รีวิวใช้งานจริงกับ HP Deskjet Ink Advantage 3545 ตอนที่ 2

ต่อจาก รีวิวใช้งานจริงกับ HP Deskjet Ink Advantage 3545 ตอนที่ 1 ในตอนที่ 2 นี้จะพูดถึงการนำ HP Deskjet Ink Advantage 3545  มาพิมพ์รูปถ่าย และเอกสารผ่านแท็บแล็ต-มือถือต่างๆ กัน

โดยอุปกรณ์ที่นำมาทดสอบให้ดูมีดังต่อไปนี้
– iPad (iPad Air)
– Android Tablet (Lenovo IdeaTab A3000)
– Android Phone (LG G2)
– Windows RT 8.1 (Surface RT)

ตัวอย่างการเชื่อมต่อแบบ Wireless Direct เข้ากับมือถือ Android

ในบางครั้ง เราไม่ได้เชื่อมต่อ internet อาจจะพบปัญหาได้ เราย้อนกลับมาที่ความสามารถ Wireless Direct ที่สามารถเชื่อมต่อกับ HP Deskjet Ink Advantage 3545 ได้โดยตรง โดยเราสามารถเชื่อมต่อได้ผ่านเมนู WiFi ได้โดยตรง และกรอกรหัสผ่านตามที่เครื่องได้สุ่มไว้ให้เรา

Screenshot_2014-07-06-23-24-42_thumb[2] Screenshot_2014-07-06-23-25-07_thumb[2]

Read more

รีวิวใช้งานจริงกับ HP Deskjet Ink Advantage 3545 ตอนที่ 1

รีวิวนี้ค่อนข้างยาวพอสมควร เพราะในตอนแรกกะว่าจะเขียนตอนเดียวจบ แต่หลังจากใช้งานเครื่องพิมพ์ HP Deskjet Ink Advantage 3545 e-All-in-One Printer  (ต่อไปจะเรียก HP Deskjet Ink Advantage 3545) แล้วพบว่ายิ่งใช้ ยิ่งปรับแต่ง ยิ่งพบความสามารถที่มากมายจนเขียนตอนเดียวไม่หมด ผมจึงแบ่งออกมาเป็น 3 ตอนขั้นต่ำ และในขณะที่เขียนตอนที่ 1 อยู่ ตอนที่ 3 ยังเขียนไม่ครบเลย

  1. พูดถึงความสามารถโดยรวม และการใช้งานร่วมกับ HP Connected และ Google Cloud Print และทดสอบพิมพ์ผ่าน Android Phone (LG G2) และ Android Tablet (Lenovo IdeaTab A3000)
  2. พูดถึงการพิมพ์รูปถ่าย และเอกสารผ่านแท็บแล็ต-มือถือ
    – iPad (iPad Air)
    – Android Tablet (Lenovo IdeaTab A3000)
    – Android Phone (LG G2)
    – Windows RT 8.1 (Surface RT)
  3. จัดการเครื่องระยะไกลและการสแกนเอกสาร (Webscan, HP Scan and Capture และ HP AiO Remote)

โดยผมได้ HP Deskjet Ink Advantage 3545 มาใช้สักพักใหญ่ๆ มันเป็นเครื่องพิมพ์แบบมัลติฟังก์ชั่นแบบหมึกพ่น หรือ Ink Jet ที่มีความสามารถไม่ใช่แค่พิมพ์ภาพสวย แต่ยังพ่วงเอาความสามารถมัลติฟังก์ชั่นแบบไร้สายเอาไว้ด้วย โดย HP Deskjet Ink Advantage 3545 นั้นถูกผลิตมาช่วยให้การทำงานของเราสะดวกสบายมากขึ้นด้วยความสามารถในการควบคุมผ่านเครือข่ายไร้สาย (WiFi) และแบบ Cloud แบบเต็มที่ โดยมีความสามารถแบบย่อๆ คือสามารถ Print, Copy, Scan และ Photo ได้ในเครื่องเดียว แน่นอนว่าช่วยให้เราสามารถทำงานได้คล่องตัว พร้อมกับการรับประกันสินค้า 2 ปี และรูปแบบการรับประกันแบบใหม่ที่เรียกว่า Smart Friend โดยทั้งหมดในราคาไม่ถึง 4,000 บาท

Smart Friend เป็นบริการรับส่งเครื่องถึงที่ เวลาเครื่องของเรามีปัญหาสามารถให้พนักงาน HP มารับไปซ่อมได้เลยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปศูนย์แต่อย่างใด ซึ่งจะครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ก็ยังมีบริการเสริมอื่นอีกได้แก่ บริการรับ-ส่งซ่อมเครื่องถึงบ้าน ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ตลอด 24 ชม. บริการกู้คืนข้อมูล บริการตรวจเช็คสภาพผลิตภัณฑ์ บริการรับซ่อมทันใจ สอบถามความพึงพอใจหลังให้บริการ

โดยเรามาพูดถึงความเร็วในการพิมพ์นั้นอยู่ที่ประมาณ 8 แผ่นต่อนาที จากที่ลองใช้จริงจะอยู่ประมาณ 6 แผ่นกว่าๆ ด้วยการพิมพ์เอกสารปรกติทั่วไป ส่วนรูปถ่ายนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 2-4 แผ่นต่อนาที (กระดาษขนาด 4×6”) โดยความละเอียดในการพิมพ์ภาพสีอยู่ที่ 4800 x 1200 dpi บนกระดาศสำหรับพิมพ์ภาพถ่าย ส่วนสีดำอยู่ที่ 1200 x 600 dpi บนกระดาษทั่วไป

DSC_7643

ตัวเครื่อง และสิ่งที่ให้มา

ตัวเครื่องนั้นเป็นพลาสติกมันวาว ฝาด้านบนเป็นสีดำด้าน มีหน้าจอ LCD ขนาด 2 นิ้ว แบบ Hi-Res Mono LCD ถาดใส่กระดาษได้ประมาณ 100 แผ่น และถาดรับกระดาษเมื่อพิมพ์เสร็จได้ 30 แผ่น สามารถพิมพ์หน้าหลักได้อัตโนมัติโดยไม่ต้องกลับหน้าเอง (Automatic Duplex) และการพิมพ์แบบไร้ขอบ (Borderless printing) ซึ่งขนาดกระดาษมาตราฐานที่ใช้ได้คือ A4, A5, B5, DL, C6, A6, และแบบปรับแต่งเองอยู่ที่ขนาดกว้าง 76 – 216 mm และยาว 127 – 356 mm โดยตัวเครื่องสามารถแสกนเอกสารแบบไร้สายได้ โดยการสั่งแสกนผ่านทางแอพเพื่อ Remote scan และผ่านเว็บด้วยความสามารถ Webscan ได้ด้วย ซึ่งเดี่ยวจะพูดถึงต่อไป

ส่วนอีกความสามารถคือ มันทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร โดยแสกนแล้วพิมพ์ในการใช้งานฟังก์ชั่น Copy ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์แต่อย่างใด

DSC_7636 DSC_7637

สำหรับตลับหมึกที่ให้มานั้นเป็น HP 678 Black ที่พิมพ์สีดำได้ประมาณ 480 หน้า และ HP 678 Tri-color ที่พิมพ์สีได้ประมาณ 150 หน้า  (ตามสเปคที่ให้มา) โดยหมึกทั้ง 2 รุ่นนี้จะมีหัวพิมพ์อยู่ที่ตลับหมึกเลย เปลี่ยนตลับก็เปลี่ยนหัวพิมพ์ไปพร้อม ๆ กันด้วย

DSC_7630 DSC_7638

ความสามารถโดดเด่นของเครื่องรุ่นนี้คือ การทำงานร่วมกับเครื่องแบบไร้สายโดยไม่ต้องต่อสายเข้ากับคอมพิวเตอร์ใดๆ แค่ให้มันเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wireless หรือใช้การเข้าถึงแบบ Wireless Direct เท่านั้น เราจะมาดูกันแบบลึกๆ ว่าความสามารถต่างๆ นั้นตั้งค่า และทำงานอย่างไรบ้างกันดีกว่า

Read more

ทำความสะอาดเครื่อง Printer เพื่อนยากของเราสักหน่อย ………

ทำความสะอาดเครื่อง Printer สักหน่อย ………

เมื่อวานนี้เพิ่งเอารางที่รองรับน้ำหมึก ที่ใช้ในการล้างน้ำหมึกออกจากหัวพ่นออกมา ซึ่งถ้าใครแกะออกมาคงตกใจว่าหมึกทำไมมันเยอะมหาศาลมาก ขนาดที่ว่าเอามันแข็งมากๆ กว่าจะแงะออกมาได้ มันเป็นก้อนๆ เลยครับ

จริงๆ HP DJ 930c ของผมเนี่ยมีอายุได้ 4 ปีแล้ว แต่พิมพ์งานได้เนียบเหมือนเดิม แต่มาระยะหลังๆ ตัวอักษรที่พิมพ์เป็นสีดำมันออกมาลายๆ แรก ๆ ก็ว่าน่าจะเป็นที่ตลับหมึก แต่พอไปให้ช่างที่เติมหมึกดูหัวก็บอกว่าใช้ได้นิ เลยสัญนิฐานว่าเป็นที่เครื่อง ช่างแนะนำว่าให้ถอดออกมาเอาหมึกที่คั่งออกมาหรือ เช็ดทำความสะอาดบริเวณ ที่พักตลับหมึกดูน่าจะหาย

ผมก็จัดการแงะเครื่องเลย คือไม่กลัวมันหมดประกันหรอก เพราะว่ามันหมดไปตั้งนานแล้ว และจากที่สอบถาม HP ก็ได้คำตอบว่ารุ่นนี้ไม่ support อะไหล่แล้ว คาดว่าไม่ได้ spare part ไว้แล้วในไทย คือถ้าเครื่อง HP DJ 930c ของผมเสียก็ซื้อใหม่ได้เลย โดยเอาเครื่องไปเทิร์นในราคาส่วนลดเครื่องใหม่ 400 – 500 บาท ครับ ซึ่งผมนี่งงเลย เครื่องผมซื้อมา 9,000 กว่าๆ ได้ แต่ขายเทิร์นได้แค่เนี้ย แต่เอาเหอะ ช่างมัน ไม่คิดมากเพราะว่าไม่ได้คิดจะเทิร์นอยู่แล้ว เลยลองแกะมาทำความสะอาดบริเวณที่พักตลับหมึกก่อน ดีกว่า เพราะจากการสัญนิฐานของตัวเองน่าจะเป็นบริเวณที่สัมผัสกับตัวหัวพ่นหมึกมากที่สุดที่หนึ่ง การประกอบกับที่พักตลับหมึกและที่ล้างหัวพ่นอยู่ที่เดียวกันเลยทำทีเดียวได้สองอย่างเลย แต่รุ่นเล็กอีกตัวของผมคือ HP Deskjet 3325 ของผมมันอยู่กันคนละที่ ก็เลยว่าจะทำเหมือนกัน เพราะว่าหมดประกันแล้ว ตอนนี้ก็เลยทำดูดีกว่า ที่กว่าไปซ่อม หรือให้ที่ ศ. ล้างให้คงเสียค่าบริการอีกมากเลยหล่ะ และการทำแบบนี้ก็อาจทำให้การพิมพ์งานของผมดีขึ้นเหมือนซื้อเครื่องใหม่ได้เลย เพราะจากที่ได้เอาไฟฉ่ายสังเกตุดูมันมีคราบเยอะมากๆ และมีก้อนของน้ำหมึกจับกันเป็นก้อนแข็งขนาด 1″ x 0.5″ ตับตัวอยู่ 1 – 2 ก้อน โดยประมาณ

การแกะก็ทำไม่ยาก ใช้ความรู้ทางช่างนิดหน่อย ประกอบกับทักษะการประกอบหุ่นยนต์ เล็กหน่อย คือมันคล้ายๆ กันน่ะ ถ้าอ่านในคู่มือ ก็คงมีแต่อันนี้มันเร่งๆ เพราะมีงานต้อง print อยู่ เลยจัดการสำรวจ และแงะ แกะ เกามันออกมาซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร เพราะว่าตัวเครื่องนี่มีน็อตแค่ 2 ตัว และมีสลักยึกตัวเครื่องระหว่างด้านฐานตัว Printer กับตัวฝาครอบ อยู่ 4 จุด และฝาครอบถาดกระดาษอีก 2 จุดก็แกะมันออกมาได้แล้ว เลยเห็นที่พักตลับหมึก และบริเวณสำหรับล้างหัวพ่นอยู่ก็ใช้ แอลกอฮอลในการเช็ดๆ ส่วนที่เป็นที่พักหมึก แนะนำว่าอย่าใช้ทินเนอร์ เด็ดขาด เพราะว่าบางรุ่นเป็นยาง อาจทำให้ละลายได้ ให้ใช้แอลกอฮอลผสมน้ำอ่อนๆ เช็ดจะดีกว่าครับ เช็ดออกมาได้ หมึกที่เป็นก้อนขนาดใหญ่รวมๆ กันแล้วขนาดประมาณ 1″ x 2″ ได้ครับ นี่สะสมมา 4 ปีนะครับ …. และทำการเช็ดทำความสะอาดบริเวณแท่นพักตลับหมึกด้วย บริเวณนั้นส่วนมากจะเป็นยาง ครับ ใช้แอลกอฮอลผสมน้ำนิดนึง ก็ออก ทำความสะอาดอีกหน่อยก็เสร็จ …….

และทำการทดสอบการพิมพ์ได้ผลในการพิมพ์เป็นเยี่ยมครับ ตัวอักษรที่ลายๆ กลับมาคมดั่ง laser เหมือมเดิมครับ …… ใครที่ใช้ HP หรือ Epson ลองๆ สักเกตุดูนะครับ ….. และไม่แนะนำให้แกะเครื่องถ้ายังอยู่ในประกันครับ แต่ว่าถ้าหมดประกันแล้วก็ตามสบายท่านแล้วกัน

อ่อ อีกเรื่องครับ การที่แท่นพักตลับหมึกมีคราบมากๆ เป็นสาเหตุ อีกสาเหตุที่ทำให้หัวพ่นหมึกของ inkjet ตันครับ ……

และหัวพ่นของ inkjet ห้ามใช้ ทินเนอร์ในการเช็ดนะครับ ให้ใช้น้ำประปาอุ่นๆ สะอาดๆ เช็ดโดยใช้สำลีจุ่มน้ำเช็ดออกครับ เพราะว่าผมเคยใช ทินเนอร์เช็ดหัวพ่นของตลับหมึก HP ที่เกือบหมดแล้ว ตลับพังเลย เพราะว่าหัวพ่นมันเสียครับ ….. T_T

HP ไม่ยอมเคลม หมึก Printer InkJet ให้ … ซะงั้น

เซงจริงๆ เราว่าเราเช็คดีแล้วนะว่าเครื่อง Printer เราไม่มีปัญหา เพราะว่าเราก็ไม่เคยเอาไปใช้ที่ไหน ตั้งไว้อยู่ที่บ้านมาก็จะ 4 ปีแล้ว ทนดี แถมไม่ค่อยได้พิมพ์มากมายนัก เพราะว่ามาเรียนที่มหาวิทยาลัย ใช้ HP Deskjet อีกรุ่นนึง ก็ใช้ดี พิมพ์งานเยอะมาก เยอะกว่าเครื่องที่บ้านแล้วมั้ง …..

แต่ว่าเครื่องที่บ้านที่แคลมหมึกเพราะว่ามันแพงอ่ะนะ คือตลับนึงก็ 1,300 กว่าบาทแล้ว เงินมันไม่ใช่หาได้ง่ายๆ ถ้าเสียก็ต้องแคลมเพราะว่ามันอยู่ในประกันอ่ะนะ

ส่วนอาการคือมันพิมพ์เป็นเส้น ทาง HP บอกว่าเป็นที่ Printer จะบ้า เหรอไง หัวพิมพ์มันอยู่ที่ตลับหมึกมันเกี่ยวอะไรกับ เครื่องด้วยเนี่ย เฮ้อ …. เอากับมันดิเนี่ย ตอนนี้ก็กำลังรออยู่ว่าจะเอายังไง เพราะว่าเห็นว่าจะให้เอาเครื่องไว้ที่ศูนย์ก่อน เค้าจะเอาตลับหมึกอันใหม่มาทดสอบดู แต่จากที่เค้าเอาตลับหมึกส่งไปให้ที่ กรุงเทพฯ ก็บอกว่าตลับไม่เสีย อ้าววว ไรฟร่ะ ก็เครื่องมันแจ้งว่าตลับเสียด้วยนะเนี่ย แถมพิมพ์เป็นเส้นๆๆ

ตอนนี้เลยรอผลก่อนแล้วกันว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ ……

Laser Printer ความละเอียดต่ำกว่า InkJet Printer เยอะ แต่ทำไมราคาแพงกว่า ?

เรื่องนี้ต้องมาดูองค์ประกอบหลักของพิมพ์ครับ

1. การฉีดน้ำหมึก (InkJet)
2. การฉาบผงหมึก (Draft หรือเรียกว่า Laser เพราะใช้แสง ‘optical’ ในการวาดภาพบน Drum ก่อนแล้วให้กระดาษผ่าน Drum ไป เหมือนปั้มออกมา)

นั้นคุณภาพต่างกัน ครับ ถึงแม้ความละเอียดของ InkJet จะไปถึง 4,800dpi หรือ 19,200 dpi แล้วก็ตาม แต่ข้อจำกัดของ “น้ำ” คือมี “การซึม” บนตัวกระดาษ หรือการผืนผิวที่ดูดซับน้ำได้ นั้นยังคงไม่ค่อยดี นัก ซึ่ง Laser ที่มีขนาดความละเอียด 600 dpi นั้นให้คุณภาพในการพิมพ์มากกว่า InkJet ในความละเอียด 4,000 dpi มากครับ เนื่องจากผงหมึกนั้นไม่มีคุณสมบัติที่ก่อให้เกิดการซึมได้ง่ายเ่ท่าน้ำครับ

การใช้ความร้อนในการทำให้ผงหมึกแกะติดกับกระดาษนั้นทำให้ ผลงานที่ออกมานั้นดีกว่ามากครับ ส่วนที่ทำให้ InkJet นั้นพิมพ์ได้เกือบใกล้เคียง แล้วก็ตามแต่จุดอ่อน นั้นไม่ได้ถูกลบไป แต่แก้ไขด้วยการทำให้จุดสีนั้นลดลงเรื่อยๆ เพื่อลดการซึม ซึ่งทดสอบได้โดยหยดหมึกปากกา ที่ระดับความสูงเท่ากัน แต่หยดหมึกต่างกันนั้น จะได้ความกว้างของการซึมต่างกันครับ …..

แต่ผงหมึกไม่มีการซึมครับ แต่ต้องแลกกับราคาที่แพงกว่า เพราะมีความซับซ้อนในกระบวนการทำงานมากกว่า เพราะมีระบบที่ทำงานเทียบเท่าเครื่องถ่ายเอกสาร (ก็มันหลักการเดียวกันนั้นหล่ะ) แต่ด้วยที่ระบบคอมฯ เป็นระบบสั่งการด้วย ดิจิตอล ทำให้มันต้องทำการแปลงค่าต่างๆ ของคอมฯ เข้ามา หรือพวก PostScript หรือพวก Draft ต่างๆ ด้วยนั้นเอง ทำให้ราคาสูงกว่า

แต่เราต้องเทียบกับความคุ้มในการพิมพ์ด้วยครับ

ด้วยผงหมึกของ Leser จำนวน 1 ตลับ นั้น สามารถพิมพ์ได้ 4,000 – 10,000 แผ่น โดยประมาณ แล้วแต่ยี่ห้อ, รุ่น และลักษณะการใช้งานด้วย ด้วยราคา 2,000 – 5,000 บาท ในรุ่นระดับ Consumer ถึง SOHO หรือระดับ Enterprise ที่ 10,000 -> นั้นมีราคาต่อแผ่น A4 ที่ 0.10 – 0.25 สตางค์ เท่านั้น

เมื่อเทียบกับตลับหมึกของ InkJet ราคาตลับหมึกตั้งแต่ 250 – 2,500 บาท แต่พิมพ์ได้มากที่สุดที่ทำได้ (อ่านจากหนังสือและประสบการณ์ที่ใช้มา) ไม่เคยเกิน 400 แผ่น หรือกระดาษหนึ่งรีมครับ และต้นทุนต่อแผ่นตก 2.50 – 35 บาท ในสิ่งพิมพ์ขาวดำ – สี ซึ่งไม่นับรวมกับเติมหมึกนะครับ แต่ถ้ารวมการเติมหมึกด้วยต้องเทียบทั้งสองฝ่ายคือ InkJet และ Laser ครับ เพื่อความเสมอภาคกันครับ ซึ่งถ้าโดยรวมแล้ว Laser นั้นคุ้มกว่าในระยะยาวครับ ถ้าคิดจะใช้ 4 – 10 ปี นี่คุ้มแน่นอนครับ

ต่อมาเรื่องความเร็ว และความเงียบ นั้น Laser กินขาดครับ เอาเรื่องความเร็วก่อนนะครับ ความเร็วเป็นจุดเด่นของ Laser ครับ การพิมพ์หน้าขาวดำได้ต่ำสุดในตอนนี้ส่วนใหญ่คือ 20 หน้าต่อนาที่ครับ ซึ่งตัวเลขนี้ไม่ขึ้นลง เหมือนกับ InkJet ครับ ที่พิมพ์เต็มหน้าก็็ใช้เวลาหลายนาที ต่อ 1 หน้ากระดาษครับ ซึ่งค่าความเร็วในการพิมพ์ต่อนาทีเป็นจำนวนหน้าของ Lasaer เป็นค่าที่ค่อนข้างเป็นที่ต้องการอย่างมากของคนที่ทำงานใน SOHO หรือ Office อยู่แล้วครับ และยังไม่มี InkJet ใดสามารถทำลายเรื่องความเร็วและความสะดวกในส่วนนี้ได้ครับ ส่วเรื่องความเงียบนั้น แน่นอนครับ ว่าเงียบว่าอย่างมาก

แต่ Laser มีข้อเสียคือผลหมึกนั้นมีอันตรายต่อร่างกายมากครับ ข้อนี้ต้องระวังให้ดีครับ

แต่เหตุผลที่คนใช้ Laser กันน้อยกว่่าในระดับ Home User (Consumer) เพราะว่าด้วยราคาเริ่มต้นไม่น่าจูงใจการซื้อมาใช้ ประกอบกับ Laser พิมพ์ภาพสีได้ด้อยกว่า InkJet ครับ ทำให้เหมือนกับ ความแตกต่างทางแนวคิด แนวทางการทำตลาดครับ

ซึ่ง InkJet ส่วนใหญ่ทุกยี่ห้อจะทำคลาดระดับ Home User หรือ SOHO ครับ

ส่วน Laser นั้นส่วนใหญ่ทุกยี่ห้อจะทำคลาดระดับ Corperate หรือ Enterprise ซะมากครับ


Update 00:04 / 29:12:2004 เรามาพูดถึงต้นทุนของชิ้นงานในการพิมพ์ออกมากันต่อ ถ้าจะให้ InkJet พิมพ์คมเท่า Laser คุณต้องจ่ายค่ากระดาษคุณภาพดีๆ ราคาแพงเพื่อจะได้คุณภาพงานพิมพ์เทียบเท่า Laser ครับเช่น

Laser – A4 ธรรมดา 0.05 บาท + ค่าผงหมึกต่อแผ่น 0.10 บาท = 0.15 บาท
InkJet – A4 High Quality Paper ราคา 2 บาท/แผ่น + ค่าหมึก 0.50 – 2 บาท/แผ่น = 2.50 บาทขั้นต่ำ ครับ

ปล. ด้านบนนี้ประมาณเอานะครับ และประมาณในการพิมพ์ขาวดำเท่านั้น

ลองคิดถึงการพิมพ์ที่ต้องการคุณภาพ + เวลา + จำนวนครับว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่สำหรับ InkJet ถึงจะเท่า Laser ครับ

แต่ถ้ามองในผู้ใช้ตามบ้านนั้นคงใช้เครื่องราคาถูกก่อนแน่นอน เพราะคาดหวังเพียงเพื่อใช้งานได้ในราคาที่จับต้องได้ในการพิมพ์ก่อนครับ ส่วนเรื่องรองคือค่าหมึกในตลับต่อไปนั้น แทบทุกคนได้ยินราคาแล้วลมแทบจับกันหมด เพราะซื้อทีเนี่ยก็ซื้อเครื่องได้ 1 เครื่องเลยทีเดียวครับ ….