เปรียบทียบ Microsoft Pro IntelliMouse และ Microsoft Classic IntelliMouse

ในไทยมี Microsoft Classic IntelliMouse ขายอยู่มาปีกว่า ๆ แล้ว แต่ Microsoft Pro IntelliMouse นั้นยังไม่ได้เอามาขายสักที ส่วนตัวผมสั่ง ตัว Pro IntelliMouse มาใช้งานตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ (วันที่ลง blog) ทาง Microsoft ก็ยังไม่เอามาขายสักที จนราคาที่ญี่ปุ่นมันลงมาจนทำราคาได้ดีขึ้นมาก (ถูกลงมากว่า 1,000 บาท รวมค่าส่งและภาษี) ก็เลยเอาข้อมูลมาลงอีกรอบใน blog เปรียบเทียบทั้งสองตัว

  1. ตัว Sensor
    Pro เป็น PixArt PAW 3389PRO-MS รองรับ DPI 16,000 (200-16,000), polling rate 1,000Hz และ refresh rate 12,000 FPS
    การปรับเปลี่ยน DPI ทำผ่านปุ่มด้านซ้ายที่เป็น shortcut key ผ่าน software driver เช่นกัน
    Classic เป็น PixArt PAW 3808EK BlueTrack รองรับ DPI 3,200 (400-3,200) และ polling rate 1,000Hz
  2. ตัว Switch
    Pro ใช้ Omron D2FC-F-7N (การันตี 20 ล้านคลิ๊ก)
    Classic ใช้ Omron 70g (การันตี 10 ล้านคลิ๊ก)
  3. ยางที่ใช้ใช้ทำกริป Pro ใช้ของคุณภาพดีกว่า Classic
  4. ตัวไฟ LED ท้าย mouse ของ Pro เป็น RGB ปรับเปลี่ยนสีได้ผ่าน software driver
  5. สายของ Pro เป็นสายผ้าแบบถัก ส่วนของ Classic เป็นยาง
  6. งานสี งานออกแบบ และงานประกอบ Pro ดีกว่า Classic

ว่ากันง่ายๆ ด้วย sensor และการเลือกใช้ switch ก็พอสรุปได้ว่า “Pro คือ Gaming mouse ส่วน Classic คือ Office mouse”

จากการใช้งานมา 4-5 เดือน Pro IntelliMouse สามารถใช้แทน Gaming mouse ในระดับราคาใกล้ๆ กันได้ดี แน่นอนว่าตัวปุ่ม และลูกเล่นอาจจะเทียบกับกลุ่มที่ทำออกมาเฉพาะได้ยากหน่อย แต่ถ้าคุณชอบแนวการออกแบบของ Pro IntelliMouse ดั่งเดิม ที่มาพร้อมกับ sensor ที่แม่นยำและปุ่มที่ทนทาน เป็นตัวเลือกที่ดีตัวหนึ่ง

สำหรับราคา

  • Microsoft Classic IntelliMouse ราคาขาย $39.99 ราคาในไทยประมาณ 1,390 บาท
  • Microsoft Pro IntelliMouse ราคาขาย $59.99 ยังไม่มีจำหน่ายในไทย ส่วนตัวสั่งผ่าน Amazon JP ซึ่งรวมค่าส่งและภาษีแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 2,3xx บาท ราคาเดือน 8 ปี 2019 (ข้อมูล ณ วันที่ 28/1/2020 ลงมาอยู่ไม่เกิน 1,500 บาทแล้ว โดยรวมค่าส่งและภาษีแล้ว)

รีวิว Xiaomi Mi AirDots

ได้ Xiaomi Mi AirDots มาใช้งานประมาณ 1 เดือน ก็เลยคิดว่ารีวิวจากประสบการณ์ใช้งานจริงสักหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง

ผมจะเขียนเป็นข้อ ๆ ไปน่าจะดีกว่า ชอบและไม่ชอบจะปน ๆ กันไป

  1. ตัวนี้ได้ราคามาประมาณ 1,2xx บาทเห็นจะได้ ฝากร้านเค้าหิ้วมาจากจีน
  2. ในกล่องบรรจุภัณฑ์มีจุกหูฟังสำรองมาให้พร้อมกับ USB to micro USB สำหรับชาร์จ ที่เป็นสายเล็ก ๆ มาให้พร้อมใช้งาน
  3. ตัวที่ได้เป็นสีขาว ตัวหูฟังตอนแรกคิดว่าจะสกปรกง่าย พอใช้ไป ก็พอไหว ไม่แย่มาก
  4. หูฟังเป็นแบบ In-Ear ตัวหูฟังกระชับกับหูดี ใส่แล้วไม่หลุดง่าย แต่ขนาดที่มันเล็กไปหน่อย การถอดใส่ เข้า-ออก ลำบากพอสมควรเพราะมือมักไปโดนตัว touch control ทำให้หยุดเล่นเพลงได้ง่ายมาก ก็รำคาญพอสมควร
  5. กล่องใส่เบากว่าที่คิดไว้ ขนาดกำลังดีใส่กระเป๋าเสื้อได้ กระเป๋ากางเกงก็พอไหว โดยภายในช่องใส่หูฟังเป็นแม่เหล็กช่วยดูดหูฟังลงกล่องพร้อมยึดกับกล่องไม่ให้หลุดออกมา
  6. เปิดกล่องเอาหูฟังใส่หูแล้ว pair เสียงพูดเป็นภาษาจีน และเปลี่ยนไม่ได้ แรก ๆ ก็รำคาญ หลัง ๆ เริ่มชิน
  7. การชาร์จให้แบตเตอรี่ที่หูฟังเต็มจากตัวกล่องจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง สำหรับด้านความจุของแบตเตอรี่ที่ตัวหูฟังรองรับการฟังเพลงได้ประมาณ 4 ชั่วโมง และความจุของแบตเตอรี่ที่ตัวกล่องรองรับชาร์จได้ประมาณ 12 ชั่วโมง
  8. ตัวหูฟังซ้าย-ขวาอิสระจากกันแบบ True Wireless อยากใช้ข้างเดียวก็ได้ หรือทั้งสองข้างก็ได้ จากประสบการณ์ที่ใช้จะ pair ข้างขวาเป็นหลัก ส่วนข้างซ้ายจะมาต่อกับข้างขวาต่ออีกทีหนึ่ง
  9. การฟังเพลง ด้วยความที่ใช้ Sony Xperia XZ1 ที่เป็น Bluetooth 5.0 เช่นเดียวกัน พอใช้ไปแล้วเปิดเชื่อมต่อ มักจะเจอเหตุการณ์เสียงขาด ๆ หาย ๆ อยู่เสมอ ในสภาพแวดล้อมทั้งบนรถไฟฟ้า หรือใน Taxi ระหว่างการเดินทาง แม้แต่นั่งทำงานอยู่ก็ยังเจออยู่บ้าง และหากเจอหนักมาก ๆ บางครั้งหลุดหายไปเลยก็มี ทางแก้ไขที่ทำ ณ ตอนนี้คือ เปิด-ปิดใหม่ บางครั้งต้องเปิด-ปิดซ้ำ 3-4 รอบถึงจะกลับมาเสถียร และเป็นอาการที่เจอได้ทุกวันจนทำใจแล้ว
  10. ระยะทำงานของมันกับมือถือถ้าต่อกันได้แล้วประมาณ 8 – 10 เมตรเห็นจะได้
  11. คุณภาพของไมค์โครโฟนอันนี้สอบตกแทบใช้งานไม่ได้เลย พอจะโทรศัพท์ต้องเปลี่ยนมาใช้ผ่านมือถือเอาแทน ตัวหูฟังให้คุณภาพเสียงส่งให้ผู้ฟังปลายทางได้แย่มาก จับใจความได้ลำบาก
  12. คุณภาพเสียงที่ได้ ก็พอไปวัดไปวาได้ ไม่ได้ดีมากหรอก มีเบสพอตัว กลางกับแหลมก็พอไหว
  13. การควบคุมผ่าน touch control ทำได้ 4 แบบ ซึ่งบางครั้งก็ลำบากในการใช้งาน ด้วยขนาดที่เล็กของมันตามข้อข้างต้น
    • 1 tap คือ เล่นเพลง, หยุดเพลง หรือรับสาย
    • 2 tap คือ ใช้ voice assistant
    • tap ค้าง ประมาณ 3-5 วินาที ไว้คือตัดสายที่กำลังโทรเข้ามา
    • tap ค้าง ประมาณ 10 วินาทีคือปิด

จุดสำคัญที่สร้างความรำคาญที่เป็นจุดใหญ่คือ อาการเสียงขาด ๆ หาย ๆ ที่เจอบ่อย เวลาอารมณ์กำลังดี ๆ แต่เจอเสียงขาด ๆ หาย ๆ จนทำให้อารมณ์เสียก็มี ด้วยความที่ผมมี Sony SBH56 ที่เป็นชุดหูฟัง Bluetooth ซึ่งใช้งานมาก่อนหน้านี้ ก็ไม่เจอมากมายขนาดนี้

สรุป ราคาประมาณพันกว่าบาท กับอะไรประมาณข้างบน ก็คงบ่นอะไรมากไม่ได้ คุณภาพก็ตามราคากันไป ถ้ายอมรับข้อเสียมันได้ ก็ถือว่าไม่แพง คุ้มค่า แต่ถ้ารับไม่ไหว นี่แทบจะโยนทิ้ง (╯°□°)╯︵ ┻━┻

เปิดกล่อง AKB48 Team SH – Type B

ได้รับแผ่น AKB48 Team SH – Type B มาช่วงเต้นเดือนที่ผ่านมา แผ่นนี้ใช้เวลาสั่งค่อนข้างนานมาก เพราะฝากเพจใน facebook หิ้วจากจีนมาให้ โดยราคาขายในจีนอยู่ที่ 248 หยวน หรือประมาณ 1,200 บาท แต่พอรวมค่าหิวและส่ง ก็โดนไปเกือบๆ 1,700 บาทเลยทีเดียว

เรามาดูกันว่าตัวแผ่นทีได้มามีอะไรกันบ้าง โดยเริ่มจากเพลงที่ให้มา มี 3 เพลง Shonichi, Love Trip และ Heavy Rotation

ส่วนใน DVD MV จะเป็น MV Love Trip มาให้

คือเอาจริง ๆ ก็งง ๆ เพราะ Debut ด้วย Digital Single เพลง Love Trip แต่พอเอามาทำแผ่นขาย ดันออกมาเป็น Shonichi มาเป็นเพลงหลัก แล้วในความเป็นจริง ควรทำ MV Shonichi มาใส่เป็นเพลงแรกและ Love Trip เป็นเพลงรองมากกว่าในฐานนะโปรโมทหลักของแผ่นนี้

เรามาดูว่าในตัวกล่อง Single แบบ Type B จะมี

  1. แผ่น CD เพลง
  2. แผ่น DVD MV (Love Trip)
  3. รูปสุ่ม 1 ใบ (รูปสุ่ม 21 เมมเบอร์ จะได้คนละแอคกับ Type A)
  4. บัตร Handshake Coupon
  5. Hand-painted Greeting card 1 ใบ (สุ่มจาก 21 เมมเบอร์)
  6. Lyrics book
  7. Photo book

ในส่วนของรูปสุ่ม 1 ใบ เป็นรูปสุ่ม 21 เมมเบอร์ โดยจะได้จะได้คนละแอคกับ Type A ทำให้ถ้าอยากได้โคลสอัพก็ต้องไปซื้อเพิ่มเอาอีกทีนึง ตัวรูปห่อเป็นพลาสติกมาให้ แล้วมีสติ๊กเกอร์ 3D พร้อมหมายเลขลำดับ ส่วนกระดาษ ก็กระดาษอันรูปธรรมดา ไม่มีสกรีนด้านหลังรูปอะไรเพิ่มเติม

ในส่วนของบัตร Handshake Coupon เป็นรูปรวม มีติ๊กเกอร์ 3D พร้อมหมายเลขลำดับ ตัว QR Code ด้านบน เป็นรหัสที่สุ่มเอาไว้ลงทะเบียนจับมือ บัตรจับมือใน Type B จะไม่เหมือน Type A เพราะ Type B จะเป็นบัตรจับมือรวม ส่วน Type A เป็นแบบเดี่ยว

ของที่ให้มาแตกต่างจาก Type A คือ Hand-painted Greeting card 1 ใบ ที่สุ่มแบบทั้ง 21 แบบ จาก 21 เมมเบอร์

ส่วนสุดท้ายคือ Lyrics book และ Photo book โดยทั้งสองเล่ม ก็คล้าย ๆ กันนะ ตัว Lyrics book จะเป็นรูปเมมเบอร์ในชุดเซมบัตสึ Shonichi สลับกับตัวเนื้อร้อง ทั้งแบบเดี่ยวและรูปหมู่ไปเรื่อย ๆ หลายสิบหน้า และในส่วนของ Photo book จะเป็นรูปเมมเบอร์ในชุดสบาย ๆ ของแต่ละเมมเบอร์ โดยแต่ละเมมเบอร์จะมีรูปคนละ 4-5 รูปไปตลอดทั้งเล่ม คุณภาพเนื้อกระดาษโอเคดีมาก ส่วนภาพที่ถ่ายโดยรวมดูดีนะ เป็น 2 เล่มที่ควรมีเก็บสะสมไว้เลย

ลองของกับ Apacer Thunderbird AST680S (240GB) และ Apacer TURBO II AS710 (128GB)

ผมได้ SSD มาทดสอบอยู่ 2 ตัว เมื่อไม่นานมานี้ เป็นรุ่นที่ระดับ consumer ใช้งาน ยี่ห้อน Apacher รุ่น Thunderbird AST680S (240GB) และ TURBO II AS710 (128GB)โดยทั้งสองรุ่นนั้นมีความสามารถที่เหมือนกันอยู่หลายๆ อย่าง เช่น รองรับ SATA Interface 6.0Gbps, ECC engine correcting, TRIM command support, 256-bit AES encryption and decryption และพร้อมกับประกัน 3 ปี

แต่ทั้งสองรุ่นก็มีข้อแตกต่างกันในการนำไปใช้งานอยู่บ้าง เรามาดูเป็นรุ่นๆ ไปดีกว่า

2015-08-08 15.06.18

Apacer Thunderbird AST680S (240GB)

รุ่น Apacer Thunderbird AST680S ถือเป็นรุ่นที่ระดับบน ความจุ 240GB ในราคาประมาณ 3,1xx บาท ที่ให้ทั้งประสิทธิภาพที่ดีในด้านความเร็วเป็นหลัก ตัวเคสที่ประกอบมีงานแน่นหนามาก ตัวเคสที่ประกอบมีความหนาเพียง 7mm เท่านั้น ทำให้ประกอบใส่เข้ากับ notebook ขนาดเล็กได้

ความเร็วที่ให้ไว้ใน datasheet คือ Interface SATA III 6Gb/s ให้ความเร็วในการอ่าน 550 MB/s และ เขียน 520 MB/s

2015-08-08 15.10.43

2015-08-19 22.17.54 2015-08-19 22.18.06

2015-08-19 22.18.12 2015-08-19 22.18.30

โดยการทดสอบ ผมนำเอา SSD รุ่นดังกล่าวมาติดตั้ง OS แล้ววัดความเร็วด้วย AS SSD Benchmark ให้ชมกัน

as-ssd-bench Apacer AST680S 2 19.8.2558 22-06-17 as-ssd-bench Apacer AST680S 2 19.8.2558 22-06-09

as-copy-bench Apacer AST680S 2 19.8.2558 22-11-27

จะเห็นในด้านความเร็วทั้ง MB/s และ IOPS ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ใกล้เคียงกับ datasheet

as-compr-bench Apacer AST680S 2 19.8.2558 22-05-32

มาดูที่การทำความเร็วว่าทำงานได้สม่ำเสมอมากแค่ไหน โดยจากกราฟจะเห็นว่า ความเร็วที่ได้นั้น ค่อนข้างนิ่ง ถือว่าผ่านในการทดสอบความนิ่งในการใช้งาน

Apacer TURBO II AS710 (128GB)

รุ่น Apacer TURBO II AS710 ถือเป็นรุ่นที่ระดับกลาง ที่ให้ความจุ 128GB ในราคาประมาณ 2,6xx บาท ที่ให้ทั้งประสิทธิภาพที่ดีในด้านความเร็วปานกลาง ตัวเคสที่ประกอบที่แน่หนา แต่เบากว่า  Apacer Thunderbird AST680S ซึ่งคาดว่าเพื่อไว้สำหรับพกพา เพราะในรุ่นนี้ สามารถเชื่อมต่อผ่าน USB 3.0 ได้โดยตรง โดยตัวเคสที่ประกอบมีความหนาเพียง 7mm เท่านั้น ทำให้ประกอบใส่เข้ากับ notebook ขนาดเล็กได้

2015-08-08 23.55.14

2015-08-08 18.43.00 2015-08-08 18.43.59

2015-08-08 18.45.29 HDR 2015-08-08 18.45.52 HDR

ในด้านความเร็วนั้น การทำงานทั้งผ่าน SATA และ USB 3.0 นั้น ให้ความเร็วใกล้เคียงกัน โดยความเร็ว USB 3.0 นั้นขึ้นอยู่กับ interface controller ของเครื่องนั้นๆ ด้วยว่าสามารถทำความเร็วได้แค่ไหนด้วย หากเป็น interface controller รุ่นใหม่ๆ จะทำความเร็วได้เสถียรและใกล้เคียงกับ SATA มาก

as-ssd-bench Apacer AS710 128 19.8.2558 22-31-47 as-ssd-bench Apacer AS710 128 19.8.2558 22-32-00

as-copy-bench Apacer AS710 128 19.8.2558 22-37-47

จะเห็นในด้านความเร็วทั้ง MB/s และ IOPS ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ใกล้เคียงกับ datasheet

as-compr-bench Apacer AS710 128 19.8.2558 22-33-38

มาดูที่การทำความเร็วว่าทำงานได้สม่ำเสมอมากแค่ไหน โดยจากกราฟจะเห็นว่า ความเร็วที่ได้นั้นค่อยวิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแตกต่างจาก Apacer Thunderbird AST680S รุ่นที่เหนือกว่าตัวนี้ คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องของ cache และตัว controller ตัวนี้ที่อาจเกี่ยวกับ interface ที่มี USB 3.0 เป็นส่วนเสริมเข้ามา

สรุป

ความรู้สึกหลังจากใช้งานทั้งสองตัวโดยรวมแล้ว Apacer Thunderbird AST680S (240GB) ให้ตอบสนองการใช้งานที่จำเป็นต้องการประสิทธิภาพที่สูงกว่ามาก สำหรับคนที่ต้องการลงทุนสำหรับการใช้ติดตั้ง OS น่าจะชื่นชอบตัวนี้ อีกทั้งตาม endurance rating ของรุ่นนี้ ที่ระบุไว้ที่ 670 TBW ทำให้ตอบโจทย์การใช้งานที่ต้องการความทนทานสูง และสำหรับ Apacer TURBO II AS710 (128GB) นั้น น่าจะเหมาะกับการนำมาพกพามากกว่า เพราะมีน้ำหนักเบา และถึงแม้ว่าจะมีประสิทธิภาพที่น้อยกว่ารุ่นบนที่นำมาทดสอบคู่กัน แต่ endurance rating ของรุ่นนี้ ที่ระบุไว้ที่ 340 TBW ก็ถือว่าให้ตัวเลขมาได้ค่อนข้างน่าสนใจ และถือว่าสูงเมื่อเทียบกับความจุและราคาที่ได้

หมายเหตุ สำหรับใครสงสัยเรื่อง endurance rating สามารถเข้าไปได้ตาม link ที่ได้ทำไว้ครับ

รีวิว LG 34UC97 Curved Ultrawide monitor 21:9 IPS QHD LED 34” ที่เหมาะสำหรับเล่นเกมและทำงาน ให้ความรู้สึกเหมือนต่อ 2 จอ

หลังจากรีวิว LG 29UM65 Ultrawide 21:9 IPS LED monitor ขนาด 29” ไปก่อนหน้านี้ วันนี้ได้มีโอกาสได้ทดลองใช้งาน LG 34UC97 อีกครั้งประมาณ 2 อาทิตย์ โดยรอบนี้ไม่ได้มาแค่เฉพาะ 21:9 เท่านั้น แต่มาพร้อมความกับการออกแบบที่ตัวจอภาพมีความโค้งรับการกับการกวาดสายตา เมื่อเวลาใช้งาน และด้วยความที่เป็นจอภาพสัดส่วน 21:9 ซึ่งทำให้มันเหมาะกับใช้ทำงานเอกสารที่ต้องใช้การเปิดหลายๆ หน้าต่างแล้วอีกด้วย

IMG_20150202_114208

 

แรกเริ่มสัมผัส

image

จากรีวิวเก่า เราขอเล่าซ้ำสักหน่อยว่า โดยจากแผนภาพด้านล่าง จะเห็นได้ชัดเจนถึงขนาดของจอภาพ 21:9 ที่ได้พื้นที่แนวกว้างเพิ่มมากขึ้นกว่า 16:9 หรือ 16:10 อยู่ถึง 1 ใน 5 นั้นทำให้มันมีพื้นที่ในการทำงานในแนวนอนเยอะมากขึ้นจนสามารถที่จะเปิด หน้าต่างของโปรแกรมได้ถึง 2-3 หน้าต่างพร้อมๆ กันในแนวนอนได้

https://www.thaicyberpoint.com/ford/blog/wp-content/filesuploaded/Image/-LG-29UM65-Ultrawide-IPS-LED-monitor_10310/image.png

สำหรับความกว้างในการแสดงผลของสีนั้น LG ก็ทำได้ตามที่บอกไว้ (เส้นสีแดง)โดยจากคำโฆษณานั้นรองรับ sRGB >  99% ซึ่งจากการที่ใช้งานมานั้น ผลการแสดงผลสีสันระหว่างการใช้งานตกแต่งรูปทำได้ดีเยี่ยม การไล่แฉดสีทำได้เที่ยงตรงดี แต่ต้อง calibrate monitor สักหน่อย (โดยผมจะมีกล่าวต่อเรื่อยๆ ว่าทำไม)

2015-02-15_191853

ช่องเชื่อมต่อที่เครื่องมีให้ มีดังต่อไปนี้

  1. ช่องต่อ Power Adapter
  2. ช่องต่อหูฟัง 3.5 mm
  3. ช่องต่อ HDMI 1-2 โดยให้มา 2 ช่อง ขนาดปรกติ
  4. ช่องต่อ Display Port ขนาดปรกติ
  5. ช่องต่อ Thunderbolt 1-2 โดยเพื่อรองรับการเชื่อมต่อแบบ Daisy-Chain
  6. ช่องต่อ USB 3.0 แบบขาเข้าสำหรับใช้ต่อร่วมกับ USB 3.0 ที่เป็นช่องขาออกที่มีให้ 2 ช่อง
  7. ช่องต่อ USB 3.0 ขาออกให้ที่ได้รับสัญญาณข้อมูลจาก USB 3.0 ขาเข้า โดยมันสามารถเอาไว้ชาร์จไฟมือถือที่ต้องการแรงดันไฟขนาด 1.1A ได้

ด้านซ้ายสุดจะมีปุ่มเปิด-ปิด

DSC_7944

2015-02-16_130802

สำหรับในส่วนของฐานจอภาพนั้น เป็นเหล็กชุบโครเมียมอย่างดี น้ำหนักค่อนข้างมา ลับคมตามขอบดีเยี่ยม

DSC_7927c

การเชื่อมต่อของตัวฐานจอภาพ และส่วนที่ยึดเข้ากับจอภาพนั้นใช้น็อตทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน โดยที่ฐานจอ 2 ตัวและที่ตัวจอภาพ 2 ตัว

น้ำหนักของจอภาพที่ลองกับฐานจอภาพนั้นจะถ่ายน้ำหนักได้ค่อนข้างดี โดยจะมีน้ำหนักลงไปตรงกลางระหว่างจุดด้านหน้าและด้านหลังจอภาพ ทำให้เมื่อตั้งจอภาพแล้วจอภาพไม่หงายหลังล้มได้ง่ายแต่อย่างใด

DSC_7921c DSC_7916c

อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องนั้น มีคู่มือ แผ่น CD บรรจุ driver/software จำนวน 2 แผ่น, power adapter ขนาดใหญ่ (มาก), สาย DisplayPort, สาย HDMI และแผ่นพลาสติกปิดจอภาพด้านหลังบริเวณช่องต่อต่างๆ ให้ดูเรียบร้อยขึ้น

DSC_7897c

โดยส่วนตัวแล้วการต่อจอภาพเพื่อใช้งานให้ได้ภาพขนาด ระดับ QHD (3,440×1,440 pixel) ตามคุณสมบัติของจอภาพนั้น ผมต้องต่อผ่าน DisplayPort ซึ่งช่องต่อจอของรุ่นนี้อาจจะมีปัญหาสักหน่อย เพราะด้วยหัวของสาย DiaplayPort ที่ใหญ่และแข็ง อาจจะต้องใช้แรงในการกดเข้าไปต่อ และใช้แรงกดและดึงออกมา เมื่อปลดออก ซึ่งตรงนี้ต้องระวังกันสักหน่อย และเมื่อต่อเข้าไปเรียบร้อยแล้วจะก็เอาแผ่นปิดหลังจอมาปิดให้เรียบร้อย

จากข้อมูลข้างต้น จอภาพรุ่นนี้เป็นจอภาพระดับ QHD (3,440×1,440 pixel) หรือระดับเทียบเท่า 2K หรือ 2,560 x , 1,440 pixel แต่เพิ่มความกว้างเข้ามาเพิ่มขึ้นนั้นเอง

DSC_7844

ประกอบเสร็จเรียบร้อย ก็พร้อมใช้งาน ด้วยขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ และด้านกว้างที่กว้างพอสมควร ทำให้ต้องกวาดสายตาไปมาค่อนข้างมา เวลาใช้จริงๆ อาจจะต้องปรับตัวอยู่นานพอสมควร

ตัวจุดต่อกับฐานจอภาพนั้น สามารถใช้ Wallmount Bracket ที่เป็นอุปกรณ์เสริมของ LG เพื่อนำไปแขวนบนผนังได้ด้วย

 

ความรู้สึกระหว่างการใช้งาน

DSC_7848

มาดูความโค้งของจอภาพนั้นไม่ได้โค้งจนหน้ากลัว หรือทำความคุ้นเคยยากเกินไปนัก ส่วนตัวแล้วใช้เวลาปรับตัวอยู่ 2-3 วันก็คุ้นเคยได้อย่างดี การโค้งของจอภาพแบบนี้นั้น ช่วยในการทำงานในระยะใกล้ๆ ที่ตาของผู้ใช้งานห่างจากจอภาพประมาณ 50-60 cm ได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้เราไม่ต้องชะโงกไปซ้าย-ขวาไปมาเวลาดูมุมจอภาพ เพราะด้วยความที่จอภาพนั้นยาวกว่าความคุ้นเคยตามปรกติที่ใช้งานกัน 16:9 ในแบบ Full HD แบบเดิมๆ (รูปสุดท้ายด้านล่าง)

DSC_7835 DSC_7837

DSC_7803c

การปรับจอภาพนั้นใช้จอยสติ๊กเล็กๆ ที่ด้านล่างขอภาพที่ถูกซ่อนไว้ โดยเมนูจะเพิ่มเติมขึ้นมา โดยในรุ่นนี้ยังคงมีความสามารถที่ชื่อว่า Dual Link คือต่อจอภาพจากแหล่งสัญญาณภาพหลายแหล่งให้แสดงผลได้พร้อมๆ กัน

สำหรับความสามารถที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ MaxxAudio ที่ให้เสียงลำโพงที่อยู่ที่จอภาพนั้นดังมากขึ้น ซึ่งคงจะเหมาะกับหลายๆ คนที่ไม่อยากมีลำโพงตั้งอยู่บนโต๊ะทั่วๆ ไป การมาซ่อนและอยู่กับจอภาพก็ทำให้โต๊ะดูโล่งมากขึ้น และดูสะอาดตา แต่เรื่องมิติเสียงนั้น ส่วนตัวแล้วเฉยๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไร

ในส่วนของความสว่างของจอภาพนั้น ตัวจอภาพให้ความสว่างที่ค่อนข้างมาก แต่ด้วยการ calibrate จอภาพที่เหมาะสมต่อการใช้งานด้านภาพถ่ายและงานเอกสาร จึงต้องปรับลดคามมสว่างลงมาค่อนข้างเยอะ โดยจากที่ได้ทดสอบนั้น ต้องลดลงไปเกือบๆ 40 unit (หน่วยของการปรับของจอรุ่นนี้) แต่ดูเหมือนว่าที่ 40 จะให้แสงสว่าง 132cd/m^2 และไม่สามารถลดลงไปมากกว่านี้ได้แล้ว ซึ่งตามปรกติ จอภาพที่ใช้ทำงานด้านภาพถ่ายจะปรับลดลงเหลือเหลือประมาณ 120cd/m^2 ก็อาจจะลำบากสักหน่อยกับงานภาพที่ต้องการดูโทนสีด้านมืดที่ดำสนิท

DSC_7852

image image

สำหรับการเล่นเกมบนจอกว้างๆ แบบนี้ ก็ดูเแปลกตากว่าปรกติมากเลย ผมได้เอาเกม Batman Arkham Origins มาลองเล่นดู โดยรวมพอเล่นไหว แต่ด้วยเครื่องที่มีการ์ดจอแรงเมื่อหลายปีก่อน เลยกระตุกอยู่พอสมควร เพราะต้องขับความละเอียดของเกมไปที่ระดับ 3,440 x 1,440 pixel หากต้องเล่นเกมบนความละเอียดขนาดนนี้ แนะนำให้การเครื่องที่แรงๆ และการ์ดจอที่แรงสุด ๆ มาเล่น ผมคิดว่าจะได้รับความบันเทิงที่แปลกใหม่มากขึ้น

DSC_7830

ระหว่างการเล่น Batman Arkham Origins จะสังเกตเห็นโทนสีฝั่งมืดที่มองยากกว่าปรกติ โดยเฉพาะเงาในที่มืด แต่ทั้งนี้คงเป็นเป็นตอนที่ยังไม่ได้ calibrate monitor และหลังจากที่ calibrate monitor แล้ว การแสดงผลโทนสีดำและโดนเงากลับแสดงผลได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งนั้นเป็นที่ค่อนข้างแน่ว่า หากได้จอภาพมา อาจจะต้องทำ calibrate monitor เพิ่มเติมสักหน่อย เพื่อการแสดงผลช่วงมืดที่ดีมากขึ้น

DSC_7815

สำหรับการแสดงผลของภาพยนต์ต่างๆ นั้น เรื่องความกว้างและการแสดงผลด้านสีสันไม่ได้แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง LG 29UM65 มากมายนัก แต่ด้วยความที่จอภาพเป็นแบบโค้ง จึงให้ความรู้สึกเหมือนดูบนจอภาพยนต์ตามโรงภายยนต์มากขึ้น (โรงภาพยนต์ส่วนใหญ่จะจอโค้งหน่อยๆ)

DSC_7858c

ในด้านการใช้งานทั่วไปนั้น แน่นอนว่าจอภาพละเอียดระดับ 3,440 x 1,440 pixel ย่อมให้พื้นที่ในการทำงานมากขึ้น โดยระหว่างนำมาทดสอบ ก็ใช้เอามาดูไฟล์ต่างๆ ที่เรียงกันได้มากขึ้น (แต่ก็นั่งไล่กันลายตาขึ้น) ได้พื้นที่สำหรับการทำงานหลายๆ อย่างพร้อมๆ กันนั้น ทำให้การทำงานสะดวกสบายเพิ่มขึ้น

ส่วนตัวเป็นคนใช้ทำงานด้านเอกสาร และการพัฒนาโปรแกรมต่างๆ อยู่แล้ว เมื่อเอามาใช้ทำงานด้านนี้แล้ว ค่อนข้างสะดวกสบายอย่างมาก

DSC_7886

DSC_7860 DSC_7887

 

สรุปการใช้งานระหว่างทดสอบ

  1. จอภาพโค้ง ให้ประสบการณ์ในการใช้งานที่แปลกใหม่กว่าเดิมอย่างมาก ช่วยให้การใช้งานนั้นสะดวกในการกวาดจอภาพให้ครบทั้งพื้นที่ของจอภาพที่เป็นสัดส่วน 21:9 ได้มากขึ้น
  2. การแสดงผลระหว่างการเล่นเกมและดูภาพยนต์ทำได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะต้อง calibrate monitor ก่อนเพื่อให้การแสดงผลส่วนมืดทำได้ดีมากขึ้น ซึ่งคงไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป แต่สำหรับมืออาชีพแล้ว ค่อนข้างแสดงได้ดีหลังจาก calibrate monitor แล้ว
  3. ช่องเชื่อมต่อต่างๆ หลังจอภาพมีความหลากหลายอย่างมาก port USB 3.0 ให้มานั้น ไม่ใช่แค่ช่วยให้เชื่อมต่อกับ external hard drive หรือ flash drive ต่างๆ ได้ แต่ยังเชื่อมต่อชาร์จไฟเข้าอุปกรณ์อย่างมือถือ หรือแท็บเล็ตได้ด้วย
  4. ราคาในไทยขายอยู่ที่ราคา 32,900 บาท ซึ่งขนาดจอภาพ ความสามารถ และราคาระดับนี้ น่าจะเหมาะสมกับมืออาชีพที่ทำงานด้านภาพถ่าย วิดีโอ หรืองานด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์มากกว่า แน่นอนว่า กลุ่มเป้าหมายของ LG ที่ทำตลาดจอภาพรุ่นนี้ มุ่งจำหน่ายกลุ่มเพื่อความบันเทิงอย่างการเล่นเกมด้วย ซึ่งส่วนตัวอาจจะเป็นทางเลือกที่แพงไปสักหน่อย แต่เรื่องนี้ต้องอยู่ที่กลุ่มผู้ซื้อที่เอาไปเล่นเกมนั้นเป็นกลุ่มที่เล่นเกมแนวไหน หากเป็น hard core gamer เล่นเกมแนว FPS แล้ว ก็อาจจะมองค่าตัวระดับนี้ไม่ใช่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด
  5. การแสดงผลความละเอียดระดับนี้อาจจะต้องตรวจสอบการ์ดจอและจุดเชื่อมต่อของเครื่องที่จะเอามาเชื่อมต่อว่าพร้อมหรือไม่ เพราะหากไม่พร้อม อาจจะซื้อของแพงมา แต่ใช้งานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพได้ (ซึ่งน่าเสียดายมาก) และแน่นอนว่าการใช้จอภาพความละเอียดระดับนี้ ต้องใช้คู่กับ mouse ที่มีความละเอียดสูงมากๆ (high dpi) ไม่เช่นนั้น การลากเมาส์ไปจุดต่างๆ บนจอภาพจะไม่สะดวกอย่างมาก

ข้อมูลด้านเทคนิดอื่นๆ LG UltraWide QHD IPS Monitor 34UC97 34″ 21:9 Curved UltraWide Monitor – LG Electronics TH