เรื่อง เหล้า/เบียร์ คิดกันได้แค่นี้เหรอ ……

ไม่ได้เขียน blog ที่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ต่อเหตุการณ์บ้านเมืองมาได้หลายเดือนแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่มีความเห็นแตกต่าง แต่ว่ามันไม่มีเวลารวบรวมความคิดให้ออกมาเป็นตัวอักษรได้ดีเท่าไหร่ คือ มันออกมาดิบเกินไป เดี่ยวจะกลายเป็น blog เถื่อนดิบไปซะ

วันนี้ก็คงมาพูดถีงเรื่องเหล้าเบียร์ดีกว่า หุๆๆ

เรื่องการนำบริษัทเกี่ยวกับเหล้า และเบียร์เข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อทำการเพิ่มทุน ซึ่งมีคนออกมาคัดค้านในเรื่องนี้ เพราะมีความคิด ความเห็นที่ว่า ทำให้มีการเพิ่มทุนมากขึ้น ทำให้มีทุนในการไปพัฒนาการผลิต, เพิ่มจำนวน และทุ่มงบประมาณ ในการโฆษณาสิ่งเหล่านี้ ทำให้เกิดผลกระทบต่อการเสพสิ่งมึนเมามากขึ้นไปด้วย

ผมไม่อยากให้มองแบบนั้น เพราะ …………. สาเหตุปัญหาน่ะ มันอยู่ที่ “คน”

ปัญหาที่จริงอยู่ที่ “คนที่ดื่นสิ่งมึนเมา” ไม่ใช่อยู่ที่ “คนผลิต” ไม่มี อุปสงค์ ก็ไม่มี อุปทาน ต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งมวลเกิดจากจิต ถ้าเราต้องแก้ที่จิต ไม่ใช่แก้ที่คนอื่นครับ แล้วการแก้ปัญหาการไม่ให้เข้าตลาดหุ้มมันปลายเหตุมากเกินไป และทางของของเค้ามีมากมายในการเข้าตลาดหุ้น ไม่ว่าจะไปเข้าสิงค์โปร์, มาเลเซีย, ฯลฯ ซึ่งผมว่าไม่ต่างกัน เลยนะ เพราะ ……. (ดูจาก Flow เอาดีกว่า)

บริษัทช้าง -> ตลาดหุ้นไทย -> ระดมทุน -> ขายคนไทย/ต่างชาติ -> กำไร -> ค่าธรรมเนียมเข้าตลาดหุ้นคนไทย/เข้าประเทศไทย -> ได้จากภาษีเหล้าเบียร์/นำมาช่วยเหลือสังคมไทย -> คนไทยเมา/คนไทยดื่ม “จำนวนขวด” เท่าเดิม หรือมากขึ้น
– แต่ผลประโยชน์อยู่ที่คนไทย

แต่ ….

บริษัทช้าง -> ตลาดหุ้นต่างชาติ -> ระดมทุน -> ขายคนไทย/ต่างชาติ -> กำไร -> ค่าธรรมเนียมเข้าตลาดหุ้นต่างชาติ/เงินเข้าต่างชาติ -> ภาษีเหล้าเบียร์เข้าประเทศ แต่ส่วนหนึ่งช่วยเหลือสังคมต่างชาติ -> คนไทยเมา/คนไทยดื่ม “จำนวนขวด” เท่าเดิม หรือมากขึ้น
– ประโยชน์ตกที่ต่างชาติ เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง

ผมอยากให้มองที่ “คนไทยเมา/คนไทยดื่ม ‘จำนวนขวด’ เท่าเดิม หรือมากขึ้น”

ไม่ว่าจะเอาที่ไหน ประเทศใด ในโลก บริษัทช้าง ก็ต้องได้เขาตลาดหุ้น และระดมทุนอยู่วันยังค่ำ ครับ ไม่ว่าจะฟ้าทลม ดินทลาย ยังไงก็ไม่สามารถหลีกนี้เรื่องนี้ได้

มีความเห็นบางคนที่ได้คุยกัน บอกว่า “ก็ตั้งกำแพงภาษี ดิ ให้เยอะๆ “

ทำไม่ได้ครับ เพราะ …….. มันผลิตในประเทศไทยครับ มันไม่ใช่สินค้านำเข้าครับ อย่าไฮแนเก้น ก็ว่าไปอย่าง แต่ราคาไฮแนเก้น ในต่างประเทศ ราคาไม่ตางกับช้างในไทยหรอก ที่มันแพงเพราะภาษีนั้นหล่ะ แต่หลังๆ เริ่มถูกลงเพราะเอามาบรรจุในไทยครับ ซึ้งของผลิตในไทยมันมันตั้งกำแพงภาษีไม่ได้ครับ หรือจะบอกว่าขึ้นภาษีเหล้า และเบียร์ ผมว่ามันแก้ไม่ถูกจุดอีกหล่ะ

เพราะ ……. คนดื่มไม่ว่าจะแพงแค่ไหน มันก็ดื่ม เหล้าขวดละ 999 บาท มันก็กิน ถ้ามันอยาก หรือขวดละ 130 บาท มันก็กิน

และผมก็คิดว่า ไม่ว่าจะเข้าที่ไหน “อุปสงค์” มีอยู่เค้า “อุปทาน” ต่างๆ ก็ยังอยู่

แล้วจะออกกฎหมายว่ายังไงดีครับ ผมว่าห้ามผลิตสิ่งมึนเมา หรือห้ามดื่ม เลยไหม

ง่ายดีแมะ แต่ว่า แหม ……. มันไม่ง่ายแบบนั้นครับ

เพราะ ………. “ผู้ที่ใช้กฎหมายเราไม่แข็งพอ” ผมเน้นนะครับ “ผู้ที่ใช้” นั้นหมายความว่า ออกมาเหอะ ให้ดีแค่นั้น “คน” ที่ใช้ มันไม่ได้เรื่องมันก็ไม่มีความหมาย เป็นแค่เสือกระดาษดีๆ นี่เอง ผมถึงบอกไง ปัญหา มันอยู่ที่ “คน” เรื่องเข้าไม่เข้า มันไม่ใช่เรื่องที่เอามาเถียง เพราะว่านี่คือ

“โลกเสรี”

เราต้องแก้ที่ต้นเหตุดิครับ ต้นเหตุมาจากไหน ดับที่นั้นครับ

ยาเสพติดน่ะ ถ้าคนมันไม่เสพ มันจะมีคนขายแมะ ถึงจะปราบปรามแค่ไหน คนเสพมันมี มันก็มีให้ขาย ต่อให้แพงแค่ไหน มันก็ซื้อ

คนไม่เสพ ต่อให้มันถูกกว่าขี้ มันก็ไม่ซื้อ ของอย่างงี้มันอยู่ที่ จิต ครับ ผมไม่ดื่มเหล้าเลยทั้งๆ ที่บ้านพ่อก็เปิดร้านอาหาร ขายเหล้าเบียร์ มีให้เลือกดื่มเต็มไปหมด (แถมฟรีอีกต่างหาก) ก็ไม่ดื่ม ขนาดพ่อผม ดื่มบ้าง แต่ก็แค่ ครึ่งขวด หรือนิดๆ หน่อยๆ และ น้าผมก็ขาย แต่เค้าก็ไม่ดื่ม ขายอย่างเดียว …..

ถึงบอกครับ มันอยู่ที่ “จิต” ครับ

“ศีล” เป็นข้อยับยั้งการพฤติกรรมของคนดื่ม ไม่ใช่ห้ามคนอื่นขาย หรือห้ามคนผลิต

อีกอย่างครับ ผมชอบคำพูดนี้มากขอยกมานิดนึง “พวกของมึนเมาพวกนี้น่ะ กว่าจะเข้าปากได้ มันไม่ง่าย มันไม่ใช่น้ำที่อยากกินก็กิน ต้องมีการกระตุ้นโดยสภาพแวดล้อมทางอารมณ์ ความเครียด มันถึงจะอยากกิน อยากดื่ม… อยู่ดีๆไปดื่มมันคงไม่ใช่… มันต้องมีอารมณ์ร่วมหน่อย เกิดมาหายใจบนโลกนี้มาด้วยน้ำนม คนทุกคนรู้ว่าเราไม่ได้โตมาด้วยน้ำเหล้า มันได้ไม่เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต การที่เราไปจับต้องมัน ก็เมื่อเราโตขึ้นมาในระยะเวลาหนึ่ง มันมีเวลามากมายพอที่จะสั่งสอน อบรมคนของเรามากพอ แต่กลับไม่ทำ หากคุณเป็นห่วงตรงนั้น ก่อนที่เขาเหล่านั้นจะโตขึ้นมา ก็ควรจะอบรมบ่มเพาะความแข็งแกร่งทางความคิดก่อนไม่ดีกว่าหรือ แต่อย่างไรก็ดี มันก็มีบ้างที่คนเราเกิดปัญหา ความผิดพลาดในชีวิต เกิดความเครียด ต้องการผ่อนคลาย เป็นธรรมดาของมนุษย์ ทุกคนต้องเจอ แล้วมีบ้างที่หลงผิดหันไปพึ่งน้ำเหล้า เพื่อผ่อนคลาย หรือปลดปล่อย ตรงนี้คือสิ่งที่ควรทำมากกว่า เพราะหากคนบริโภคเป็นมันก็มีประโยชน์กับร่างกายเช่นเดียวกัน

ผมว่า กลัวลูกตัวเองจะดื่มเหล้า ทำไม ไม่สอนเค้าให้ไม่คิดจะดื่ม ไม่คิดสอน ให้เค้าหาทางออกนอกเสียจากมันหล่ะ มีทางมากมายในการป่มเพาะนิสัยหลีกหนีสิ่งเหล่านี้มากมาย ให้รู้จักพอดี ดื่มแต่พอดี ทางสายกลาง ไม่ใช่สุดโต่ง

ถือแม้ในศีล 5 จะมี 1 ข้อบอกไว้ว่า การดื่มสิ่งมึนเมามันไม่ดี ซึ่งผมก็คิดว่าจริง แต่มันไม่เกี่ยวกับคนผลิต ศีล มีผลกระทบต่อตัวบุคคลนั้นๆ เท่านั้น ไม่ใช่ที่สภาพแวดล้อม และสิ่งแวดล้อมรวบข้าง คุณมีศีล 5 และคนทุกคนมีศีล 5 ถึงจะมีการผลิต มีโฆษณายั่วยุออกมามากมาย คนที่ยึดมั่นในศีล และแข็งแกร่งทางจิต ก็จะไม่ดื่มมันหรอก แต่คนที่ไม่แข็งแกร่งทางจิต ก็จะเริ่มโอนแอนไปบ้าง มากหรือน้อยก็สุดแล้วแต่ความต้องการ เพราะ …. มนุษย์ทุกคน มีตัญหาอยู่ในตนเองแทบทุกคน

ขออ้าง คำพูดของคนใน Pantip.com หน่อยครับ เพราะว่าค่อนข้างดีและตอบตรงจุด และดิบดี หุๆๆ

คนที่เขาสนับสนุน เขาไม่ได้สนับสนุนเบียร์ช้างเพราะคิดว่าจะทำให้คนกินเพิ่มขึ้น เขาสนับสนุนให้เข้าตลาดหลักทรัพย์เพราะเหตุผลตามหลักธุรกิจ คนที่ออกมาคัดค้านแหละสติเสีย บ้าไปแล้ว เชื่อมประเด็นมั่ว อ้างเมืองพุทธส่งเดช

ประเทศนับถือพุทธทุกประเทศมีพวกนี้ขายหมด ….ฉะนั้นอย่าอ้างอะไรส่งเดช

และจะหาว่าผมบาปก็ยอม

ผมขอประนามพระที่ไปร่วมประท้วงว่าแย่มากๆๆๆ ท่านควรไปทำหน้าที่ของท่านเองในทางศาสนาให้ดีก่อนเถอะครับ ไปตั้งใจสอน เผยแพร่ธรรมมะในวัด ในชุมชน โรงเรียน ก่อนเถอะครับ และไปออกกฎให้พระในวัดเลิกบุหรี่ กระทิงแดงให้ได้ก่อนเถอะครับ

ผมจะบอกให้ว่าที่เด็กติดเหล้าเบียร์บุหรี่ ควรโทษ คน 3 กลุ่ม
1. พ่อแม่ …ไปใส่ใจลูกตัวเอง
2. ครู………ไม่อบรมเด็ก ไม่หากิจกรรมที่มีประโยชน์ให้เด็กทำ
3. พระ……. วันๆอยุ่แต่ในวัด ควรรู้จักเสนอตัวไปตามสถาบันศึกษา ไปเทศน์ อบรมเยาวชนของชาติให้ห่างไกลอบายมุข

แต่ผมงงว่าดันมาโทษคุณเจริญกับท่านสมคิดได้ไง…ท่าจะประสาทไปกันใหญ่

พระสงฆ์บ้านเราก็แปลก ทำไมไม่ไปเรียกร้อง ประท้วงกรมศาสนาให้พระทุกๆรูปเลิกบุหรี่ กระทิงแดง ให้เอาจริงกับพระนอกรีต ที่เดินซื้อหนังโป๊ คาราโอเกะ หนังแอ๊คชั่นที่เกลื่อนไปหมด เพราะนี่คือกิจของสงฆ์จริงๆๆ
ไม่ใช่มาร่วมประท้วง ปิดถนน นั่งดูคนประท้วงเผาหุ่นกระดาษอย่างบ้าคลั่ง

ผมถึงบอกครับว่าปัญหานี้ มันอยู่ที่ “จิต” ไม่ใช่ “สิ่งแวดล้อม” และรวมถึงปัญหาทุกๆ อย่างบนโลกนี้ด้วย

สวัสดี ;)

มันจะเป็นบทสรุปของการว่า “ทำไมต้องมีแฟน” หรือเปล่า

     จากหนังสือทางด้านจิตวิทยาเบื่องต้น ว่าการมีแฟน ผลดี ผลเสีย เป็นอย่างไรนั้นยังไม่มีใครตอบได้ครับซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่ามันขึ้นอยู่ที่บุคคลนั้นตามแต่สภาพแวดล้อมต่างๆ ครับ

ทำไมเหรอ ? เรามาดูกันดีกว่า

     ถ้าคนพากันทำตัวดี ช่วยกันเรียน ไม่ไปทำในเรื่องผิดศีลธรรม การเป็นแฟนก็จะมีแต่ผลดีในเชิงสร้างสรรค์ พ่อแม่ และคนรอบข้างก็สนับสนุน ซึ่งแทบจะไม่มีผลเสีย

     ถ้าคนพากันเลว พากันเที่ยว พากันไปโน้นไปนี่ ทิ้งการเรียน ไม่มีพ่อแม่ของใครจะไม่ปฏิเสธว่ามีผลดี มีแต่ผลเสีย

     แต่ปัญหาสำคัญคือ "พ่อแม่เสียใจ" ถ้าเราทำตัวไม่ดีผิดจากที่เราควรจะเป็น ผิดต่อหน้าที่นั้นๆ ในช่วงนั้นๆ ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น

 เพราะอะไรเหรอ ?

     ตรงนี้เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า วัยในช่วงไหนบ้างที่เหมาะ และไม่เหมาะ ที่ไม่เหมาะเพราะอะไรและจะแก้ไขอย่างไรได้บ้าง

     หน้าที่ในการเรียนถ้าพูดตรงนี้แล้ว คู่ไหนที่เป็นแฟนกัน หรือดูๆ กันแล้วไม่ก่อให้เกิดปัญหา เนื่องจากการทำหน้าที่เรียนได้ดี และทำกิจกรรม เข้าร่วมงานสังคมได้สม่ำเสมอ ไม่ผิดประเพณีของสังคม นั้น และปฏิบัติไปพร้อมกับการเป็นแฟนกัน เป็นอะไรที่ทำได้ไม่ยากเลย เพราะว่าในชีวิตช่วงการทำงานนั้นยากกว่าเรียน ทำไมยังทำงานไปอยู่เป็นแฟนเป็นคู่ไปได้ล่ะครับ

 ปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนี้ !!!

     แต่อยู่ตรงที่ว่าเรายับยั้งชั่งใจได้มากแค่ไหนเมื่ออยู่ในสถานที่ล่อแหลม (ขอใช้คำแรงหน่อยนะ) …..

 เพราะอะไรน่ะเหรอ ?

     เพราะว่าอารมณ์และสถิติ รวมไปถึงวุฒิภาวะของวัยต่างๆ ไม่เท่ากัน ทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้

ซึ่งปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นคือ "ทำให้บุพการีเสียใจ" และนำพาไปสู่สิ่งต่างๆ ที่ไม่คาดฝัน

     ฉะนั้น ผมจึงมองว่า หากพ่อแม่รับได้ สังคม ok กับสิ่งที่ทั้งคู่ทำ การจะเป็นแฟนไปด้วยเรียนไปด้วยก็ไม่มีใครว่า ซึ่งถ้าพ่อแม่รับไม่ได้ ก็ไม่ควรเป็นแฟนกันครับ อันนี้ตอบแบบตรงๆ เราเปลี่ยนความคิดพ่อแม่เราไม่ได้ เราต้องเปลี่ยนตัวเราครับ เราต้องปรับตัวเราให้เข้ากับสังคม และความเข้าใจเพราะว่า พ่อแม่ ย่อมรู้จักเราดีมากกว่าคู่(แฟน) ของเรา นั้นทำให้เราควรอดทนเสียหน่อย คบกันเป็นเพื่อนไปแบบอยู่แยกกันซึ่งก็ไม่เห็นเสียหลายตรงไหนครับ ดีซะอีกจะได้เป็นการลองใจกัน ดูกันยาวๆ ผมว่าดูดีและไม่มีอันตรายต่อตัวเองตัว

     แต่ถ้ามีพ่อแม่หรือครู(อาจารย์) ห้ามคบเป็นเพื่อนเลย อันนี้นี่ผมไม่เห็นด้วยครับ เพราะว่าใจคนนั้นห้ามยากให้เค้าเปิดอกคุยกัน ดูเค้าห่างๆ ให้ตัวเราเหมือนเป็นเพื่อนคอยแนะนำการใช้ชีวิตห่างๆ ทำให้เค้าเห็นเราเป็นคนที่ปรึกษาได้ เวลาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดงันเกิดขึ้นอย่างน้อยๆ เค้าก็บอกเรา ปรึกษาเรา จะได้ผ่อนหนักเป็นเบา ช่วยเหลือกัน นั้นคิดสิ่งควรทำ ปัญหาที่เกิดขึ้นมาแล้วแก้ไขไมได้ แต่ป้องกันได้ ครับ

     หลายคนก็บอกว่าถ้าไม่อยากทำให้พ่อแม่เสียใจ ก็ไม่เห็นต้องเป็นแฟนกัน เพราะว่าไอ้คนที่เข้ามาในชีวิตลูกเค้าก็ไม่รู้ว่ามันจะมาอีแบบไหน มันจะมาหวัง … หรือยังไง อันนี้แนะนำว่า ให้เป็นที่ปรึกษาอย่าไปห้ามทันทีทันใด จะกลายเป็นว่าทำให้เค้าแอบคบกัน หลับหลังเราเปล่าๆ

     แต่แนะนำว่าคบกันเป็นเพื่อนไปก่อน ก็ได้ครับ แต่ถ้าพ่อแม่ยอมรับ ok กับเค้าแล้ว อันนี้ต้องคิดเองแล้ว ว่าจะยังไง เพราะว่าอนาคตเราต้องตัดสินชีวิตเราเองบ้าง และการคบกันเป็นเพื่อนกันนั้นอย่างน้อยๆ ก็ทำให้มีคนช่วยคิด ช่วยเรียน ช่วยปรึกษา จริงไหมครับ