แกะกล่อง Blu-ray ของ JAPAN FIRST TOUR GIRLS’ GENERATION แบบ Hong Kong Version

นี่เป็นแผ่น Blu-ray แผ่นแรกในชีวิตผมเลยมั้งที่ตัดสินใจซื้อ ส่วนตัวแล้ว รอแผ่น JAPAN FIRST TOUR GIRLS’ GENERATION มานานพอสมควรแอบโหลดมาดูก่อน เพราะตั้งใจซื้ออยู่แล้ว ก็ได้แต่ฟินล่วงหน้าไปสักพัก ผมก็รอแผ่นตัว Blu-ray ในไทยว่าจะมีไหม คือที่ญี่ปุ่นน่ะมีแผ่น Blu-ray ออก ผมก็เฝ้ารอ ของแผ่นไทย สรุปออกมาแต่ DVD!!!

ความฟินของผมมันอยู่ระดับ 1080p ไปแล้วสำหรับคอนเกาหลี คือ ผมดู Live Perform กับ Music Video แบบ 1080i/720p มาตลอด จะให้มาซื้อ DVD ดูจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก คือคอนปีก่อนมันก็มีแต่ DVD ทั้งไทยทั้งเทศ มันก็พอโอเค เพราะมันหาซื้อไม่ได้ แต่ถ้ามันมีขายผมก็ซื้อ Blu-ray อยู่ดี

มารอบนี้ พอมีผมก็ตามหา แล้วไปเจอ JAPAN FIRST TOUR GIRLS’ GENERATION (Blu-ray)(Hong Kong Version) Blu-ray Region All ซึ่งเป็นแผ่นที่เฝ้ารอมานาน คลิ้กซื้อแบบไม่คิดเลย แน่นอนมีแผ่นของญี่ปุ่นด้วย แต่ว่ามันแพงกว่าแผ่นฮองกงเกือบเท่าตัว ก็เลยเอาตัวแผ่นฮองกงแทน (ถ้าซื้อแผ่นญี่ปุ่นของ Limited ดีกว่า แต่ว่ามันหมดแล้ว T_T)

IMG20120925234643

ผมก็ได้มาในเวลาไม่นาน ประมาณ 2 สัปดาห์เห็นจะได้ ในราคา 1,162 บาท ซึ่งรวมค่าส่งแล้ว (ผมหา coupon code มาลดค่าส่งนิดหน่อยด้วย ประหยัดไปได้พอสมควร)

IMG20120925234702

ตัวกล่องก็ทั่วๆ ไปพลาสติกขุ่น ตามปรกติของกล่อง Blu-ray

IMG20120925234846

ด้านในมี Booklet มาให้แผ่นเล็กๆ พร้อมแผ่น Blu-ray

IMG20120925234734

เป็น Booklet ที่มีรายชื่อเพลงและคนที่เกี่ยวข้องกับคอนเสิร์ต

IMG20120925234755

ไม่รอช้าด้วยความละเอียดระดับ 1080HD/59.94i ดูบนจอ Full HD 23” ผ่าน Samsung Blu-ray BD-C5500 ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้มานาน แต่มันไม่เคยได้อ่านแผ่น Blu-ray เลย พอได้ดูของจริงแล้วฟินมาก คมชัดจริงๆ

สรุป ได้เวลาถอยทีวี LED 42” แล้วซินะ!!!!

Csquid Universal USB data cable and standby charger 2 in 1 (microUSB + Dock Connector)

มีคนแนะนำว่าให้ลองใช้สายชาร์จ Csquid Universal USB data cable and standby charger 2 in 1 (microUSB + Dock Connector) อันนี้ร่วมกับ Innergie mMini Combo 15W AC Duo USB แล้วเอามา Nexus 7 ดูว่าได้ไหม

ซื้อมาจากร้าน .Life ในราคาเส้นละ 690 บาท ><”

ปล. น่าจะสัก 4-500 บาทนะครับ ราคามันแรงไปนิดนึง

IMG20120827222155 IMG20120827222227

IMG20120827222307

ต้องแนะนำก่อนว่ามันเป็นสายชาร์จที่ใช้คำโฆษณาว่า

Fast-Charges Tablets and Other Portable Devices from Any USBPort

Charge up to 2x as fast from a PC

โดยจะมีหัวต่อที่ให้มานั้นมี 2 แบบคือ โดยใช้สลับกัน ไม่สามารถใช้พร้อมกันได้ โดย(มีที่ปรับสลับการใช้งาน

  1. microUSB สำหรับต่อโทรศัพท์มือถืออย่างเช่น Blackberry, Nokia, Google, Kindle, HTC และ Samsung
  2. Dock Connector สำหรับต่อ iPod, iPad และ iPhone

สำหรับการใช้งานนั้น ถ้าต้องการใช้งานตามปรกติเหมือนสายโดยทั่วไปที่ใช้งานก็ตั้งเป็น Sync Chg ที่หัว swtich กลมๆ ด้านบน แต่ถ้าต้องการชาร์จไฟเข้าเครื่องเพื่อชาร์จได้เร็วขึ้นให้ตั้งเป็น Green Chg แทน

โดยตัวสายนั้นถ้าสลับไปใช้ Green Chg จะทำให้ port USB ที่คอมพิวเตอร์จ่ายไฟออกมาได้กระแสไฟ (mAh) มากกว่าปรกติ (Charging Mode ) คาดว่าอยู่ที่ 1,000 mAh ก็สามารถใช้งานชาร์จ iPad ได้สบายๆ โดยผมลองใช้สายนี้ต่อเข้าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะปรกติทั่วไปแล้วใช้ชาร์จกับ Nexus 7 ก็สามารถขึ้น Charging ได้ตามปรกติครับ

แต่ผมเอาสายนี้เสียบกับ Innergie mMini Combo 15W AC Duo USB แล้วชาร์จ Nexus 7 ก็ไม่ได้เช่นกัน T_T อ้าวววว!!!!

“บังคับ” ทางเลือกที่ยากลำบากของ Apple

ขอเอามาจาก Tweet ใน Twitter นิดนึง

ผมขอเสริมขยายความความรู้สึกตัวเองในฐานะผู้ใช้งาน iOS 6 บน iPod Touch/iPad และ iOS Developer Account คนหนึ่ง

Maps ตัวใหม่ หรือ Keyboard 4 แถวของไทยใน iOS 6 จะไม่ใช่ประเด็นเลย ถ้า Apple มีทางเลือกให้ผู้ใช้ว่าจะใช้ตัวเก่าหรือตัวใหม่ แต่ Apple เลือกที่จะ “บังคับ”

การเลือกที่จะ “บังคับ” ถ้ามันห่วยกว่าเดิม หรือไม่ถูกจริตคนใช้งานเก่าๆ นั้น ตัว Apple เองแหละที่จะลำบาก

ซึ่งคงเหมือนกับ Start Screen ใน Windows 8 ซึ่งตัด Start Menu ออกไป แต่ Start Screen ใน Windows 8 ยังไม่ใช่ประเด็น เพราะผู้ใช้ยังสามารถหา Software ทีทำงานคล้ายๆ กันมาใช้งานทดแทนได้ทันที และผู้ใช้มีทางเลือกว่าจะอัพเกรดหรือไม่ก็ได้ในระหว่างนี้ โดยถ้าจำเป็นต้องอัพก็มีเวลาเตรียมตัว สร้างความคุ้นเคย นั้นทำให้ทุกคนรู้และได้ลองก่อนอัพแน่ๆ มันจึงเป็นที่มาของ Release Preview และ Evaluate Version ให้ทดลองใช้ 90 ก่อน

สำหรับ Apple ในเรื่องนี้นั้นเหมือน “หักดิบ” แถมการ downgrade กลับไป iOS 5 ถึงจะทำได้ในทางเทคนิค แต่ก็ไม่ง่าย และแต่นั้นหมายถึงความเสี่ยงต่อการที่ข้อมูลที่ upgrade มาจะย้อนกลับไปใช้งานกับ iOS 5 ไม่ได้ด้วย

สิ่งที่น่าคิดคือ ถ้ายังไม่พร้อมทำไมไม่มีทางเลือกให้คนใช้งานเพื่อทดแทนความไม่พร้อมของตัวเอง แทนที่จะบังคับใช้ น่าจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยน แล้วรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้ทั่วๆ ไป แทนที่จะฟังแต่ developer กลุ่มเล็กๆ ทั้งในและนอกบริษัทตัวเอง ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะสิ่งที่ตัวเองยึดมั่นถือมั่นกับความสำเร็จเก่าๆ มันบังตาไปหมดแล้ว จนลืมไปว่า Ping ของตัวเองก็ล้มเหลวมาแล้ว และ Apple ก็ไม่รู้จักจำ เพราะขนาด developer account ที่ได้ทดลองใช้งาน iOS 6 มาก่อนล่วงหน้านานหลายเดือนยังบอกเลยว่า Maps ตัวใหม่นั้นยังไม่พร้อม ยังตามหลังคู่แข่งอย่าง Google Maps ที่ตัวเองถอดออกไปอยู่เยอะมาก แต่ developer account หลายๆ คนเชื่อมั่นว่าเมื่อถึงวันเปิดตัว คงพร้อมมากกว่านี้ แต่แล้วพอวันที่ Release จริง ทุกอย่างก็เหมือนเดิม

หรือจริงๆ แล้ว Apple ไม่เคยฟังใครเลย….

ลาก่อน AIS ผมกลับบ้านเก่า dtac แหละ

จากลา dtac ไป AIS มาได้สักเกือบๆ 2 ปี จาก blog entry ด้านล่างที่เขียนฝากไว้ก่อนจาก

มาวันนี้ผมขอเล่าปัญหาของ AIS บ้าง ว่าทำไมผมถึงย้ายกลับมา dtac เป็นข้อมูลที่เจอมาเกือบ 2 ปีก็แล้วกัน เพราะช่วงแรกที่ย้ายมาใช้ AIS นั้นมีความสุขมาก เพราะใช้งานได้ดีมากๆ แต่แล้วมาระยะประมาณ 6-8 เดือนที่ผ่านมา ผมกะๆ ไว้ประมาณช่วงตั้งแต่หลังปีใหม่ 2555 เป็นต้นมาก็เริ่มมีปัญหาต่อไปนี้

  • พื้นที่ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์ปรกติ 2G บริเวณหมู่บ้านกลางเมืองมอนติคาร์โล ซึ่งเป็นแถวๆ ที่ทำงานเก่าของผม สัญญาณเข้าไม่ถึงภายในบ้าน คือรับสาย-โทรออกต้องเดินออกมาคุยนอกบ้านตลอด อนาถมาก T_T
  • พื้นที่ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์ปรกติ 2G ภายในตึกสำนักงานบางที่บริเวณเพลินจิตสัญญาณมาๆ หายๆ ต้องไปยืนคุยแถวริมหน้าต่าง ถึงจะคุยโทรศัพท์ได้ แต่มักจะหลุดก่อนได้คุย ต้องโทรกลับหาคนโทรเข้ามาเสมอๆ เป็นบ่อยมาก
  • สัญญาณโทรศัพท์ปรกติ 2G อยากจะหลุดก็หลุดไปเฉยๆ แบบวูบดับไปดื้อๆ ยิ่งใช้ยิ่งเป็น แล้วนับวันยิ่งเป็นบ่อยมาก โทรศัพท์คุยเรื่องงานการสำคัญๆ ลำบากมาก
  • ตลอดระยะทางรถไฟฟ้า BTS ตั้งแต่อุดุมสุขถึงหมอชิตส่วนใหญ่ใช้งาน 3G/Edge ได้เป็นระยะๆ ต้องใช้ TOT 3G ต่อผ่าน MiFI จึงใช้งานระหว่างการเดินทางบน BTS ได้ราบรื่นขึ้น ><“
  • สัญญาณ 3G และ Edge ไม่ได้แรงสมราคาคุย “เครือข่ายที่ดีที่สุด” ดั่งที่โฆษณาไว้ ข้อมูลรับและส่งมาๆ หายๆ ตอนยังไม่เปิด AIS 3G ตัว Edge ก็ทำงานได้เร็วดี (ผมถือว่าไม่ด้อยกว่า dtac) ทำให้ตอนช่วงน้ำท่วมผมถือว่าไว้ใจได้เลย แต่ดูเหมือนหลังน้ำท่วมปี 2554 และเปิด 3G ขึ้นมาให้ใช้ก็รู้สึกว่าห่วยลงเยอะมากจนทำงานและติดต่อสื่อสารลำบากมาก
  • พื้นที่ให้บริการ 3G ส่วนใหญ่ใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ขึ้นต่อ 3G แต่ไม่มีข้อมูลส่งเข้า-ออกมาให้ เปิดไปเสียดายพลังงานแบตฯ เลยเปิดและใช้ Edge ก็พอใช้งานไปได้ แต่ผมจ่ายเงินเพื่อ 3G เดือนเกือบ 1,000 บาทนะครับ!!

ด้วยคุณภาพด้านบนที่กล่าวมาในระยะหลังๆ ค่าโทรศัพท์ AIS นั้นมีค่าใช้จ่ายแพงมากจนน่าตกใจ บางเดือนผมต้องจ่ายเกือบ 3,000 บาท กับคุณภาพที่มาๆ หายๆ หลุดแล้วหลุดอีก (ผมเป็น Serenade Gold ตามเงื่อนไขระยะเวลา 6 เดือนชำระขั้นต่ำ 1,500 บาท ตั้งแต่ 6 เดือนแรก)

ได้ข้อสรุปต่างๆ แล้วผมจึงสอบถามน้องที่ทำงานอยู่ dtac คนนึง (ขอไม่ออกชื่อ) ให้เค้าลองทดสอบเรื่อง 3G/Edge และสัญญาณโทรศัพท์ให้หน่อยว่าโอเคขึ้นกว่าเดิมที่เคยบ่นๆ ด่าๆ ไปเมื่อเกือบ 2 ปีก่อนไหม น้องเค้าก็ทดสอบให้ แถมรับรองว่าพี่ย้ายมาเลย Engineer เค้าเฟิร์มสัญญาในในกรุงเทพฯ แรงมาก แล้วเค้าทดสอบส่ง Speedtest กับลองโทรศัพท์ไปพร้อมๆ เล่น 3G/Edge ให้ว่ามันทำงานได้ดีขึ้นหลังจากเกือบ 2 ปีก่อน เพราะสำคัญมาก เนื่องจากเมื่อก่อน dtac ไม่ใช่ Edge+ ทำให้ถ้าใช้ Alway Connect ของมือถือทำให้โทรเข้าไม่ได้แต่ตอนนี้ทดสอบแล้วโอเคแล้ว

เมื่อน้องเค้าทดสอบให้เห็นผลชัดว่าดีขึ้น ก็เลยสบายใจว่าโอเคขึ้น ทำเรื่องย้ายเลย!!

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2555 ก็ได้เวลาจากลา AIS เสียที เพราะรับไม่ไหวกับคุณภาพที่ตกลงอย่างน่าใจหายจนไม่น่าให้อภัย และคิดว่าคุณภาพตกลงหลังจากเปิด AIS 3G เป็นต้นมาเลยทีเดียว

ผมเลยทำเรื่องย้ายค่ายเบอร์เดิม (Mobile Number Portability) กลับเช่นเดิม

ผมขอนำ Quote เก่าตอนลาจาก dtac มาใช้กับ AIS บ้าง

ไม่อยากให้ AIS สร้างมาตราฐานที่เรียกว่าระบบใช้งานไม่ได้นี้คือบริการที่ลูกค้าต้องทำใจและ ปลง และคำขอโทษไม่ได้ทำให้ระบบดีขึ้นพรุ่งนี้ครับ

หลังจากทำเรื่องย้ายได้วันเดียว dtac ล่ม!!! ><“

น้องที่ทดสอบให้ผม ก็มาขอโทษผมใหญ่เลย ผมก็บอกว่า sim ของ dtac ยังไม่ activate ยังใช้ AIS อยู่ น้องเค้าเลยโล่งใจไป

แต่มันโจ้กที่ว่าวันที่ผมย้ายหุ้น AIS ตก และ วันต่อมา dtac ล่ม อืมม ฉลองกันใช่ไหม T_T

ปล. แต่ไม่ได้เจอเหตุการณ์ เหตุเกิด ณ. ดีแทค สาขาพารากอน แบบเดิม แม้จะย้ายที่ dtac สาขาพารากอนที่เดิม แต่น้องคนที่มาย้ายเบอร์ให้ผมก็น่ารักไม่แพ้กัน (อุ่ยยยย!!!)

แก้ปัญหา gnome-settings-daemon โหลด cpu time 100%!

เป็น bug ใน Ubuntu 12.04.1 ลงมา (น่าจะรวมถึง 12.04 ด้วย) อยู่ใน Bug report ที่ [keyboard]: gnome-settings-daemon consumes 100% cpu (and blinking numlock) คาดว่าจะแก้ไขใน Ubuntu 12.04.2

เป็นปัญหาของตัว gnome-settings-daemon มันพยายามจะตั้งค่า numlock ให้ใช้งานได้ตลอดเวลาจนไปโหลดระบบ

ปัญหาจะพบเพื่อเปิดใช้งานพวก Remote desktop เป็นหลัก เช่น Remote desktop sharing (vino) ของตัว Ubuntu เองผ่าน VNC จากใน Bug report มีการโพสแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า คือไปปิดการจำ state ของ numlock ผ่าน dconf-tools

วิธีก็ทำตามด้านล่างนี้ได้เลย

ไปที่ Terminal แล้ว ติดตั้ง dconf-tools แล้วเรียก dconf-editor

$ sudo apt-get install dconf-tools
$ dconf-editor

เข้าไปหาในส่วนของ org.gnome.settings-daemon.peripherals.keyboard

แล้วติ้กเครื่องหมายถูกออกจากตัวเลือก “remember-numlock-state” แล้ว restart เครื่อง ก็เสร็จเรียบร้อย