก้ปัญหาในเรื่องของเกมส์นั้น ควรแก้ที่ตัวบุคคล ในเมื่อคนเล่นมีเสรีภาพในการเล่น ถ้ามีการจัด rating เกมส์แล้ว อายุถึงตามกฎหมาย ก็ปล่อยมันไป ผมถือว่าโตๆ กันแล้ว มันจะเล่นเกมส์ตายห่า ยังไงก็ช่างมัน เพราะเรื่องแบบนี้ผมถือว่ามันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของบุคคลที่ไม่ควรไปกำจัดสิทธิของเค้า

แต่ถ้า คนเล่นคือเด็ก ที่ยังไม่มีอาุยุเกิน 20 ปี และเกมส์ที่เล่นมี rating ที่ไม่เหมาะกับเค้า ก็ควรจะมีการสั่งหยุด หรือห้ามไม่ให้เล่น

เพราะในต่างประเทศ ในหลายประเทศที่ไม่ค่อยมีปัญหา (หรือเปล่าหว่า -_-”) เค้ามีการกำหนด rating เกมส์ รวมถึงสื่ออื่นๆ ไว้ชัดเจนว่าใครควรซื้อ และควรเล่น รวมถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมืองในความรับผิดชอบสูง ที่จะไม่ซื้อ หรือจัดหา สื่อที่ไม่เข้ากับอายุของเด็กที่ต่ำกว่า 20 ให้เด็กที่อายุไม่ถึง 20 เล่น

กล่าวคือ ผู้ใหญ่ไม่ให้เด็กเล่น หรือเด็กเสพสื่อที่ไม่เหมาะเหล่านั้น มีจิตใจที่ดี ไม่ยอมต่อคำออดอ้้อนของเด็ก และเป็นทั้งสังคม เด็กมันจะไปเอาสื่อพวกนี้มาจากไหนได้ มีการกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน และเคร่งครัด ไม่เหลวแหลก แหกกฎ มีการกำหนดระยะเวลาในการเล่นของแต่ละบุคคลเอง ตามแต่ครอบครัวจะกำหนด เป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย จริงๆ เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ครอบครัวด้วยเช่นกันนะ ถ้าสอนมาดี มันก็ไม่มีปัญหาหรอก ทำให้มีวินัยในตนเองของเด็กในนั้นมีมากขึ้น และมากพอ และจากการฝึกจากส่วนนี้ โตขึ้นก็จะเคารพคนอื่นๆ ไม่แหกกฎตามมา

แต่ก็จนแล้วจนรอด มันก็มีไอ้พวกบ้า ชอบพูดว่า “กฎมีไว้แหก” ผมหล่ะอยากจะกระทืบ หรือชกปากมันซักที ไม่รู้ว่ามันเอาความคิดนี้มาจากไหน (น่าจะภาพยนต์ต่างๆ) คือถ้ามันคิดแบบนี้ผมว่ามันไม่ทำตามกฎจารจร เห็นไฟแดง มันก็ผ่า เห็นผู้หญิงสวยๆ มันก็ไล่ข่มขื่น มั้ง ……. บ้าไปแล้ว …. แล้วบ้านเมืองมันจะสงบสุขได้ไหม

เอ้าๆๆ ออกทะเลอีก ผม -_-”

เรื่องเกมส์ต่อดีกว่า ……….. ;)

คือ ถ้าเราใช้กฎหมายมาควบคุม มัน ok นะ แต่ ……..

คนใช้กฎหมาย และคนในสังคม ต้องร่วมมือ แต่ ……..

ถ้าคนที่เล่น คนที่เสพสื่อเหล่านี้ ไม่มีจิตสำนึก ไม่มีวินัยในการบริหารความพอดีในตนเอง

“มันก็ไม่มีประโยชน์”

เพราะเรื่องราวเหล่านี้ มันอยู่ที่คนที่อยู่ต้นทางของปัญหา คือ บุคคล ที่กระทำ นั้นคือคนเล่น คนเสพสื่อ

เช่น ผมถ้าจะเล่นเกมส์ ถ้าช่วงผมบ้าๆ ตอนช่วง ม.3 ได้มั้ง ผมเล่นวันนึง ไม่ต่ำกว่า 18 ชม. ต่อวัน บางครั้งไม่ได้้นอน 2 – 3 วัน กินนอนอยู่ที่ร้านเกมส์ (ไม่รู้ตรูรอดช็อคตายมาได้ไง -_-” คงเพราะออกกำลังกายแตะฟุตบอลด้วยมั้ง) ต่อมาสัก ม. 4 – 6 เริ่มรู้ว่าผลการเรียนตกต่ำสุดขีด เร่ิมปรับตัว หันหลัง แขวนเมาส์ไป ไม่ได้เล่นมากมาย คือเล่นพอสนุก อาทิตย์ละ 3 – 4 ชั่วโมง ตามแต่ใจจะไคว้ขว้า หุๆๆ เริ่มๆ จัดระเบียบตัวเอง ไม่ต้องมีใครบอก (แต่ตอนบ้าๆ ไม่รู้หรอก โดนแม่ ว่าเช้า ว่าเย็น 5555)

เรื่องแบบนี้ถ้าแก้ได้ มันต้องแก้ที่คนเล่น บุคคลที่เสพนั้นหล่ะ จริง ป่ะ ;)

ถ้าคนมันตายเพราะเล่นเกมส์ ก็เพราะว่ามันฆ่าตัวตายเอง (ดันโง่ เล่นเกินขนาด เหมือนคนเสพยา) ไม่ใช่เกมส์ ไปฆ่ามัน เพราะเกมส์มันคงไม่มีมีด ออกมาปาดคอ หรือตัดขั่วหัวใจ ให้ช็อคตายห่า หรอก

นโยบาย Notebook สำหรับนักเรียนประถม ของท่านผู้นำ …

จริงๆ ได้ข่าวมาสักพัก วันนี้เลยซัดลง Blog เลยดีกว่า

เด็กประถม จะให้ใช้ Notebook ผมว่ามันเกินไป มันมีความจำเป็นซะขนาดนั้นหรือไงท่านผู้นำ ขนาดประเทศที่พัฒนาแล้วยังไม่ทำเลยไม่ใช่ว่า Notebook จะทำให้เด็กไทยมัน ฉลาดขึ้นนะ การสอนอย่างมีระบบ ระเบียบมากกว่ามั้งคุณท่านผู้นำ

ผมว่านะ เอาให้เด็กตามสถานที่ชนบทให้เค้ามีข้าวกินครบมื้อ มีจักรยานให้ถีบมาเรียนก่อนจะดีกว่ามั๊งครับ

ผมว่างานนี้เหมือนรัฐแจกรถให้คนละคันให้ขี่ไปทำงาน บางคนรถไม่ต้องการเลย มีแล้ว ที่ต้องการคือบ้าน บางคน รถไม่ต้องการเลย ข้าวใส่ท้องยังไม่มี บางคน ที่ทำงานอยู่ใกล้ เดินไปก็ได้

เอางบไปปฎิรูปการศึกษา เพิ่มเงินเดือนครูให้สูงเท่าอาชีพ อย่างวิศวกร ไม่ดีกว่าเหรอไง จะได้ดึงดูดคนเก่งๆ มีความสามารถมาสอนกันลูกสอนหลาน กันเยอะๆ ถ้าไอ้ Notebook เนี่ยมันทำให้เด็กไทย ทั้งหมดเป็นอัจฉริยะ ได้นี่ ต่อให้คนละแสนก็น่าลงทุนครับ แต่ …..

มันไม่ได้เป็นแบบนั้น Notebook มันเป็นแค่เครื่องมือ ครับ เป็นตัวช่วยมากกว่าเป็นทุกๆ อย่าง

Notebook ที่ท่านผู้นำจะมอบให้กับเด็กๆ มันไม่ใช่คำตอบของการแสวงหาความรู้ทั้งหมดครับ …

ประเทศอย่าง อเมริกาและญี่ปุ่น คงหัวเราะกันท้องแตกไปเลย เมื่อเจอ การพัฒนาการศึกษาของไทยแบบนี้

เค้าคงมองว่าผู้คิดขึ้นมานั้น เป็น รัฐบุรุษโลกเลยล่ะครับ 5555555555 โอ้ย ……… แม้ คิดมาได้นะครับ ….

อยากให้ท่านผู้นำ และท่านๆ ที่สนับสนุนอ่านเหลือเกิน

มาเล่าเรื่อง โรงเรียนชนบท

ช่วงไม่กี่วันมานี้ ผมได้มีโอกาสออกไปต่างจังหวัด หลายๆจังหวัด กับเพื่อนๆและคณะข้าราชการเกษียณอาวุโสหลายท่าน เพื่อนำสิ่งของ เครื่องใช้ เสื้อผ้ากีฬา อุปกรณ์กีฬา และสันทนาการต่างๆ ไปให้แก่โรงเรียนชนบทที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญ หลายแห่ง

ก็เลยมีความคิดจะนำเรื่องบางเรื่องมาเล่าสู่กันฟังเป็นอีกมุมมองหนึ่งในเรื่อง ความเป็นอยู่และการศึกษาของเด็กๆ ในถิ่นทุรกันดารและไกลความเจริญ

มีหลายสถานที่มากมายทั่วทุกภาคครับที่ห่างไกลความเจริญ โดยเฉพาะ ทางด้านการศึกษาของเด็กๆ เท่าที่ผู้ร่วมคณะท่านหนึ่งซึ่งเคยเป็นข้าราชการเก่าในกระทรวงศึกษาธิการเล่าให้ฟังว่า ภาคใต้นั้น การศึกษาพื้นฐานจะดีที่สุด ภาคที่มีปัญหาคือ ภาคอีสาน และภาคเหนือ อันเป็นแดนดินถิ่นท่านนายกฯ note book

ช่วงการออกตระเวน ภาระกิจหลักก็คือ การนำเอาสมุดและหนังสือเรียนที่มาจากการบริจาคจากทุกที่ รวมทั้งอุปกรณ์การสอน การเรียนและเสื้อผ้า รองเท้า ไปแจกจ่ายให้แก่ นักเรียนในถิ่นกันดารต่างๆ ส่วนใหญ่นั้น โรงเรียนแทบจะไม่มีสภาพของอาคารเรียนเลย มันเป็นเพียงเพิงที่สร้างขึ้นแค่คุ้มแดดและฝนให้แก่นักเรียนเท่านั้น
…………โรงอาหาร ไม่มี แต่อาศัยเอาร่มไม้ในบริเวณเป็นที่นั่งรวมกันรับประทานอาหาร
ดีว่ายังมี………..ห้องส้วม ที่ครูอาสาและครูอัตราจ้างพิเศษในแดนกันดาร ที่ท่านมีวิญญาณของ “ครู” อย่างแท้จริง ได้สร้างขึ้นเอง ด้วยเงินบริจาคอันน้อยนิดที่ได้รับมา

ครูชายท่านหนึ่ง บอกผมว่า เรื่องสุขอนามัยนั้น ถือว่าสำคัญ เพราะ หากเด็กๆไม่สบาย ก็จะไปทำการรักษาลำบาก เพราะอยู่ห่างจากสถานพยาบาลมากนัก ต้องเดินและไปต่อรถอีกหลายต่อ ไม่มีโรงอาหารยังอาศัยกินกันใต้ต้นไม้หรือในห้องเรียนได้ แต่ไม่มีส้วมที่ได้สุขลักษณะนั้น ไม่ดีเลยต่ออนามัยของเด็กๆ……………ครูดีแบบนี้ ปัจจุบันยุคนี้ปี 2548 หาได้สักกี่คน????

ครูชายท่านนี้ อายุอานามเพียง 20 ต้นๆ แต่อุดมการณ์นั้น เปี่ยมไปเฉกดั่งพ่อครูที่ผ่านโลกมาช้านาน ครูตัดสินใจเขียนจดหมายแบบเดาสุ่มมาที่บริษัทฯของผม และมันถูกฝ่ายบุคคลที่บริษัทฯดองเค็มนานถึง ห้าเดือนเต็มๆ ก่อนที่มันจะถูกพบเห็น โดย auditor ภายนอกที่มาตรวจประจำระบบคุณภาพ อันเป็นมาตรการรักษาไว้ของ certificate ที่ทางบริษัทฯได้รับมานานแล้ว อย่างต่อเนื่องทุกปี
ผมจึงทราบเรื่อง และดำเนินการติดต่อ และให้คนสืบเสาะ ไปจนพบครูท่านนี้ ซึ่งได้รับการชี้แจงว่า จะมีคณะบุคคลมาให้ความช่วยเหลือเช่นกัน ผมจึงได้ติดต่อขอเข้าร่วมทันที และเป็นที่มาของการเดินทางร่วมไปด้วยกันในการตระเวนช่วยเหลือเด็กชนบททางด้านการศึกษา

…..ก่อนหน้านี้ ผมก็บริจาคเงินและสิ่งของเนืองๆผ่านทางองค์กรเอกชนบ้าง มูลนิธิบ้าง เพราะทราบดีว่า ยังมีเด็กไทยที่ด้อยโอกาสทางการศึกษาในประเทศเรานั้นมากนัก จากรายการสารคดีต่างๆ จากสื่อ. แต่ก็ไม่มีโอกาสไปสัมผัสด้วยตนเองสักครั้ง นับจากที่เคยสัมผัสสมัยที่ยังเป็นนักศึกษา ซึ่งมันก็นานกว่า 25 ปีมาแล้ว

…ครับ……25 ปีมาแล้วที่สภาพของโรงเรียนชนบทของไทยในถิ่นกันดาร แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเลย อะไรกันเนี่ย? ผมงงจริงๆ
ผมประเมินว่า มันน่าจะมีความเจริญหรือดีขึ้นมาบ้างในเรื่องนี้ แต่ปรากฏว่า 25 ปีผ่านไป เด็กๆในท้องถิ่นกันดาร กลับได้รับการดูแลจากรัฐ ในด้านการศึกษาเหมือนเดิม

ผมและเพื่อนๆในคณะหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง และตั้งใจกันว่าจะเริ่มทำกันเป็นกิจลักษณะเพื่อช่วยเหลือทุกด้านแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดไร้การดูแล ซึ่งขณะนี้ ก็กำลังให้ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งไปดำเนินการในเรื่องการจัดตั้งมูลนิธิ อย่างถาวรไปเลย ไม่ใช่แค่เพียงรวมตัวเฉพาะการ ดำเนินการเฉพาะกิจแบบที่พวกคนบางคนชอบทำตัวเป็นข่าวให้โก้

ย้อนกลับมาที่โรงเรียนที่ไป ขอยกมาสักโรงเรียนหนึ่งทางภาคเหนือ นะครับ โรงเรียนนี้ตั้งอยู่ในดินแดนสีแดงเก่า (เขตผู้ก่อการร้ายในอดีต) ที่จังหวัดน่าน
โรงเรียนนี้เองที่ครูชายท่านที่ผมกล่าวถึงทำการสอนอยู่ มีเพียงครูท่านนี้ และ บัณฑิตจากจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ที่จบมาเพียงสองปีเองเท่านั้น ทำการสอนอยู่
ผมถามเธอว่า จบจากสถาบันดี เกรดก็ดี ทำไมมาอยู่ที่นี่
เธอตอบผมสั้นมากๆ ครับ ” หนูเป็นครู ลูกศิษย์อยู่ไหน หนูก็จะไปสอนค่ะ”
..ผม…..ชื่นชมทั้งพ่อแม่ที่สั่งสอนอบรม ชื่นชมทั้งสถาบันที่เธอศึกษาและผลิตเธอออกมาเป็นบัณฑิตที่มีคุณค่า ชื่นชมในความดีของเธอครับ

โรงเรียนนี้ เด็กๆ ไม่มีรองเท้าใส่ ผมนึกว่าจะมีแต่ในละคร อยู่กับก๋ง ซะอีก สำหรับปี พ.ศ. นี้ ที่ไหนได้ ละครชีวิตจริงกลับอยู่ที่น่านนี่เอง
ชุดนักเรียนบางคนก็มีบางคนที่มีก็ปะแล้วปะอีก

ที่สำคัญ ตำราเรียนและสมุดนั้นหายากมา เรียกได้ว่าหนังสือหนึ่งเล่ม เรียนกันสามคน ส่วนสมุดนั้น หากมีการบ้าน 5 ข้อ ก็ช่วยกันเขียน ช่วยกันทำคนละข้อ เพราะ ไม่ใช่ว่าจะมีทุกคน

ผมสอบถามก็ได้ความว่า โรงเรียนนี้ มันไกลเกินกว่าที่ท่านข้าราชการจะเดินทางมาแจกของ ของที่มีอยู่ก็เป็นส่วนที่ ต.ช.ด. ของสมเด็จย่าฯ ปันมาให้ แต่ก็ไม่ทั่วถึง

หลังจากที่พวกเราจากมา ได้มอบเงินไว้สร้างอาคารเรียนและซ่อมแซมส่วนหนึ่ง และ บอกว่าเราจะกลับไปอีกช่วงเดือนตุลาคม เพื่อดูแลในส่วนที่ยังขัดสนอื่นๆ

…………………
…………………….
ผมกลับมากรุงเทพฯ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์
นั่งฟังและดูข่าว ท่านนายกรัฐมนตรีเรื่องจะแจกเครื่องคอมพิวเตอร์ note book แก่เด็กๆ นัยว่ามันเป็นมิติใหม่ของการศึกษาเลยทีเดียว

ผมน้ำตาซึม ครับ
ไม่ใช่ดีใจ
แต่ผมเสียใจ
ผมเสียใจที่มีนายกรัฐมนตรีที่คิดแบบนี้

มีเด็กไทยอีกไม่น้อยที่ยังไม่มีโอกาสแม้จะศึกษา
มีเด็กไทยอีกมากที่ไม่มีแม้รองเท้า เสื้อผ้า สมุด หนังสือ แต่เด็กๆเหล่านั้นอยากเรียน

ทำไมท่านไม่ชวยเด็กเหล่านี้ก่อนครับ
ทำไมต้อง note book ด้วย

ลูกหลานคนไทยจนๆ เขาไม่อยากได้มันหรอก เขาขอแค่มีเรียน มีหนังสือ มีสมุด มีครู เขาก็พอใจแล้ว

คิดแบบนี้นี่เอง………………..ใต้มันถึงลุกเป็นไฟ ไม่ยอมดับ

พิโธ่เอ๊ย นายกฯnote book

จากคุณ : นายชด – [ 8 ส.ค. 48 18:42:53 ]

REF : http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P3656749/P3656749.html

“รู้อะไรให้กระจ่างแต่อย่างเดียว ขอให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล”… สำนวณ ที่ไม่มีวันเป็นจริง ในปัจจุบัน และอนาคต

ในปัจจุบัน ความรู้ และความเชี่ยวชาญทุกอย่าง ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว และเดียวดาย อีกต่อไป ทุกศาสตร์ และความรู้นั้น มีความเชื่อมโยงกันอยางแยกไม่ออกแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตามที การที่หลายๆ คนคิดว่าเก่งเพียงอย่างเดียวก็อยู่รอด ผมกลับคิดว่าเค้ากลับกลายเป็นคนที่มองอะไรเพียงด้านเดียว เท่านั้น คือมองในด้านที่เค้าเหล่านั้นถนัด เช่น

เสนาธิการทหาร กับขุนผลออกรบ มักไม่ลงรอยกัน ดั่งในการทำศึกษาสงคราม ในเรื่องเล่าสามก๊ก นั้นข่งเป้ง กับกวนอู และเตียวหุ้ย ในตอนแรกๆ ไม่ใคร่จะชอบหน้าข่งเป้ง เพราะอ้างอิงหลักวิชาการบ มากมาย ก่อนที่จะเสนอทำการรบ มีการคำนวณโน้นนี่ก่อนเสมอ ผิดกับกวนอู และเตียวหุ้ยที่ประจันหน้า และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเสมอๆ มากกว่า และมักไม่เตรียมการมากมายนัก ซึ่งหลักการคิดทั้งทั้งสองฝ่ายนี้เอามาเปรียบเทียบกับคนที่มองอะไรเพียงด้านเดียว มีความรู้เพียงด้านเดียว กับคนที่มีความรู้หลายๆ ด้าน ซึ่งด้วยความมีความรู้ในด้านต่างๆ เอามาเปรียบเทียบ และใช้ในการตัดสินใจต่างๆ ได้อย่างมากมายกว่าได้ชัดเจน

หรืออย่าโจโฉ มีความรู้ความสามารถทั้งการต่อสู้ และการวางแผนที่แยบยนมาก รู้จักใช้คน รู้จักที่จะต่อสู้ จนสามารถที่จะกุมอำนาจได้ในยุคสมัยที่ตนเองยังคงมีชีวิตอยู่

หลายๆ คนคง งง ว่าทำไมผมถึงเอาเรื่องราวนี้มาเปรียบเทียบกับกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ จริงๆ ผมอยากให้มองภาพให้ชัดเจนว่า เวลาเรามีเพียงความรู้เพียงด้านเดียว ย่อมมีทางเลือกในการตัดสินใจงานต่างๆ ได้น้อยลง มุมมอง น้อยกว่าที่ควรจะเป็นมาก บางคนแก้ปัญหาต่างๆ ได้ด้วยวิธีที่น้อย

บางคนที่เรียนด้านคอมฯ ไม่ว่าจะด้าน Software หรืองานการผลิต Hardware ทุกสายงานด้านนี้จะใช้หลักการประยุกต์ต่างๆ ที่เรียนมาในการนำมาใช้งานทั้งสิ้น ผมว่าไม่ควรมีการเรียนการสอนที่จัดทำขึ้นมาโดยตรง แต่อย่างใด ถ้าไม่ใช่สายอาชีพ มีหลักการเรียน การสอนเพื่อผลิตบุคลากรออกมาเพื่อรองรับการทำงานแบบนี้โดยเฉพาะ ผมว่าในตอนนี้คนไทยที่มักพูดและบอกแบบนี้ น่าจะลองคิดดูใหม่ว่ามันถูกต้องแล้วหรือ ในการที่จะนำความรู้ความสามารถต่างๆ ที่ไม่ได้รับการปรับปรุง ประยุกต์มาสอนกัน การเรียนการสอนแบบนั้นเป็นการทำเพื่อการเฉพาะจะมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ว่างจ้าง หรือคนที่หวังผลทางด้านนี้จะต้องกระทำเองกับบุคคลที่จะรับเข้ามาทำงาน “ไม่ใช่” สถาบันการศึกษาต่างๆ มิเช่นนั้นแล้ว คนที่จบออกมาจากสถาบันการศึกษา จะคิด และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ออกมาในรูปแบบผลงานใหม่ๆ ไม่ได้

วิชา และศาสตร์ทุกศาสตร์ ควรนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดผลงานที่ต่อยอดความคิด มากกว่าที่จะเป็นผลงานเฉพาะด้าน จากที่ได้ยกตัวอย่างในงานด้านคอมฯไป ผมขอยกตัวอย่างในเรื่องของการออกแบบ Software ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมถนัดมากที่สุด

การออกแบบ และสร้างซอฟต์แวร์นั้น จะใช้หลักวิชาการมากมาย และขึ้นอยู่กับงาน ที่ได้รับ หรือสิ่งที่จะทำว่ามีความเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ในด้านใดบ้าง เช่น การที่จะเรียนโปรแกรมในการจัดการข้อความ หรือเอกสารนั้น ควรมีความรู้ในการจัดการหน้ากระดาษ, แบบตัวอักษร, ฯลฯ ซึ่งเป็นงานทางฝ่ายออกแบบ และสิ่งพิมพ์ซึ่งไม่ใช่ส่วนที่คอมฯ จะได้เรียน นั้นหมายถึงคนที่จะมาลงมาเขียน และพัฒนา ต้องมีการนำความรู้ หรือบุคลากรที่มีความรู้เข้ามาเพื่อทำให้งานมีความสมบูรณ์ และเป็นไปตามสิ่งที่ควรจะเป็นให้มากที่สุด

ตัวอย่างต่อมา ในเรื่องการออกแบบ โปรแกรมทำงานด้าน กราฟฟิก นั้น ก็ควรจะมีความรู้ในเรื่องการจัดออกประกอบภาพต่างๆ , การจัดารสี, การจัดการระบบเส้นสาย ,ฯลฯ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่ควรที่จะไม่มีความรู้ หรือมีทีมงานที่ไม่มีความรู้ในด้านนี้มาทำงานด้านนี้ได้

ถึงแม้ว่าในการทำงานปัจจุบัน จะมีการแบ่งทีมในการทำงานเป็นฝ่ายๆ แต่ทุกๆ ฝ่ายนั้นก็ควรมีพื้นฐานทางความรู้ที่สามารถสื่อสารระหว่างบุคคลได้เช่นกัน เช่นฝ่าย implement กับฝ่ายออกแบบ interface ก็ควรจะพูดคุย และเข้าใจในหลักการออกแบบ ของกันและกัน และเข้าใจความหมาย และความเป็นไปได้ในการพัฒนาด้วย ถึงแม้จะมี SA หรือ SD มาจัดการขั้นทีหนึ่งก็ตามที แต่อย่าลืมว่า บางครั้งการพูดคุยโดยตรงกลับได้ผลที่ออกมาได้ดีกว่ามากทีเดียว ซึ่งบางครั้งการผ่าน SA/SD ก็ไม่ได้ผลที่ออกมาดีเท่านี้ด้วย

ในการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน จึงต้องการคนที่รู้จริง และรู้กว้าง คือรู้ในทุกๆ ศาสตร์ หรือพอเข้าใจ และพื้นฐาน และรู้ลึก ในสายงานที่ต้นได้ร่ำเรียนมา

การรู้ลึกทำให้เราทำงาน และเข้าใจในงานที่เราทำได้ดีมากขึ้น

การรู้กว้างเป็นประโยชน์ในการสื่อสาร และพูดคุย รวมถึงมีมนุษยสัมพันธ์ กับคนในสังคมเดียวกัน และต่างสังคมได้ดีกว่า รวมถึงมุมมองในการทำงาน ที่หลากหลายมากขึ้นด้วย