งามหน้าไหมเนี่ย

จาก รมว. ICT คนใหม่กับวิสัยทัศน์ต่อโอเพ่นซอร์ส ทำให้เกิดกระแสต่าง ๆ ด้านลบอย่างมากในตัว รมว. ในรัฐบาลชุดเฉพาะกิจชุดนี้ แม้จะเป็นรัฐบาลที่มาทำงานเพียงแค่ 1 ปี (หวังไว้อย่างนั้น) แต่การที่ท่านออกมาแสดงวิสัยทัศน์ที่หักดิบ และรุนแรงมากต่อกระแสการพัฒนาซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส ออกแนวพูดไม่คิด (และคาดว่าคงไม่ได้คิดอีกหลายอย่างแน่ ๆ ) ข่าวนั้นเร็วมากจนถึงขนาดเข้าเว็บ Digg และ Slashdot ตามไปอ่านได้

ข่าวต้นเรื่อง – U-TURN AT ICT MINISTRY
Digg – Open-Source condemned by Thai Minister
Slashdot –  Thai IT Minister Slams Open Source

คราวนี้หล่ะ ซวยหล่ะท่าน เตรียมตัวแก้ตัวกันไป -_-‘

แต่ที่แน่ ๆ เว็บ Digg กับ Slashdot จะโดน favicon.ico หรือเปล่าหว่า T_T ถ้าพรุ่งนี้เข้าไม่ได้ก็ทำใจได้เลยนะท่าน ๆ ทั้งหลาย

Update[1] จดหมายเปิดผนึก ถึง รมว. กระทรวง ICT


Update[2]

ด้วยเหตุนี้ทำให้มีการแสดงความคิดเห็นในที่ต่าง ๆ มากมาย โดยในแต่ละเว็บที่ได้กล่าวมานั้นมีนำหนักของเนื้อหาขนาดไหน จะอธิบายเพิ่มเติมดังนี้

เว็บ Digg เป็นเว็บ social bookmarking และ blog bookmarking ที่ใหญ่มาก และมีข่าวที่เร็วกว่า Google News มาก (จากผลการวิจัยของสำนักข่าวแห่งหนึ่ง)

เว็บ Slashdot ( หรือสั้นว่า /. )เว็บรวมข่าวสารต่าง ๆ ที่มี Technology Geek ต่าง ๆ มากมาย มาร่วมกันแชร์ความรู้และแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดกว้าง ซึ่งน่าจะใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว

ส่วน Blognone เว็บรวม Technology Geek ที่ใหญ่ที่สุดในไทย (ณ.ตอนนี้คงถือว่าใหญ่มาก) โดยผู้ ร่าง "จดหมายเปิดผนึก ถึง รมว. กระทรวง ICT" คือคุณ thep ก็เป็นหนึ่งในผู้ผลักดัน OpenSource ในไทย และอยู่ในทีมพัฒนาระบบภาษาไทยใน linux ด้วย

ส่วนตอนนี้เว็บ Exteen เว็บ Blog Provider ที่ใหญ่ที่สุดในไทย ก็มีการแสดงความคิดเห็นใน Blog อย่างกว้างขวางมาก

นี่ยังไม่รวม IT Geek อื่น ๆ ในไทยอีกหลายเว็บ ที่เริ่มเอาข่าวนี้ไปเผยแพร่กันแล้ว ซึ่งรวมไปถึงเว็บบอร์ดที่ใหญ่ที่สุดในไทยอย่าง Pantip.com ที่มีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างมากมายในหลาย ๆ ห้อง

โดยวิสัยทัศน์นี้ทำให้มีผลกระทบต่อสังคม OpenSource ในไทยอย่างมาก

คงต้องรอดูกันต่อไป ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

Notebook สำหรับเด็กขายฝันเกินไปหรือเปล่า ?

เรื่องนี้ผมต่อต้านพอสมควร ผมว่ามันเป็นนโยบายประชานิยมมากเกินไป การพัฒนาแบบฉาบฉวยดูจะได้ผล แต่จริง ๆ แล้วเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำมากกว่า ผมเคยเขียนและบอกกล่าวไปแล้วใน blog เก่า ๆ ลองไปอ่านได้ที่นี่ครับ นโยบาย Notebook สำหรับนักเรียนประถม ของท่านผู้นำ …

ซึ่งเรื่อง Notebook สำหรับเด็กไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ ไม่ว่าจะยกเหตุผลใดๆ มาอ้างก็ตาม ผมมี Notebook ใช้ตั้งแต่ ม.5 ตอนนี้ ปี 3 แล้ว ใช้มา 2 เครื่อง และ Desktop อีก 1 เครื่อง

เรื่อง MIT Notebook นี้ จริงๆ แล้วไม่เหมาะกับการเรียนการสอนในไทยเท่าไหร่ และประเทศพัฒนาหลายๆ ประเทศ ที่นักเรียนกว่า 30 – 40% สามารถซื้อ Notebook ได้ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครใช้ มาแทนการใช้งานหนังสือเท่าไหร่

เพราะหนังสือ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ และไม่ทำลายสายตาเท่ากับจอคอมพิวเตอร์ ถึงแม้จะเป็นจอ LCD กรือ OLED ก็ตามที ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากระดาษธรรมดาที่มีตัวหนังสือให้อ่าน และมันสามารถอ่านได้ทุกๆ ที่โดยที่ไม่ต้องมากังวลว่าแบตจะหมด หรือไม่ต้องมานั่งปั้นไฟ แบบ MIT Notebook ตัวนี้ แถม หนังสือมันทำให้เราฝึกการเขียน วิเคราะห์ ย่อความ หรือการเรียบเรียงใหม่อีกมากมาย

ถึง Notebook จะสะดวก แต่มันทำให้คนเรายึดติดมันมากเกินไป ผมมี eBook ในเครื่องกว่า 10GB และ VDO Training อีก 20 GB ผมเปิดๆ ดู เปิดๆ อ่าน ก็สะดวกดี แต่ …….

พอเราอยู่นอกบ้าน มันไม่สะดวกเท่าหนังสือ การหยิบจับมันง่ายกว่ามาก หลายๆ คนคงบอกว่า Notebook มันเก็บหนังสือได้มากกว่ากระเป๋าหนังสือ 100 เล่ม อันนี้ไม่เถียง แต่ผมเถียงในเรื่องของคำว่า “พยายาม” ตอนผมเรียน ม.ปลาย หนังสือที่ผมเอาไปเรียนก็ว่าเยอะแล้วนะ แต่ตอนมาเรียน มหาลัยฯ เยอะกว่าหลายเท่า และในปัจจุบัน หนังสือเรียนรุ่นๆ ใหม่ๆ ของเด็กประถม ก็น่าอ่านกว่าแต่ก่อนเยอะ แต่เนื้อหามากขึ้นลึกขึ้น พอสมควร ผมถามว่า Notebook ไม่ใช่สิ่งที่มาแทนที่หนังสือ และไม่สามารถทดแทนได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ผมยังเห็นคนที่เรียนด้านคอมฯ และคนทำวิจัยเก่งๆ ที่มี Notebook ดีๆ มี External H/D ความจุสูง ยังซื้อหนังสือ Text Book มาอ่านอยู่เลย ทั้งๆ ที่มีให้โหลดแบบ PDF กันดาดดืน ด้วยเหตุผลที่ว่า ความรู้สึกที่ได้อ่าน และโน๊ตลงไปมันทดแทนไม่ได้ และความสะดวกในการหยึบอ่านมันมีมากกว่า อ่านที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องคิดมาก

อีกอย่างที่ผมว่าไม่เหมาะสมคือ ความรับผิดชอบในสิ่งของ ของเด็กๆ ระดับเล็ก แม้แต่ ม.ต้น บางคนก็มีความรับผิดชอบที่ต่ำ และเกรงว่าจะเป็นภัยต่อตัวเด็กในเรื่องของอาชญากรรม ด้านการลักขโมย และลักทรัพย์ครับ เรื่องนี้น่าเป็นห่วงมากกว่าครับ

ต่อมาคือค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา และการสอนการใช้งาน อย่าลืมว่าระบบที่แน่นอนแล้วคือ Linux แน่นอน ซึ่ง ok linux ในปัจจุบันใช้งานง่าย และไม่ซับซ้อน แต่ปัญหาไม่ใช่อยู่เพียงแค่นี้ ปัญหาคือความเคยชิน มากกว่า ระบบ linux นั้นทำงานได้ดีในการทำงานระดับ Office ครับ คือทำงาน Word Processing, Speadheet, Presentation Slide , ฯลฯ ซึ่งซอฟต์แวร์พวกนี้ รองรับระบบไฟล์บางอย่างของ microsoft ได้ยาก เช่นไฟล์ .doc ซึ่งเป็นของ microsoft word เป็นต้น ซอฟต์แวร์ openoffice หรือ koffice ของ linux ยังคงอ่านไฟล์ของ microsoft word ยังไม่สมบูรณ์ และดีพอ ซึ่งต้องทำให้นักเรียน และคุณครูทั่วไปเคยชินต่อระบบ linux ก่อน และยอมรับ format ไฟล์ของ openoffice หรือ koffice ก่อน ซึ่งระบบราชการไทย ยังใช้ ms word กันอยู่เลย -_-” แถม font พวก Angsana New หรือตระกูล UPC ทั้งหลายใน Linux ไม่มีครับ ต้องหา Copy จาก Windows ซึ่งผิดลิขสิทธิ์เต็มๆ แต่ก็เหอะ พี่ไทยเราคงไม่สนใจ จริงแมะ ……

ส่วนเรื่องการเอามาลง Windows คงเป็นไปได้ยาก เพราะ Memory และ H/D คงไม่เอื้อให้คุณสามารถลงได้เต็มที่ ไม่แน่แค่ลง Windows ก็เหมาะเนื้อที่แล้ว

ซึ่งผมมองว่า เห็นโครงการขายฝันมากกว่า ดูดีครับ แต่ใช้งานได้ยาก และไม่มีเหมาะกับสังคมไทย ที่ยังใช้เทคโนโลยีอย่างแฟชั่น และการใช้งานแบบ All-in-one ซึ่ง MIT Notebook ตัวนี้คงไม่ตอบโจทย์ และความต้องการเท่าไหร่

และไม่เหมาะกับเด็กไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ ทั้งสิ้น ผมสังเกตุว่าประเทศหลายๆ ประเทศ อย่างญี่ปุ่น เค้าไม่เห็นสนใจโครงการนี้เท่าไหร่ ….. อีกอย่างญี่ปุ่นยังใช้กระดาน กับช็อค เรียนกับหนังสือ และสมุดอยู่เลย ….

เกมส์ฆ่าคุณได้ ?

อ่ะอ่า …….. อย่าๆๆ อย่าเพิ่งด่า ที่จั่วหัวแบบนี้ ใจเย็นก่อน อ่านให้จบ

ดื่มน้ำเย็นสักแก้ว แล้วอ่าน เดี่ยวจะเส้นเลือดในสมองแตกตาย แทนเล่นเกมส์แล้วช็อคตาย

จาก Can games kill? และจากข่าวการตายของคนเล่นเกมส์บ้าระห่ำ 48 ชั่วโมง up …… แล้วช็อคตายห่า หน้าร้านเกมส์

หลายๆ สื่อโทษ เกมส์ และรวมถึงหลายๆ คน โทษ เกมส์ รวมถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดจากการนำพาของเกมส์ ไม่ว่าจะความรุนแรง หรื่อข่าวด้านอื่นๆ

ผมว่าโดยธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ยอมโทษ ตัวเองหรอก ว่าตัวเองผิด ชอบโบ้ย ให้คนอื่นผิด หรือแม้แต่สังคมเองก็ตามที ที่มักจะหาแพะ มารองรับความผิดที่ตนเองก่อขึ้น

ในเรื่องของเกมส์เป็นตัวอย่างที่ดี ของคนที่ใช้กระบวนความคิด ในการแก้ไข และหาเหตุผลมาเสนอ และบ่งบอกความผิด ในรูปแบบที่ผิดวิธีไปอย่างมาก

ในเรื่องการจัด Rating เกมส์เป็นเรื่องที่ดี จริงๆ แล้วในเรื่องราวแบบนี้ควรจะมีการจัดไว้ในทุก ๆ สื่อ ไม่เว้นแม้แต่เกมส์ หรือภาพยนต์ต่าง ๆ

แต่ด้วยบ้านเมืองเราในปัจจุบัน ตัวบทกฎหมาย มีไม่ครอบคลุมเนื้อหา และปัญหาของสังคม รวมถึง ผู้ใช้กฎหมาย ไม่มีความแข็งแรง ทั้งในด้านจิตใจ และจิตสำนึก ที่จะต่อกร ต่อความไม่อยุติธรรมของสังคม และจิตใจของวงการธุรกิจที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเท่าใดนัก

สิ่งหนึ่งที่คนไทยบางกลุ่มซึ่งกลุ่มนี้เป็นคนกำหนดชะตาชีวิตของสังคมไทย และรวมถึงแนวรวม ของสังคมที่ชอบทำอะไร ตามๆ กัน มักอ้าง สิทธิมนุษยชน อ้าง ความเป็นเสรีภาพ

โดยสิ่งที่อ้าง และกล่าวอ้าง มักเป็นสิ่งที่ขัดต่อบทกฎหมาย และตัวบทกฎหมายก็มักจะตีความได้มากมาย และไม่เฉพาะเจาะจงลงไปมากนัก ทำให้เกิดการตีความที่ผิดต่อวัตถุประสงค์อย่างร้ายแรง

ประชาธิปไตย เป็นเสรีภาพ ที่ไม่ควรอยู่เนื้อกฎหมายสูงสุดของรัฐนั้นๆ แต่เราชาวไทยโดยทั่วๆ ไป คิดว่าเสรีภาพ นั้นคือการทำอะไรก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำ คือแบบนี้มันง่ายเกิน จนมักง่าย ทำอะไรก็ไม่ดูหรอกว่า มันทำได้หรือเปล่า อยากจะทำก็ทำ อยากจะเอามาเข้ามาในประเทศ ก็ทำ ขอให้ได้เงิน เป็นพอ

นี่ปี ค.ศ. 2005 หรือ พ.ศ. 2548 ไม่ใช่ปี พ.ศ. 1700-2400 นะครับ ใครจะ ใคร่ค้าม้า ก็ค้า จะค้ายาเสพติดก็ค้า บ้านเมืองมีกฎหมาย มากมายเพื่อยับยั้ง ความคิดที่หลุดโลก หลุดจากศีลธรรมต่างๆ

ที่หลายมาทั้งหมด ในเรื่องของการใช้ตัวบทกฎหมาย ก็อยากให้เข้าใจว่า การแก้ปัญหาในเรื่องของเกมส์นั้น ควรแก้ที่ตัวบุคคล ในเมื่อคนเล่นมีเสรีภาพในการเล่น ถ้ามีการจัด rating เกมส์แล้ว อายุถึงตามกฎหมาย ก็ปล่อยมันไป ผมถือว่าโตๆ กันแล้ว มันจะเล่นเกมส์ตายห่า ยังไงก็ช่างมัน เพราะเรื่องแบบนี้ผมถือว่ามันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของบุคคลที่ไม่ควรไปกำจัดสิทธิของเค้า

แต่ถ้า คนเล่นคือเด็ก ที่ยังไม่มีอาุยุเกิน 20 ปี และเกมส์ที่เล่นมี rating ที่ไม่เหมาะกับเค้า ก็ควรจะมีการสั่งหยุด หรือห้ามไม่ให้เล่น

เพราะในต่างประเทศ ในหลายประเทศที่ไม่ค่อยมีปัญหา (หรือเปล่าหว่า -_-”) เค้ามีการกำหนด rating เกมส์ รวมถึงสื่ออื่นๆ ไว้ชัดเจนว่าใครควรซื้อ และควรเล่น รวมถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมืองในความรับผิดชอบสูง ที่จะไม่ซื้อ หรือจัดหา สื่อที่ไม่เข้ากับอายุของเด็กที่ต่ำกว่า 20 ให้เด็กที่อายุไม่ถึง 20 เล่น

กล่าวคือ ผู้ใหญ่ไม่ให้เด็กเล่น หรือเด็กเสพสื่อที่ไม่เหมาะเหล่านั้น มีจิตใจที่ดี ไม่ยอมต่อคำออดอ้้อนของเด็ก และเป็นทั้งสังคม เด็กมันจะไปเอาสื่อพวกนี้มาจากไหนได้ มีการกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน และเคร่งครัด ไม่เหลวแหลก แหกกฎ มีการกำหนดระยะเวลาในการเล่นของแต่ละบุคคลเอง ตามแต่ครอบครัวจะกำหนด เป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย จริงๆ เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ครอบครัวด้วยเช่นกันนะ ถ้าสอนมาดี มันก็ไม่มีปัญหาหรอก ทำให้มีวินัยในตนเองของเด็กในนั้นมีมากขึ้น และมากพอ และจากการฝึกจากส่วนนี้ โตขึ้นก็จะเคารพคนอื่นๆ ไม่แหกกฎตามมา

แต่ก็จนแล้วจนรอด มันก็มีไอ้พวกบ้า ชอบพูดว่า “กฎมีไว้แหก” ผมหล่ะอยากจะกระทืบ หรือชกปากมันซักที ไม่รู้ว่ามันเอาความคิดนี้มาจากไหน (น่าจะภาพยนต์ต่างๆ) คือถ้ามันคิดแบบนี้ผมว่ามันไม่ทำตามกฎจารจร เห็นไฟแดง มันก็ผ่า เห็นผู้หญิงสวยๆ มันก็ไล่ข่มขื่น มั้ง ……. บ้าไปแล้ว …. แล้วบ้านเมืองมันจะสงบสุขได้ไหม

เอ้าๆๆ ออกทะเลอีก ผม -_-”

เรื่องเกมส์ต่อดีกว่า ……….. ;)

คือ ถ้าเราใช้กฎหมายมาควบคุม มัน ok นะ แต่ ……..

คนใช้กฎหมาย และคนในสังคม ต้องร่วมมือ แต่ ……..

ถ้าคนที่เล่น คนที่เสพสื่อเหล่านี้ ไม่มีจิตสำนึก ไม่มีวินัยในการบริหารความพอดีในตนเอง

“มันก็ไม่มีประโยชน์”

เพราะเรื่องราวเหล่านี้ มันอยู่ที่คนที่อยู่ต้นทางของปัญหา คือ บุคคล ที่กระทำ นั้นคือคนเล่น คนเสพสื่อ

เช่น ผมถ้าจะเล่นเกมส์ ถ้าช่วงผมบ้าๆ ตอนช่วง ม.3 ได้มั้ง ผมเล่นวันนึง ไม่ต่ำกว่า 18 ชม. ต่อวัน บางครั้งไม่ได้้นอน 2 – 3 วัน กินนอนอยู่ที่ร้านเกมส์ (ไม่รู้ตรูรอดช็อคตายมาได้ไง -_-” คงเพราะออกกำลังกายแตะฟุตบอลด้วยมั้ง) ต่อมาสัก ม. 4 – 6 เริ่มรู้ว่าผลการเรียนตกต่ำสุดขีด เร่ิมปรับตัว หันหลัง แขวนเมาส์ไป ไม่ได้เล่นมากมาย คือเล่นพอสนุก อาทิตย์ละ 3 – 4 ชั่วโมง ตามแต่ใจจะไคว้ขว้า หุๆๆ เริ่มๆ จัดระเบียบตัวเอง ไม่ต้องมีใครบอก (แต่ตอนบ้าๆ ไม่รู้หรอก โดนแม่ ว่าเช้า ว่าเย็น 5555)

เรื่องแบบนี้ถ้าแก้ได้ มันต้องแก้ที่คนเล่น บุคคลที่เสพนั้นหล่ะ จริง ป่ะ ;)

ถ้าคนมันตายเพราะเล่นเกมส์ ก็เพราะว่ามันฆ่าตัวตายเอง (ดันโง่ เล่นเกินขนาด เหมือนคนเสพยา) ไม่ใช่เกมส์ ไปฆ่ามัน เพราะเกมส์มันคงไม่มีมีด ออกมาปาดคอ หรือตัดขั่วหัวใจ ให้ช็อคตายห่า หรอก

นโยบาย Notebook สำหรับนักเรียนประถม ของท่านผู้นำ …

จริงๆ ได้ข่าวมาสักพัก วันนี้เลยซัดลง Blog เลยดีกว่า

เด็กประถม จะให้ใช้ Notebook ผมว่ามันเกินไป มันมีความจำเป็นซะขนาดนั้นหรือไงท่านผู้นำ ขนาดประเทศที่พัฒนาแล้วยังไม่ทำเลยไม่ใช่ว่า Notebook จะทำให้เด็กไทยมัน ฉลาดขึ้นนะ การสอนอย่างมีระบบ ระเบียบมากกว่ามั้งคุณท่านผู้นำ

ผมว่านะ เอาให้เด็กตามสถานที่ชนบทให้เค้ามีข้าวกินครบมื้อ มีจักรยานให้ถีบมาเรียนก่อนจะดีกว่ามั๊งครับ

ผมว่างานนี้เหมือนรัฐแจกรถให้คนละคันให้ขี่ไปทำงาน บางคนรถไม่ต้องการเลย มีแล้ว ที่ต้องการคือบ้าน บางคน รถไม่ต้องการเลย ข้าวใส่ท้องยังไม่มี บางคน ที่ทำงานอยู่ใกล้ เดินไปก็ได้

เอางบไปปฎิรูปการศึกษา เพิ่มเงินเดือนครูให้สูงเท่าอาชีพ อย่างวิศวกร ไม่ดีกว่าเหรอไง จะได้ดึงดูดคนเก่งๆ มีความสามารถมาสอนกันลูกสอนหลาน กันเยอะๆ ถ้าไอ้ Notebook เนี่ยมันทำให้เด็กไทย ทั้งหมดเป็นอัจฉริยะ ได้นี่ ต่อให้คนละแสนก็น่าลงทุนครับ แต่ …..

มันไม่ได้เป็นแบบนั้น Notebook มันเป็นแค่เครื่องมือ ครับ เป็นตัวช่วยมากกว่าเป็นทุกๆ อย่าง

Notebook ที่ท่านผู้นำจะมอบให้กับเด็กๆ มันไม่ใช่คำตอบของการแสวงหาความรู้ทั้งหมดครับ …

ประเทศอย่าง อเมริกาและญี่ปุ่น คงหัวเราะกันท้องแตกไปเลย เมื่อเจอ การพัฒนาการศึกษาของไทยแบบนี้

เค้าคงมองว่าผู้คิดขึ้นมานั้น เป็น รัฐบุรุษโลกเลยล่ะครับ 5555555555 โอ้ย ……… แม้ คิดมาได้นะครับ ….

อยากให้ท่านผู้นำ และท่านๆ ที่สนับสนุนอ่านเหลือเกิน

มาเล่าเรื่อง โรงเรียนชนบท

ช่วงไม่กี่วันมานี้ ผมได้มีโอกาสออกไปต่างจังหวัด หลายๆจังหวัด กับเพื่อนๆและคณะข้าราชการเกษียณอาวุโสหลายท่าน เพื่อนำสิ่งของ เครื่องใช้ เสื้อผ้ากีฬา อุปกรณ์กีฬา และสันทนาการต่างๆ ไปให้แก่โรงเรียนชนบทที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญ หลายแห่ง

ก็เลยมีความคิดจะนำเรื่องบางเรื่องมาเล่าสู่กันฟังเป็นอีกมุมมองหนึ่งในเรื่อง ความเป็นอยู่และการศึกษาของเด็กๆ ในถิ่นทุรกันดารและไกลความเจริญ

มีหลายสถานที่มากมายทั่วทุกภาคครับที่ห่างไกลความเจริญ โดยเฉพาะ ทางด้านการศึกษาของเด็กๆ เท่าที่ผู้ร่วมคณะท่านหนึ่งซึ่งเคยเป็นข้าราชการเก่าในกระทรวงศึกษาธิการเล่าให้ฟังว่า ภาคใต้นั้น การศึกษาพื้นฐานจะดีที่สุด ภาคที่มีปัญหาคือ ภาคอีสาน และภาคเหนือ อันเป็นแดนดินถิ่นท่านนายกฯ note book

ช่วงการออกตระเวน ภาระกิจหลักก็คือ การนำเอาสมุดและหนังสือเรียนที่มาจากการบริจาคจากทุกที่ รวมทั้งอุปกรณ์การสอน การเรียนและเสื้อผ้า รองเท้า ไปแจกจ่ายให้แก่ นักเรียนในถิ่นกันดารต่างๆ ส่วนใหญ่นั้น โรงเรียนแทบจะไม่มีสภาพของอาคารเรียนเลย มันเป็นเพียงเพิงที่สร้างขึ้นแค่คุ้มแดดและฝนให้แก่นักเรียนเท่านั้น
…………โรงอาหาร ไม่มี แต่อาศัยเอาร่มไม้ในบริเวณเป็นที่นั่งรวมกันรับประทานอาหาร
ดีว่ายังมี………..ห้องส้วม ที่ครูอาสาและครูอัตราจ้างพิเศษในแดนกันดาร ที่ท่านมีวิญญาณของ “ครู” อย่างแท้จริง ได้สร้างขึ้นเอง ด้วยเงินบริจาคอันน้อยนิดที่ได้รับมา

ครูชายท่านหนึ่ง บอกผมว่า เรื่องสุขอนามัยนั้น ถือว่าสำคัญ เพราะ หากเด็กๆไม่สบาย ก็จะไปทำการรักษาลำบาก เพราะอยู่ห่างจากสถานพยาบาลมากนัก ต้องเดินและไปต่อรถอีกหลายต่อ ไม่มีโรงอาหารยังอาศัยกินกันใต้ต้นไม้หรือในห้องเรียนได้ แต่ไม่มีส้วมที่ได้สุขลักษณะนั้น ไม่ดีเลยต่ออนามัยของเด็กๆ……………ครูดีแบบนี้ ปัจจุบันยุคนี้ปี 2548 หาได้สักกี่คน????

ครูชายท่านนี้ อายุอานามเพียง 20 ต้นๆ แต่อุดมการณ์นั้น เปี่ยมไปเฉกดั่งพ่อครูที่ผ่านโลกมาช้านาน ครูตัดสินใจเขียนจดหมายแบบเดาสุ่มมาที่บริษัทฯของผม และมันถูกฝ่ายบุคคลที่บริษัทฯดองเค็มนานถึง ห้าเดือนเต็มๆ ก่อนที่มันจะถูกพบเห็น โดย auditor ภายนอกที่มาตรวจประจำระบบคุณภาพ อันเป็นมาตรการรักษาไว้ของ certificate ที่ทางบริษัทฯได้รับมานานแล้ว อย่างต่อเนื่องทุกปี
ผมจึงทราบเรื่อง และดำเนินการติดต่อ และให้คนสืบเสาะ ไปจนพบครูท่านนี้ ซึ่งได้รับการชี้แจงว่า จะมีคณะบุคคลมาให้ความช่วยเหลือเช่นกัน ผมจึงได้ติดต่อขอเข้าร่วมทันที และเป็นที่มาของการเดินทางร่วมไปด้วยกันในการตระเวนช่วยเหลือเด็กชนบททางด้านการศึกษา

…..ก่อนหน้านี้ ผมก็บริจาคเงินและสิ่งของเนืองๆผ่านทางองค์กรเอกชนบ้าง มูลนิธิบ้าง เพราะทราบดีว่า ยังมีเด็กไทยที่ด้อยโอกาสทางการศึกษาในประเทศเรานั้นมากนัก จากรายการสารคดีต่างๆ จากสื่อ. แต่ก็ไม่มีโอกาสไปสัมผัสด้วยตนเองสักครั้ง นับจากที่เคยสัมผัสสมัยที่ยังเป็นนักศึกษา ซึ่งมันก็นานกว่า 25 ปีมาแล้ว

…ครับ……25 ปีมาแล้วที่สภาพของโรงเรียนชนบทของไทยในถิ่นกันดาร แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเลย อะไรกันเนี่ย? ผมงงจริงๆ
ผมประเมินว่า มันน่าจะมีความเจริญหรือดีขึ้นมาบ้างในเรื่องนี้ แต่ปรากฏว่า 25 ปีผ่านไป เด็กๆในท้องถิ่นกันดาร กลับได้รับการดูแลจากรัฐ ในด้านการศึกษาเหมือนเดิม

ผมและเพื่อนๆในคณะหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง และตั้งใจกันว่าจะเริ่มทำกันเป็นกิจลักษณะเพื่อช่วยเหลือทุกด้านแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดไร้การดูแล ซึ่งขณะนี้ ก็กำลังให้ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งไปดำเนินการในเรื่องการจัดตั้งมูลนิธิ อย่างถาวรไปเลย ไม่ใช่แค่เพียงรวมตัวเฉพาะการ ดำเนินการเฉพาะกิจแบบที่พวกคนบางคนชอบทำตัวเป็นข่าวให้โก้

ย้อนกลับมาที่โรงเรียนที่ไป ขอยกมาสักโรงเรียนหนึ่งทางภาคเหนือ นะครับ โรงเรียนนี้ตั้งอยู่ในดินแดนสีแดงเก่า (เขตผู้ก่อการร้ายในอดีต) ที่จังหวัดน่าน
โรงเรียนนี้เองที่ครูชายท่านที่ผมกล่าวถึงทำการสอนอยู่ มีเพียงครูท่านนี้ และ บัณฑิตจากจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ที่จบมาเพียงสองปีเองเท่านั้น ทำการสอนอยู่
ผมถามเธอว่า จบจากสถาบันดี เกรดก็ดี ทำไมมาอยู่ที่นี่
เธอตอบผมสั้นมากๆ ครับ ” หนูเป็นครู ลูกศิษย์อยู่ไหน หนูก็จะไปสอนค่ะ”
..ผม…..ชื่นชมทั้งพ่อแม่ที่สั่งสอนอบรม ชื่นชมทั้งสถาบันที่เธอศึกษาและผลิตเธอออกมาเป็นบัณฑิตที่มีคุณค่า ชื่นชมในความดีของเธอครับ

โรงเรียนนี้ เด็กๆ ไม่มีรองเท้าใส่ ผมนึกว่าจะมีแต่ในละคร อยู่กับก๋ง ซะอีก สำหรับปี พ.ศ. นี้ ที่ไหนได้ ละครชีวิตจริงกลับอยู่ที่น่านนี่เอง
ชุดนักเรียนบางคนก็มีบางคนที่มีก็ปะแล้วปะอีก

ที่สำคัญ ตำราเรียนและสมุดนั้นหายากมา เรียกได้ว่าหนังสือหนึ่งเล่ม เรียนกันสามคน ส่วนสมุดนั้น หากมีการบ้าน 5 ข้อ ก็ช่วยกันเขียน ช่วยกันทำคนละข้อ เพราะ ไม่ใช่ว่าจะมีทุกคน

ผมสอบถามก็ได้ความว่า โรงเรียนนี้ มันไกลเกินกว่าที่ท่านข้าราชการจะเดินทางมาแจกของ ของที่มีอยู่ก็เป็นส่วนที่ ต.ช.ด. ของสมเด็จย่าฯ ปันมาให้ แต่ก็ไม่ทั่วถึง

หลังจากที่พวกเราจากมา ได้มอบเงินไว้สร้างอาคารเรียนและซ่อมแซมส่วนหนึ่ง และ บอกว่าเราจะกลับไปอีกช่วงเดือนตุลาคม เพื่อดูแลในส่วนที่ยังขัดสนอื่นๆ

…………………
…………………….
ผมกลับมากรุงเทพฯ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์
นั่งฟังและดูข่าว ท่านนายกรัฐมนตรีเรื่องจะแจกเครื่องคอมพิวเตอร์ note book แก่เด็กๆ นัยว่ามันเป็นมิติใหม่ของการศึกษาเลยทีเดียว

ผมน้ำตาซึม ครับ
ไม่ใช่ดีใจ
แต่ผมเสียใจ
ผมเสียใจที่มีนายกรัฐมนตรีที่คิดแบบนี้

มีเด็กไทยอีกไม่น้อยที่ยังไม่มีโอกาสแม้จะศึกษา
มีเด็กไทยอีกมากที่ไม่มีแม้รองเท้า เสื้อผ้า สมุด หนังสือ แต่เด็กๆเหล่านั้นอยากเรียน

ทำไมท่านไม่ชวยเด็กเหล่านี้ก่อนครับ
ทำไมต้อง note book ด้วย

ลูกหลานคนไทยจนๆ เขาไม่อยากได้มันหรอก เขาขอแค่มีเรียน มีหนังสือ มีสมุด มีครู เขาก็พอใจแล้ว

คิดแบบนี้นี่เอง………………..ใต้มันถึงลุกเป็นไฟ ไม่ยอมดับ

พิโธ่เอ๊ย นายกฯnote book

จากคุณ : นายชด – [ 8 ส.ค. 48 18:42:53 ]

REF : http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P3656749/P3656749.html

เรื่อง เหล้า/เบียร์ คิดกันได้แค่นี้เหรอ ……

ไม่ได้เขียน blog ที่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ต่อเหตุการณ์บ้านเมืองมาได้หลายเดือนแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่มีความเห็นแตกต่าง แต่ว่ามันไม่มีเวลารวบรวมความคิดให้ออกมาเป็นตัวอักษรได้ดีเท่าไหร่ คือ มันออกมาดิบเกินไป เดี่ยวจะกลายเป็น blog เถื่อนดิบไปซะ

วันนี้ก็คงมาพูดถีงเรื่องเหล้าเบียร์ดีกว่า หุๆๆ

เรื่องการนำบริษัทเกี่ยวกับเหล้า และเบียร์เข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อทำการเพิ่มทุน ซึ่งมีคนออกมาคัดค้านในเรื่องนี้ เพราะมีความคิด ความเห็นที่ว่า ทำให้มีการเพิ่มทุนมากขึ้น ทำให้มีทุนในการไปพัฒนาการผลิต, เพิ่มจำนวน และทุ่มงบประมาณ ในการโฆษณาสิ่งเหล่านี้ ทำให้เกิดผลกระทบต่อการเสพสิ่งมึนเมามากขึ้นไปด้วย

ผมไม่อยากให้มองแบบนั้น เพราะ …………. สาเหตุปัญหาน่ะ มันอยู่ที่ “คน”

ปัญหาที่จริงอยู่ที่ “คนที่ดื่นสิ่งมึนเมา” ไม่ใช่อยู่ที่ “คนผลิต” ไม่มี อุปสงค์ ก็ไม่มี อุปทาน ต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งมวลเกิดจากจิต ถ้าเราต้องแก้ที่จิต ไม่ใช่แก้ที่คนอื่นครับ แล้วการแก้ปัญหาการไม่ให้เข้าตลาดหุ้มมันปลายเหตุมากเกินไป และทางของของเค้ามีมากมายในการเข้าตลาดหุ้น ไม่ว่าจะไปเข้าสิงค์โปร์, มาเลเซีย, ฯลฯ ซึ่งผมว่าไม่ต่างกัน เลยนะ เพราะ ……. (ดูจาก Flow เอาดีกว่า)

บริษัทช้าง -> ตลาดหุ้นไทย -> ระดมทุน -> ขายคนไทย/ต่างชาติ -> กำไร -> ค่าธรรมเนียมเข้าตลาดหุ้นคนไทย/เข้าประเทศไทย -> ได้จากภาษีเหล้าเบียร์/นำมาช่วยเหลือสังคมไทย -> คนไทยเมา/คนไทยดื่ม “จำนวนขวด” เท่าเดิม หรือมากขึ้น
– แต่ผลประโยชน์อยู่ที่คนไทย

แต่ ….

บริษัทช้าง -> ตลาดหุ้นต่างชาติ -> ระดมทุน -> ขายคนไทย/ต่างชาติ -> กำไร -> ค่าธรรมเนียมเข้าตลาดหุ้นต่างชาติ/เงินเข้าต่างชาติ -> ภาษีเหล้าเบียร์เข้าประเทศ แต่ส่วนหนึ่งช่วยเหลือสังคมต่างชาติ -> คนไทยเมา/คนไทยดื่ม “จำนวนขวด” เท่าเดิม หรือมากขึ้น
– ประโยชน์ตกที่ต่างชาติ เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง

ผมอยากให้มองที่ “คนไทยเมา/คนไทยดื่ม ‘จำนวนขวด’ เท่าเดิม หรือมากขึ้น”

ไม่ว่าจะเอาที่ไหน ประเทศใด ในโลก บริษัทช้าง ก็ต้องได้เขาตลาดหุ้น และระดมทุนอยู่วันยังค่ำ ครับ ไม่ว่าจะฟ้าทลม ดินทลาย ยังไงก็ไม่สามารถหลีกนี้เรื่องนี้ได้

มีความเห็นบางคนที่ได้คุยกัน บอกว่า “ก็ตั้งกำแพงภาษี ดิ ให้เยอะๆ “

ทำไม่ได้ครับ เพราะ …….. มันผลิตในประเทศไทยครับ มันไม่ใช่สินค้านำเข้าครับ อย่าไฮแนเก้น ก็ว่าไปอย่าง แต่ราคาไฮแนเก้น ในต่างประเทศ ราคาไม่ตางกับช้างในไทยหรอก ที่มันแพงเพราะภาษีนั้นหล่ะ แต่หลังๆ เริ่มถูกลงเพราะเอามาบรรจุในไทยครับ ซึ้งของผลิตในไทยมันมันตั้งกำแพงภาษีไม่ได้ครับ หรือจะบอกว่าขึ้นภาษีเหล้า และเบียร์ ผมว่ามันแก้ไม่ถูกจุดอีกหล่ะ

เพราะ ……. คนดื่มไม่ว่าจะแพงแค่ไหน มันก็ดื่ม เหล้าขวดละ 999 บาท มันก็กิน ถ้ามันอยาก หรือขวดละ 130 บาท มันก็กิน

และผมก็คิดว่า ไม่ว่าจะเข้าที่ไหน “อุปสงค์” มีอยู่เค้า “อุปทาน” ต่างๆ ก็ยังอยู่

แล้วจะออกกฎหมายว่ายังไงดีครับ ผมว่าห้ามผลิตสิ่งมึนเมา หรือห้ามดื่ม เลยไหม

ง่ายดีแมะ แต่ว่า แหม ……. มันไม่ง่ายแบบนั้นครับ

เพราะ ………. “ผู้ที่ใช้กฎหมายเราไม่แข็งพอ” ผมเน้นนะครับ “ผู้ที่ใช้” นั้นหมายความว่า ออกมาเหอะ ให้ดีแค่นั้น “คน” ที่ใช้ มันไม่ได้เรื่องมันก็ไม่มีความหมาย เป็นแค่เสือกระดาษดีๆ นี่เอง ผมถึงบอกไง ปัญหา มันอยู่ที่ “คน” เรื่องเข้าไม่เข้า มันไม่ใช่เรื่องที่เอามาเถียง เพราะว่านี่คือ

“โลกเสรี”

เราต้องแก้ที่ต้นเหตุดิครับ ต้นเหตุมาจากไหน ดับที่นั้นครับ

ยาเสพติดน่ะ ถ้าคนมันไม่เสพ มันจะมีคนขายแมะ ถึงจะปราบปรามแค่ไหน คนเสพมันมี มันก็มีให้ขาย ต่อให้แพงแค่ไหน มันก็ซื้อ

คนไม่เสพ ต่อให้มันถูกกว่าขี้ มันก็ไม่ซื้อ ของอย่างงี้มันอยู่ที่ จิต ครับ ผมไม่ดื่มเหล้าเลยทั้งๆ ที่บ้านพ่อก็เปิดร้านอาหาร ขายเหล้าเบียร์ มีให้เลือกดื่มเต็มไปหมด (แถมฟรีอีกต่างหาก) ก็ไม่ดื่ม ขนาดพ่อผม ดื่มบ้าง แต่ก็แค่ ครึ่งขวด หรือนิดๆ หน่อยๆ และ น้าผมก็ขาย แต่เค้าก็ไม่ดื่ม ขายอย่างเดียว …..

ถึงบอกครับ มันอยู่ที่ “จิต” ครับ

“ศีล” เป็นข้อยับยั้งการพฤติกรรมของคนดื่ม ไม่ใช่ห้ามคนอื่นขาย หรือห้ามคนผลิต

อีกอย่างครับ ผมชอบคำพูดนี้มากขอยกมานิดนึง “พวกของมึนเมาพวกนี้น่ะ กว่าจะเข้าปากได้ มันไม่ง่าย มันไม่ใช่น้ำที่อยากกินก็กิน ต้องมีการกระตุ้นโดยสภาพแวดล้อมทางอารมณ์ ความเครียด มันถึงจะอยากกิน อยากดื่ม… อยู่ดีๆไปดื่มมันคงไม่ใช่… มันต้องมีอารมณ์ร่วมหน่อย เกิดมาหายใจบนโลกนี้มาด้วยน้ำนม คนทุกคนรู้ว่าเราไม่ได้โตมาด้วยน้ำเหล้า มันได้ไม่เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต การที่เราไปจับต้องมัน ก็เมื่อเราโตขึ้นมาในระยะเวลาหนึ่ง มันมีเวลามากมายพอที่จะสั่งสอน อบรมคนของเรามากพอ แต่กลับไม่ทำ หากคุณเป็นห่วงตรงนั้น ก่อนที่เขาเหล่านั้นจะโตขึ้นมา ก็ควรจะอบรมบ่มเพาะความแข็งแกร่งทางความคิดก่อนไม่ดีกว่าหรือ แต่อย่างไรก็ดี มันก็มีบ้างที่คนเราเกิดปัญหา ความผิดพลาดในชีวิต เกิดความเครียด ต้องการผ่อนคลาย เป็นธรรมดาของมนุษย์ ทุกคนต้องเจอ แล้วมีบ้างที่หลงผิดหันไปพึ่งน้ำเหล้า เพื่อผ่อนคลาย หรือปลดปล่อย ตรงนี้คือสิ่งที่ควรทำมากกว่า เพราะหากคนบริโภคเป็นมันก็มีประโยชน์กับร่างกายเช่นเดียวกัน

ผมว่า กลัวลูกตัวเองจะดื่มเหล้า ทำไม ไม่สอนเค้าให้ไม่คิดจะดื่ม ไม่คิดสอน ให้เค้าหาทางออกนอกเสียจากมันหล่ะ มีทางมากมายในการป่มเพาะนิสัยหลีกหนีสิ่งเหล่านี้มากมาย ให้รู้จักพอดี ดื่มแต่พอดี ทางสายกลาง ไม่ใช่สุดโต่ง

ถือแม้ในศีล 5 จะมี 1 ข้อบอกไว้ว่า การดื่มสิ่งมึนเมามันไม่ดี ซึ่งผมก็คิดว่าจริง แต่มันไม่เกี่ยวกับคนผลิต ศีล มีผลกระทบต่อตัวบุคคลนั้นๆ เท่านั้น ไม่ใช่ที่สภาพแวดล้อม และสิ่งแวดล้อมรวบข้าง คุณมีศีล 5 และคนทุกคนมีศีล 5 ถึงจะมีการผลิต มีโฆษณายั่วยุออกมามากมาย คนที่ยึดมั่นในศีล และแข็งแกร่งทางจิต ก็จะไม่ดื่มมันหรอก แต่คนที่ไม่แข็งแกร่งทางจิต ก็จะเริ่มโอนแอนไปบ้าง มากหรือน้อยก็สุดแล้วแต่ความต้องการ เพราะ …. มนุษย์ทุกคน มีตัญหาอยู่ในตนเองแทบทุกคน

ขออ้าง คำพูดของคนใน Pantip.com หน่อยครับ เพราะว่าค่อนข้างดีและตอบตรงจุด และดิบดี หุๆๆ

คนที่เขาสนับสนุน เขาไม่ได้สนับสนุนเบียร์ช้างเพราะคิดว่าจะทำให้คนกินเพิ่มขึ้น เขาสนับสนุนให้เข้าตลาดหลักทรัพย์เพราะเหตุผลตามหลักธุรกิจ คนที่ออกมาคัดค้านแหละสติเสีย บ้าไปแล้ว เชื่อมประเด็นมั่ว อ้างเมืองพุทธส่งเดช

ประเทศนับถือพุทธทุกประเทศมีพวกนี้ขายหมด ….ฉะนั้นอย่าอ้างอะไรส่งเดช

และจะหาว่าผมบาปก็ยอม

ผมขอประนามพระที่ไปร่วมประท้วงว่าแย่มากๆๆๆ ท่านควรไปทำหน้าที่ของท่านเองในทางศาสนาให้ดีก่อนเถอะครับ ไปตั้งใจสอน เผยแพร่ธรรมมะในวัด ในชุมชน โรงเรียน ก่อนเถอะครับ และไปออกกฎให้พระในวัดเลิกบุหรี่ กระทิงแดงให้ได้ก่อนเถอะครับ

ผมจะบอกให้ว่าที่เด็กติดเหล้าเบียร์บุหรี่ ควรโทษ คน 3 กลุ่ม
1. พ่อแม่ …ไปใส่ใจลูกตัวเอง
2. ครู………ไม่อบรมเด็ก ไม่หากิจกรรมที่มีประโยชน์ให้เด็กทำ
3. พระ……. วันๆอยุ่แต่ในวัด ควรรู้จักเสนอตัวไปตามสถาบันศึกษา ไปเทศน์ อบรมเยาวชนของชาติให้ห่างไกลอบายมุข

แต่ผมงงว่าดันมาโทษคุณเจริญกับท่านสมคิดได้ไง…ท่าจะประสาทไปกันใหญ่

พระสงฆ์บ้านเราก็แปลก ทำไมไม่ไปเรียกร้อง ประท้วงกรมศาสนาให้พระทุกๆรูปเลิกบุหรี่ กระทิงแดง ให้เอาจริงกับพระนอกรีต ที่เดินซื้อหนังโป๊ คาราโอเกะ หนังแอ๊คชั่นที่เกลื่อนไปหมด เพราะนี่คือกิจของสงฆ์จริงๆๆ
ไม่ใช่มาร่วมประท้วง ปิดถนน นั่งดูคนประท้วงเผาหุ่นกระดาษอย่างบ้าคลั่ง

ผมถึงบอกครับว่าปัญหานี้ มันอยู่ที่ “จิต” ไม่ใช่ “สิ่งแวดล้อม” และรวมถึงปัญหาทุกๆ อย่างบนโลกนี้ด้วย

สวัสดี ;)