หลังจาก Microsoft Surface 2 แล้วไงต่อ?

คือส่วนตัวใช้ Surface RT อยู่แล้ว น่าจะพอเทียบๆ คราวๆ ได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าว่ากันตรงๆ ในตอนนี้ ผมแนะนำให้ซื้อ Surface Pro 128GB จะดูคุ้มค่ากว่า Surface 2 ในแง่ความสามารถในการรองรับซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่หลากหลายกว่ามาก แม้ Windows RT 8.1 จะมีแอพเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังห่างชั้นกับ Windows 8.1 ใน Surface Pro อย่างเทียบกันไม่ติดจริงๆ (Surface Pro เล่น Diablo 3 ได้นี่ก็ถือว่าห่างชั้นกันแล้วกัน) และ Surface Pro 2 ดูจะไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาในตลาดไทยเร็วๆ นี้ (มั้ง)

สำหรับท่านผู้ปกครองที่เผลอมาอ่านเจออยากให้ลูก-หลานมีคอมพิวเตอร์ไว้ใช้ทำรายงาน หรือเรียน ซึ่งเน้นแต่ Microsoft Office เป็นหลักเลย อยากแนะนำให้ซื้อ Surface RT หรือ Surface 2 ก็ดูจะตอบโจทย์ดีกว่า Surface Pro เพราะอย่างน้อยๆ ก็มีเกมให้เล่นได้น้อยกว่า (ผมถือว่าเป็นข้อดีนะ) คือเอามาเรียน ทำรายงาน ท่องเน็ตได้ มัลแวร์ก็ยังไม่เยอะ และ ณ ตอนนี้ ผมว่า Surface RT ก็ยังคุ้มค่ากว่ากับราคาขนาดนี้ ราคา 8-9,890 บาทของ Surface RT นี่คุ้มเกิ้น เพราะส่วนที่ได้เพิ่มเติมมากับ Surface 2 นั้น แม้จะดูเยอะ แต่ถ้าใช้งานจริงๆ ก็ไม่ได้แตกต่างกันจนรู้สึกว่าเงิน 5-6,000 บาทที่จ่ายเพิ่มเติมไปดูคุ้มค่ามากขึ้น เอาส่วนต่างไปซื้อสายชาร์จ เมาส์ คีย์บอร์ด และสายต่อพ่วงอื่นๆ เพิ่มเติมน่าจะเหมาะสมกว่า

prod_surface2_Pageสรุป Surface 2 มีอะไรดีเนี่ย?

คือเจ้า Surface 2 เป็นการอัพเกรดตัวเครื่องให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงด้านความสามารถตัว Windows RT 8.1 เป็นหลักเสียมากกว่า กล่าวคือ หน้าจอละเอียดขึ้นเป็น Full HD 1080p ที่จอภาพละเอียดกว่าตัวเก่าเท่าตัว ให้ CPU และ VGA แรงขึ้นกว่าเดิม (อัพเกรดเป็น NVIDIA Tegra 4) แต่ยังคงงก RAM ที่ 2GB เหมือนเดิม (เพื่อ!?!?) ส่วน Fullsize USB 3.0 ทีให้มาก็ดีมีประโยชน์ แต่ในตลาด Tablet ดูจะเป็นส่วนเกินไปสักหน่อย (ใส่ micro USB 3.0 มาก็ได้ แล้วให้หัวแปลงน่าจะตอบโจทย์กว่ามั้ง) รองรับการส่งภาพแบบไร้สายที่ชื่อ Miracast (ซึ่งใน Surface RT ไม่มี) กล้องหน้า-หลังที่ละเอียดมากขึ้น รับการเร่งความสว่างในที่มีแสงน้อย (แต่ชาวบ้านเค้าก็ทำความละเอียดหนีไปแล้ว) แบตอยู่ได้นานขึ้นกว่าตัวเก่าอีก 3 ชั่วโมงเป็น 10 ชั่วโมง และขาตั้ง kickstand ปรับระดับได้ 2 ระดับ (ดูดี แต่ทำให้คำโฆษณาตอน Surface RT ที่บอกว่าคิดมาอย่างดีดูแย่ไปเลย) ซึ่งจากสิ่งที่อัพเกรดขึ้นมา อยากให้ลองเทียบๆ ดูว่าได้ใช้ความสามารถหรือความเร็วแรงต่างๆ พวกนี้แค่ไหน กับเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมไปอีกครึ่งหมื่น

ราคา Surface ณ วันที่ 25 มีนาคม 2557 (ราคาจาก IT City)
– Surface RT 32GB ราคา 8,290 บาท
– Surface RT 64GB ราคา 9,890 บาท
– Surface Pro 64GB ราคา 15,990 บาท
– Surface Pro 128GB ราคา 18,990 บาท
– Surface 2 32GB ราคา 14,500 บาท
– Surface 2 64GB ราคา 17,500 บาท
– Touch Cover 2 for Surface ราคา 4090 บาท (มีสีเทา)
– Type Cover 2 for Surface ราคา 4490 บาท (มีสีม่วง ฟ้า ชมพู เทา)

ส่วนตัวใช้ Surface RT 64GB อยู่ เห็นราคาล่าสุดที่ 9,890 บาท แล้วสะท้อนใจ ผมซื้อมา 12,500 บาท!!! T_T

คำถามต่อมา เทียบกับ Tablet ของ platform อื่นเช่น Android หรือ iOS แล้วยังไง?
คนละแนวคิดเลย ให้มองว่ามันเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ที่ดันอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็น Tablet มากกว่า ซึ่งถ้าจะใช้ Surface คุณจะคุยกับคนใช้ Android หรือ iOS ไม่รู้เรื่อง ><”

มองว่าขายได้ไหมในไทย?
ผมว่ายังขายยากอยู่ ณ ตอนนี้ ตัวมันเองไม่ใช่ขายไม่ได้นะ แต่คนซื้อ Tablet ติดภาพความวาไรตี้ มากกว่าเอาไปใช้ทำงาน คือต้องคิดว่าคนซื้อ Windows 8 Tablet ซื้อมาทำงานเป็นหลัก และยังมี Tablet ในอีก platform หนึ่งตัวแยกต่างหากเป็นอย่างน้อย คือมีเจ้าตัวนี้ตัวเดียวถามว่าได้ไหม ก็บอกว่าได้ แต่ต้องใจแข็งกับความอยากได้ใคร่มีตัวแอพต่างๆ ที่ฮิตๆ กันเหมือนคนอื่นๆ ซึ่งส่วนตัวผมก็ยังทำไม่ได้นะ ผมก็ยังมี Android Tablet ขนาดหน้าจอ 7″ ไว้เล่นนั้นนี่อยู่บ้างเช่นกัน ว่าง่ายๆ คือ Microsoft ต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่าในตลาดนี้ตนยังรั้งท้ายมากๆ (ไกลสุดๆ) ต้องทำใจในช่วงนี้ว่าตัวเองไม่ใช่ตัวเลือกแรกในตลาด Tablet สักเท่าไหร่ คือถ้าไม่ทำราคาให้ดูน่าสนใจ ผลักดันให้นักพัฒนาทุ่มกำลังมาลงแทพให้ทัดเทียมกับ Android หรือ iOS คนก็ยังไปเล่น Android Tablet หรือ iPad อยู่ดี คือ Microsoft ทำ platform ตนเองดีแค่ไหน ระบบ Store ดีมากๆ ระบบรัดกุมสุดๆ แต่แอพไม่ลง ก็เท่านั้น เพราะโลกในวันนี้ขับเคลื่อนด้วย แอพของนักพัฒนาภายนอกมากกว่าผู้ควบคุมระบบนิเวศ เพราะในโลกที่เกือบทุกบ้านมีคอมพิวเตอร์ที่รัน Windows เพื่อใช้ทำงานได้อยู่จนครองตลาดไร้ผู้แทรกแซงฉันใด ในตลาด Tablet ตอนนี้ก็ดูจะไม่จำเป็นต้องมี Windows เพื่อใช้ทำงานสักเท่าไหร่เช่นกัน (เพราะดันมาช้าไป)

อันนี้เป็นเนื้อหาแนวบ่นๆ ระหว่างรอ Microsoft ส่ง Surface 2 มาให้รีวิวแล้วกันครับ เดี่ยวจะรีวิวเทียบ Surface RT vs Surface 2 ไปเลยทีเดียว เขียน Surface 2 แล้วเดียวมันครึ่งๆ กลางๆ แถม รูป Surface 2 เมื่อวานก็ลืมถ่ายมา แต่ก็นะ เขียนบ่นแรงขนาดนี้เค้าจะส่งมาให้รีวิวไหมเนี่ย ><“

CEO คนใหม่ของ Microsoft “Satya Nadella” คนที่ป๋าเลือกมาแล้ว!!! (The Chosen One)

หลังจากหลายสำนักข่าวต่างคาดเดา และวิเคราะห็กันอย่างมากมายว่าใครจะมาเป็น CEO คนใหม่ของ Microsoft มาวันนี้ช่วงประมาณ 3 ทุ่มประเทศไทย (เช้าวันใหม่ที่อเมริกา) Microsoft ก็ได้ประกาศ CEO คนใหม่ อย่างเป็นทางการ นั้นคือ Satya Nadella ซึ่งเค้านั้นทำงานใน Microsoft มากว่า 22 ปี ซึ่งคงเข้าใจวัฒนธรรมบริษัทขนาด ใหญ่อย่าง Microsoft เป็นอย่างดี และคงสานงานต่อได้อย่างราบรื่นได้ไม่ยากนัก

2014-02-04_220920

Satya Nadella เป็น CEO คนที่ 3 ต่อจาก Steve Ballmer และ Bill Gates ซึ่งถือเป็นคนแรกของ Microsoft ที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทมาแต่เริ่มต้น

โดยพื้นฐาน Satya Nadella เป็นคนสาย internet และ cloud based เค้าเป็นคนที่มีประสบการณ์สูงมาก ซึ่งเคยดูแลหรือมีส่วนร่วมทั้ง Bing, Windows server, Database server, Developer tools, Azure และ Office 365 ซึ่งน่าจะเหมาะสมกับการนำพาอนาคตของ Microsoft ที่มุ่งไปแนวทาง Devices & Services ได้เป็นอย่างดี เพราะยุคที่ application ต่างๆ ถูกย้ายขึ้น internet และ cloud ซึ่งยังเป็นการประกาศตัวว่า Microsoft เอาจริงมากขึ้นในตลาดนี้

แต่น่าสนใจคือ เค้ามีผลงานไม่เด่นชัดในด้าน Devices มากนัก แต่จากที่คิดไว้ Bill Gates ที่ในตอนนี้ได้ลงจากตำแหน่ง Chairman ของ Microsoft ได้มาเป็น Technology Advisor แทน (ส่วนตำแหน่ง Chairman ของ Microsoft ที่ว่างลงนั้นให้ John W. Thompson รับตำแหน่งต่อไป) ซึ่ง Bill Gates นั้นมีวิศัยทัศน์ที่ยาวนานในโลกไอที น่าจะช่วยให้คำแนะนำงานด้าน Devices ไปได้อย่างราบรื่น แต่สุดท้ายแม้จะมีผู้ให้คำปรึกษาดีเพียงใด คนที่ต้องตัดสินใจคือ เค้าเอง ฉะนั้นคงเป็นงานท้าทายของเค้าอยู่ดี เราคงต้องลุ้นกันต่อไปว่า ความสดใหม่ในสายงาน Devices นี้ของเค้า และที่ปรึกษาที่เก๋าเกมในโลกไอที จะมาช่วยให้ Microsoft ก้าวกลับมายืนที่จุดสูงสุดเหมือนในอดีตได้หรือไม่

ลูกค้า Windows Phone ได้พื้นที่บน SkyDrive เพิ่มอีก 20GB เป็นเวลาหนึ่งปี!

เพื่อแสดงความขอบคุณแก่ลูกค้า Windows Phone เราจึงขอมอบที่เก็บข้อมูลเพิ่มเติม 20 GB บน SkyDrive ให้คุณฟรีเป็นเวลาหนึ่งปี ความจุของที่เก็บข้อมูลดังกล่าวจะเพิ่มจากที่เก็บข้อมูลฟรี 7 GB ใน SkyDrive ที่ลูกค้าทั้งหมดได้รับในปัจจุบัน

image

วิธีการก็ไม่ยาก กด link ในเมล จะมี Redeem code อยู่

https://skydrive.live.com/options/ManageStorage?redeemCode=VX9WP-F4NRR-PVJY7-6R7D2-V8PHP

ของผมได้คือ VX9WP-F4NRR-PVJY7-6R7D2-V8PHP

ไม่แน่ใจว่าใช้ได้ครั้งเดียวหรือเปล่า ใครใช้ Windows Phone ก็ลองดูครับ

เข้าไปหน้า Manage storage ให้กด link ชื่อ Redeem SkyDrive Code แล้วกรอกรหัสที่ได้ (ผมไม่แน่ใจว่ารหัสตัวเดียวกัน หรือสุ่มแต่ละคน)

2013-12-21_134536

กด Redeem ก็จะได้พื้นที่เพิ่มมาอีก 20GB ระยะเวลาใช้ 1 ปีตามภาพ

2013-12-21_134315

“YouTube” app เจ้าปัญหาของ Microsoft บน Windows phone 8

ส่วนตัวแล้วนั้น Microsoft ทำ “ผิด” โดยละเมิด “terms of service” ในหลายเรื่อง และส่วนที่สำคัญคือ Trademark “YouTube” และการทำวิศวกรรมย้อนกลับที่นำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน (คำกล่าวอ้างคือ “เพื่อประสบการณ์ในการที่ดีกว่า”)

ซึ่งถ้าไม่ใช้ Trademark “YouTube” และใส่ลง Music+Videos ไปแทน โดยไปพัฒนาส่วนการดึงตัววิดีโอจากหลายๆ แหล่งแทน โดยใช้ YouTube เป็นค่าเริ่มต้น จะดูดีกว่ามากเลยทีเดียว (ไม่แน่อาจจะไม่เกิดปัญหาอีก เพราะไปดึง YouTube มาไม่ได้เพราะ Google ไม่ให้ในกรณีนี้อีก) ซึ่งคล้ายๆ กับ People Hub ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Twitter, Facebook และ LinkedIn ได้แบบนั้น ซึ่งส่วนตัวในตอนนี้ผมยังแปลกใจว่าทำไม Microsoft ต้องมาทำ YouTube แล้วบอกว่าเป็น official ให้อยู่เนืองๆ แถมดันทุรังใช้ชื่อ Trademark “YouTube” ที่ Google เป็นเจ้าของอยู่อีก ซึ่งจริงๆ เกมนี้ให้ 3rd party ลงมาเล่นแทนตัวเองก็น่าจะจบ และดูดีกว่า โดยที่ 3rd party ส่วนใหญ่ก็ทำได้ดีพอสมควร แม้ไม่สุด แต่ก็ไม่ได้แย่

ถ้าดูดีๆ แล้วนั้น เกมนี้ Microsoft อาจได้มวลชลของฝั่งตัวเอง เพราะถือว่าทำ app เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าตัวเอง แต่นั้นแหละ มันเลยดูว่า Microsoft ก็ดื้อ ซึ่งประมาณถึงผิด ตูก็จะทำ ใช้ลูกค้าเป็นข้ออ้าง ซึ่งความเห็นและความรู้สึกก็แบ่งเป็นสองข้างชัด แน่นอนว่าเป็นการพยายามโยนระเบิดไปหา Google แต่ไม่ไกลพอ ก็โดนสะเก็ดด้วยพอสมควร

ส่วนฝั่งของ Google ก็ดูจะพยายามเหมือนจะกีดกัน คือมาแนวตัวเองก็ไม่ทำ official app ภายใต้การกำกับดูแล จน Microsoft ต้องลงมาทำให้เอง และสุดท้ายกลายเป็นบีบ Microsoft ต้องทำผิด terms of service ไปเสียเอง

ศึกนี้ถ้ามองจริงๆ “Microsoft ผิด และ Google ถูก” อย่างไม่ต้องสงสัย (ผมพยายามหาข้อแก้ตัวให้ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ไหวจริงๆ)

ในข้อเสนอผมตอนนี้ Microsoft ควรทำคือ

  • ลบ “YouTube” app ออกไปจาก Windows phone store และเลิกใช้ชื่อนี้ไปเลย ให้เจ้าของ Trademark เป็นคนจัดการณ์เอง พร้อมทำ FAQ เสีย (ทำแบบรวมๆ)
  • ออกแถลงการณ์ขอโทษ Google ต่อกรณีใช้ Trademark “YouTube” และการทำวิศวกรรมย้อนกลับ
  • สนับสนุนบริการ Video Sharing ตัวอื่นๆ แทน เช่น Vimeo ที่มี Official ที่ก็ใช้งานได้เป็นอย่างดีแทน

ผมมองว่า Microsoft ควรใช้กระแสของข่าวนี้แม้ตัวเองจะผิด แต่เพื่อให้กระแสสังคมตีคำถามกลับไปยัง Google เองว่า เมื่อไหร่จะมี Official app บน Windows phone แน่นอนว่าจะเป็นมาตรฐานต่อไปในอนาคตว่า ถ้าจะทำ app หรือบริการที่เชื่อมต่อกับ Google จะมีกรณีอะไรเกิดขึ้นได้บ้างด้วย ซึ่งกรณีแนวๆ นี้ก่อนหน้านี้อย่าง ยกเลิก EAS ใน Google apps และ Gmail, โจมตี EAS และให้นักพัฒนามาใช้มาตรฐานเปิด และสุดท้ายก็ปิดการรองรับมาตรฐานเปิดเพราะ Microsoft ก็ปรับ OS ให้กลับมารองรับมาตรฐานเปิดดังกล่าว ซึ่งเป็นเหมือนเกมไล่จับกันไป-มา และสุดท้ายเราต้องกลับมาตั้งคำถามต่อกรณีแนวๆ นี้ระหว่างผู้ผลิตและผู้ให้บริการที่มีปัญหาพยายามกีดกันไป-มาว่า “ผู้ใช้งานเสียประโยชน์ เพราะผู้ใช้งานดังกล่าวก็อาจเป็นลูกค้าของทุกฝ่ายที่กำลังตีกันอยู่ แล้วพวกเราได้อะไรกับกรณีนี้บ้าง”

BlackBerry OS 10 ไม่ได้แย่ แต่จุดไม่ติด ด้าน Windows phone 8 จาก Microsoft ยังหวานเย็นไม่เปลี่ยนแปลง

จากข่าว BlackBerry ตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษเพื่อหาทางออกให้บริษัท ซึ่งอาจเป็นการขายกิจการก็ได้

ส่วนตัวแล้วใช้ BB10 บน BlackBerry Z10 อยู่ ของ BlackBerry ไม่ได้ด้อยกว่า Windows phone 8 หรือ OS ตัวอื่นๆ ในตลาดเลย แต่สิ่งที่ต่างคือ เวลาที่ลงในตลาดช้ากว่าคนอื่น ทำให้กระแสจุดไม่ติด แน่นอนว่า BB10 แก้ลำเรื่อง ecosystem ด้วยการให้ตัว App ที่พัฒนาบน Android สามารถ convert ลง ecosystem ตัวเองได้ทันที แต่ปัญหาคือเรื่อง performance ที่แย่กว่า เคยใช้ App ที่ convert จาก Android ลง BB10 บางตัวมีปัญหา เช่น 4sq รุ่นก่อนหน้านี้ หรือ facebook นั้นทำงานตลอด เล่นซะเครืองร้อนเป็นชั่วโมง เพราะมันทำงานไม่ยอม sleep ตอนเรากลับหน้า Home เรืองพวกนี้คงต้องแก้ไขกันไป ส่วน native app นั้น เครื่องมือในการพัฒนาดูจะมีข้อจำกัดและภาษาที่ใช้พัฒนาก็ยังดูยุ่งยากอยู่มาก

สำหรับในด้านของ Windows phone 8 คงจะรอดไปได้อีกสักพักใหญ่ๆ เพราะสายป่าน Microsoft ยาวมาก และมี Nokia ช่วยเต็มตัว (พร้อมตายกับ WP8 แน่ๆ ดูทรงแล้ว) ส่วน BlackBerry ถ้าไม่มีตัวช่วยเพิ่มสายป่านให้ตัวเองอาจจะมีปัญหาได้ ซึ่งช่วงนี้คาดว่าอยู่ในช่วงโค้งสุดท้าย จะเอายังไงกับทิศทางของ OS ตัวเอง โดยส่วนตัว BB10 ของ BlackBerry ดูจะใส่ใจในการ update มากกว่า Windows phone 8 ของ Microsoft มาก ซึ่งส่วนตัวใช้ BB10 มาเกือบๆ 2 เดือนมี update 2-3 ตัว แต่ Microsoft เงียบตลอด หลังๆ คนใช้ Windows phone8  คงด่า Microsoft เช้า-เย็นว่าพี่หวานเย็นเกินไป Nokia ออก App มาช่วย ตัวเองเงียบเป็นป่าสาก ทำ feature พื้นฐานช้ามาก

IMG_9648c