รีวิว LG 34UC97 Curved Ultrawide monitor 21:9 IPS QHD LED 34” ที่เหมาะสำหรับเล่นเกมและทำงาน ให้ความรู้สึกเหมือนต่อ 2 จอ

หลังจากรีวิว LG 29UM65 Ultrawide 21:9 IPS LED monitor ขนาด 29” ไปก่อนหน้านี้ วันนี้ได้มีโอกาสได้ทดลองใช้งาน LG 34UC97 อีกครั้งประมาณ 2 อาทิตย์ โดยรอบนี้ไม่ได้มาแค่เฉพาะ 21:9 เท่านั้น แต่มาพร้อมความกับการออกแบบที่ตัวจอภาพมีความโค้งรับการกับการกวาดสายตา เมื่อเวลาใช้งาน และด้วยความที่เป็นจอภาพสัดส่วน 21:9 ซึ่งทำให้มันเหมาะกับใช้ทำงานเอกสารที่ต้องใช้การเปิดหลายๆ หน้าต่างแล้วอีกด้วย

IMG_20150202_114208

 

แรกเริ่มสัมผัส

image

จากรีวิวเก่า เราขอเล่าซ้ำสักหน่อยว่า โดยจากแผนภาพด้านล่าง จะเห็นได้ชัดเจนถึงขนาดของจอภาพ 21:9 ที่ได้พื้นที่แนวกว้างเพิ่มมากขึ้นกว่า 16:9 หรือ 16:10 อยู่ถึง 1 ใน 5 นั้นทำให้มันมีพื้นที่ในการทำงานในแนวนอนเยอะมากขึ้นจนสามารถที่จะเปิด หน้าต่างของโปรแกรมได้ถึง 2-3 หน้าต่างพร้อมๆ กันในแนวนอนได้

https://www.thaicyberpoint.com/ford/blog/wp-content/filesuploaded/Image/-LG-29UM65-Ultrawide-IPS-LED-monitor_10310/image.png

สำหรับความกว้างในการแสดงผลของสีนั้น LG ก็ทำได้ตามที่บอกไว้ (เส้นสีแดง)โดยจากคำโฆษณานั้นรองรับ sRGB >  99% ซึ่งจากการที่ใช้งานมานั้น ผลการแสดงผลสีสันระหว่างการใช้งานตกแต่งรูปทำได้ดีเยี่ยม การไล่แฉดสีทำได้เที่ยงตรงดี แต่ต้อง calibrate monitor สักหน่อย (โดยผมจะมีกล่าวต่อเรื่อยๆ ว่าทำไม)

2015-02-15_191853

ช่องเชื่อมต่อที่เครื่องมีให้ มีดังต่อไปนี้

  1. ช่องต่อ Power Adapter
  2. ช่องต่อหูฟัง 3.5 mm
  3. ช่องต่อ HDMI 1-2 โดยให้มา 2 ช่อง ขนาดปรกติ
  4. ช่องต่อ Display Port ขนาดปรกติ
  5. ช่องต่อ Thunderbolt 1-2 โดยเพื่อรองรับการเชื่อมต่อแบบ Daisy-Chain
  6. ช่องต่อ USB 3.0 แบบขาเข้าสำหรับใช้ต่อร่วมกับ USB 3.0 ที่เป็นช่องขาออกที่มีให้ 2 ช่อง
  7. ช่องต่อ USB 3.0 ขาออกให้ที่ได้รับสัญญาณข้อมูลจาก USB 3.0 ขาเข้า โดยมันสามารถเอาไว้ชาร์จไฟมือถือที่ต้องการแรงดันไฟขนาด 1.1A ได้

ด้านซ้ายสุดจะมีปุ่มเปิด-ปิด

DSC_7944

2015-02-16_130802

สำหรับในส่วนของฐานจอภาพนั้น เป็นเหล็กชุบโครเมียมอย่างดี น้ำหนักค่อนข้างมา ลับคมตามขอบดีเยี่ยม

DSC_7927c

การเชื่อมต่อของตัวฐานจอภาพ และส่วนที่ยึดเข้ากับจอภาพนั้นใช้น็อตทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน โดยที่ฐานจอ 2 ตัวและที่ตัวจอภาพ 2 ตัว

น้ำหนักของจอภาพที่ลองกับฐานจอภาพนั้นจะถ่ายน้ำหนักได้ค่อนข้างดี โดยจะมีน้ำหนักลงไปตรงกลางระหว่างจุดด้านหน้าและด้านหลังจอภาพ ทำให้เมื่อตั้งจอภาพแล้วจอภาพไม่หงายหลังล้มได้ง่ายแต่อย่างใด

DSC_7921c DSC_7916c

อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องนั้น มีคู่มือ แผ่น CD บรรจุ driver/software จำนวน 2 แผ่น, power adapter ขนาดใหญ่ (มาก), สาย DisplayPort, สาย HDMI และแผ่นพลาสติกปิดจอภาพด้านหลังบริเวณช่องต่อต่างๆ ให้ดูเรียบร้อยขึ้น

DSC_7897c

โดยส่วนตัวแล้วการต่อจอภาพเพื่อใช้งานให้ได้ภาพขนาด ระดับ QHD (3,440×1,440 pixel) ตามคุณสมบัติของจอภาพนั้น ผมต้องต่อผ่าน DisplayPort ซึ่งช่องต่อจอของรุ่นนี้อาจจะมีปัญหาสักหน่อย เพราะด้วยหัวของสาย DiaplayPort ที่ใหญ่และแข็ง อาจจะต้องใช้แรงในการกดเข้าไปต่อ และใช้แรงกดและดึงออกมา เมื่อปลดออก ซึ่งตรงนี้ต้องระวังกันสักหน่อย และเมื่อต่อเข้าไปเรียบร้อยแล้วจะก็เอาแผ่นปิดหลังจอมาปิดให้เรียบร้อย

จากข้อมูลข้างต้น จอภาพรุ่นนี้เป็นจอภาพระดับ QHD (3,440×1,440 pixel) หรือระดับเทียบเท่า 2K หรือ 2,560 x , 1,440 pixel แต่เพิ่มความกว้างเข้ามาเพิ่มขึ้นนั้นเอง

DSC_7844

ประกอบเสร็จเรียบร้อย ก็พร้อมใช้งาน ด้วยขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ และด้านกว้างที่กว้างพอสมควร ทำให้ต้องกวาดสายตาไปมาค่อนข้างมา เวลาใช้จริงๆ อาจจะต้องปรับตัวอยู่นานพอสมควร

ตัวจุดต่อกับฐานจอภาพนั้น สามารถใช้ Wallmount Bracket ที่เป็นอุปกรณ์เสริมของ LG เพื่อนำไปแขวนบนผนังได้ด้วย

 

ความรู้สึกระหว่างการใช้งาน

DSC_7848

มาดูความโค้งของจอภาพนั้นไม่ได้โค้งจนหน้ากลัว หรือทำความคุ้นเคยยากเกินไปนัก ส่วนตัวแล้วใช้เวลาปรับตัวอยู่ 2-3 วันก็คุ้นเคยได้อย่างดี การโค้งของจอภาพแบบนี้นั้น ช่วยในการทำงานในระยะใกล้ๆ ที่ตาของผู้ใช้งานห่างจากจอภาพประมาณ 50-60 cm ได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้เราไม่ต้องชะโงกไปซ้าย-ขวาไปมาเวลาดูมุมจอภาพ เพราะด้วยความที่จอภาพนั้นยาวกว่าความคุ้นเคยตามปรกติที่ใช้งานกัน 16:9 ในแบบ Full HD แบบเดิมๆ (รูปสุดท้ายด้านล่าง)

DSC_7835 DSC_7837

DSC_7803c

การปรับจอภาพนั้นใช้จอยสติ๊กเล็กๆ ที่ด้านล่างขอภาพที่ถูกซ่อนไว้ โดยเมนูจะเพิ่มเติมขึ้นมา โดยในรุ่นนี้ยังคงมีความสามารถที่ชื่อว่า Dual Link คือต่อจอภาพจากแหล่งสัญญาณภาพหลายแหล่งให้แสดงผลได้พร้อมๆ กัน

สำหรับความสามารถที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ MaxxAudio ที่ให้เสียงลำโพงที่อยู่ที่จอภาพนั้นดังมากขึ้น ซึ่งคงจะเหมาะกับหลายๆ คนที่ไม่อยากมีลำโพงตั้งอยู่บนโต๊ะทั่วๆ ไป การมาซ่อนและอยู่กับจอภาพก็ทำให้โต๊ะดูโล่งมากขึ้น และดูสะอาดตา แต่เรื่องมิติเสียงนั้น ส่วนตัวแล้วเฉยๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไร

ในส่วนของความสว่างของจอภาพนั้น ตัวจอภาพให้ความสว่างที่ค่อนข้างมาก แต่ด้วยการ calibrate จอภาพที่เหมาะสมต่อการใช้งานด้านภาพถ่ายและงานเอกสาร จึงต้องปรับลดคามมสว่างลงมาค่อนข้างเยอะ โดยจากที่ได้ทดสอบนั้น ต้องลดลงไปเกือบๆ 40 unit (หน่วยของการปรับของจอรุ่นนี้) แต่ดูเหมือนว่าที่ 40 จะให้แสงสว่าง 132cd/m^2 และไม่สามารถลดลงไปมากกว่านี้ได้แล้ว ซึ่งตามปรกติ จอภาพที่ใช้ทำงานด้านภาพถ่ายจะปรับลดลงเหลือเหลือประมาณ 120cd/m^2 ก็อาจจะลำบากสักหน่อยกับงานภาพที่ต้องการดูโทนสีด้านมืดที่ดำสนิท

DSC_7852

image image

สำหรับการเล่นเกมบนจอกว้างๆ แบบนี้ ก็ดูเแปลกตากว่าปรกติมากเลย ผมได้เอาเกม Batman Arkham Origins มาลองเล่นดู โดยรวมพอเล่นไหว แต่ด้วยเครื่องที่มีการ์ดจอแรงเมื่อหลายปีก่อน เลยกระตุกอยู่พอสมควร เพราะต้องขับความละเอียดของเกมไปที่ระดับ 3,440 x 1,440 pixel หากต้องเล่นเกมบนความละเอียดขนาดนนี้ แนะนำให้การเครื่องที่แรงๆ และการ์ดจอที่แรงสุด ๆ มาเล่น ผมคิดว่าจะได้รับความบันเทิงที่แปลกใหม่มากขึ้น

DSC_7830

ระหว่างการเล่น Batman Arkham Origins จะสังเกตเห็นโทนสีฝั่งมืดที่มองยากกว่าปรกติ โดยเฉพาะเงาในที่มืด แต่ทั้งนี้คงเป็นเป็นตอนที่ยังไม่ได้ calibrate monitor และหลังจากที่ calibrate monitor แล้ว การแสดงผลโทนสีดำและโดนเงากลับแสดงผลได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งนั้นเป็นที่ค่อนข้างแน่ว่า หากได้จอภาพมา อาจจะต้องทำ calibrate monitor เพิ่มเติมสักหน่อย เพื่อการแสดงผลช่วงมืดที่ดีมากขึ้น

DSC_7815

สำหรับการแสดงผลของภาพยนต์ต่างๆ นั้น เรื่องความกว้างและการแสดงผลด้านสีสันไม่ได้แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง LG 29UM65 มากมายนัก แต่ด้วยความที่จอภาพเป็นแบบโค้ง จึงให้ความรู้สึกเหมือนดูบนจอภาพยนต์ตามโรงภายยนต์มากขึ้น (โรงภาพยนต์ส่วนใหญ่จะจอโค้งหน่อยๆ)

DSC_7858c

ในด้านการใช้งานทั่วไปนั้น แน่นอนว่าจอภาพละเอียดระดับ 3,440 x 1,440 pixel ย่อมให้พื้นที่ในการทำงานมากขึ้น โดยระหว่างนำมาทดสอบ ก็ใช้เอามาดูไฟล์ต่างๆ ที่เรียงกันได้มากขึ้น (แต่ก็นั่งไล่กันลายตาขึ้น) ได้พื้นที่สำหรับการทำงานหลายๆ อย่างพร้อมๆ กันนั้น ทำให้การทำงานสะดวกสบายเพิ่มขึ้น

ส่วนตัวเป็นคนใช้ทำงานด้านเอกสาร และการพัฒนาโปรแกรมต่างๆ อยู่แล้ว เมื่อเอามาใช้ทำงานด้านนี้แล้ว ค่อนข้างสะดวกสบายอย่างมาก

DSC_7886

DSC_7860 DSC_7887

 

สรุปการใช้งานระหว่างทดสอบ

  1. จอภาพโค้ง ให้ประสบการณ์ในการใช้งานที่แปลกใหม่กว่าเดิมอย่างมาก ช่วยให้การใช้งานนั้นสะดวกในการกวาดจอภาพให้ครบทั้งพื้นที่ของจอภาพที่เป็นสัดส่วน 21:9 ได้มากขึ้น
  2. การแสดงผลระหว่างการเล่นเกมและดูภาพยนต์ทำได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะต้อง calibrate monitor ก่อนเพื่อให้การแสดงผลส่วนมืดทำได้ดีมากขึ้น ซึ่งคงไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป แต่สำหรับมืออาชีพแล้ว ค่อนข้างแสดงได้ดีหลังจาก calibrate monitor แล้ว
  3. ช่องเชื่อมต่อต่างๆ หลังจอภาพมีความหลากหลายอย่างมาก port USB 3.0 ให้มานั้น ไม่ใช่แค่ช่วยให้เชื่อมต่อกับ external hard drive หรือ flash drive ต่างๆ ได้ แต่ยังเชื่อมต่อชาร์จไฟเข้าอุปกรณ์อย่างมือถือ หรือแท็บเล็ตได้ด้วย
  4. ราคาในไทยขายอยู่ที่ราคา 32,900 บาท ซึ่งขนาดจอภาพ ความสามารถ และราคาระดับนี้ น่าจะเหมาะสมกับมืออาชีพที่ทำงานด้านภาพถ่าย วิดีโอ หรืองานด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์มากกว่า แน่นอนว่า กลุ่มเป้าหมายของ LG ที่ทำตลาดจอภาพรุ่นนี้ มุ่งจำหน่ายกลุ่มเพื่อความบันเทิงอย่างการเล่นเกมด้วย ซึ่งส่วนตัวอาจจะเป็นทางเลือกที่แพงไปสักหน่อย แต่เรื่องนี้ต้องอยู่ที่กลุ่มผู้ซื้อที่เอาไปเล่นเกมนั้นเป็นกลุ่มที่เล่นเกมแนวไหน หากเป็น hard core gamer เล่นเกมแนว FPS แล้ว ก็อาจจะมองค่าตัวระดับนี้ไม่ใช่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด
  5. การแสดงผลความละเอียดระดับนี้อาจจะต้องตรวจสอบการ์ดจอและจุดเชื่อมต่อของเครื่องที่จะเอามาเชื่อมต่อว่าพร้อมหรือไม่ เพราะหากไม่พร้อม อาจจะซื้อของแพงมา แต่ใช้งานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพได้ (ซึ่งน่าเสียดายมาก) และแน่นอนว่าการใช้จอภาพความละเอียดระดับนี้ ต้องใช้คู่กับ mouse ที่มีความละเอียดสูงมากๆ (high dpi) ไม่เช่นนั้น การลากเมาส์ไปจุดต่างๆ บนจอภาพจะไม่สะดวกอย่างมาก

ข้อมูลด้านเทคนิดอื่นๆ LG UltraWide QHD IPS Monitor 34UC97 34″ 21:9 Curved UltraWide Monitor – LG Electronics TH

รีวิว LG 29UM65 Ultrawide 21:9 IPS LED monitor ขนาด 29” ที่เหมาะสำหรับทำงานโดยไม่ต้องต่อจอภาพเพิ่ม

เมื่อสัก 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสได้ LG 29UM65 มาทดลองใช้ ซึงเป็น Ultrawide 21:9 IPS LED monitor ขนาด 29” โดยมันเหมาะในการใช้ทำงานเอกสารที่ต้องใช้การเปิดหลายๆ หน้าต่างในเวลาเดียวกันเป็นอย่างมาก ทั้งยังพ่วงมาพร้อมกับรองรับความบันเทิงได้อย่างดีเยี่ยม เรามาดูกันว่ามันมีอะไรน่าสนใจและตอบโจทย์ในการทำงานอย่างไร

LG IPS Monitor Ultra Wide

DSC_7744c

จากแผนภาพด้านล่าง จะเห็นได้ชัดเจนถึงขนาดของจอภาพ 21:9 ที่ได้พื้นที่แนวกว้างเพิ่มมากขึ้นกว่า 16:9 หรือ 16:10 อยู่ถึง 1 ใน 5 นั้นทำให้มันมีพื้นที่ในการทำงานในแนวนอนเยอะมากขึ้นจนสามารถที่จะเปิดหน้าต่างของโปรแกรมได้ถึง 2 หน้าต่าพร้อมๆ กันในแนวนอนได้

image

สำหรับความกว้างในการแสดงผลของสีนั้น ค่อยข้างใกล้เคียงกับ sRGB พอสมควร (เส้นสีแดง) โดยจากคำโฆษณานั้นรองรับ sRGB >99% แต่จากการทดสอบ อาจจะมีการ calibrate หรือการปรับตั้งจอภาพที่อาจจะมีปัญหา ทำให้ได้โทนสีเขียวหลุดหายไปพอสมควร ซึ่งจะกล่าวเหตุผลต่อไปตอนพูดถึงการปรับตั้งค่าจอภาพ

2014-10-26_163156

การปรับแต่งหน้าจอทำได้ผ่านปุ่มใต้โลโก้ ที่มีเพียงปุ่มเดียว โดยกดปุ่มลงไปแล้วโยกไป-มาตามเมนูต่างๆ

จากการใช้งาน อาจจะต้องปรับตัวเล็กน้อยเพราะค่อนข้างใช้ความเคยชินในการเริ่มต้นใช้มากพอสมควร เพราะบางครั้งต้องกดและโยกปุ่มไปพร้อมๆ กัน

DSC_7725 image

การปรับแต่งนั้นส่วนที่ขาดหายไปที่ส่วนตัวมองว่าจำเป็นอย่างมาก คือการปรับ color temperature ที่ไม่พบการปรับแต่งอุณหภูมิสีตามค่ามาตรฐาน Kelvin เช่น 5000K, 5500K, 6500K หรือ 9300K แต่เป็น Warm, Medium และ Cool  แทน ซึ่งจากการค้นหาข้อมูลจากคู่มือของ LG ในรุ่นอื่นๆ นั้น  ค่า Warm คือ 6500K ส่วนค่า Medium หรือ Cool นั้นไม่ค่อยมีค่าแน่นอนสักเท่าไหร่ ทำให้เมื่อนำไปใช้งานปรับแต่งเพื่องานที่ซีเรียสเรื่องสี นอกจากค่า 6500K แล้วอาจจะต้องมานั่งไล่ปรับตามค่า RGB ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ แต่ยุ่งยากกว่าพอสมควร ซึ่งนี่อาจเป็นสาเหตุให้เมื่อทำการ calibrate หน้าจอเพื่อหาค่า ICC ออกมาแล้วมีบางโซนของการแสดงผลสีที่ต่ำกว่าความเป็นจริงที่สามารถทำได้ ซึ่งหากใครไม่ได้ซีเรียสในเรื่องนี้มากนัก ก็อาจจะไม่ถือเป็นข้อแย่แต่อย่างใด เพราะค่าที่ตั้งมาให้จากโรงงานก็ให้ค่าสีที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับจอ LG E2360V-PN ที่ผมใช้งานอยู่มานานปี ซึ่งจอที่นำมาเปรียบเทียบนี้ ได้รับการปรับแต่ง color temperature เป็น 6500K และทำการ calibrate จอภาพแล้วเช่นกัน

 image image

แน่นอน อาจจะมีหลายๆ คนที่ใช้งานแล้วมีซอฟต์แวร์บางตัวไม่รองรับกับขนาดจอภาพ 2560×1080 แบนี้ เราสามารถมาปรับแต่ง Ratio ให้เป็น Original ก็ได้ ซึ่งเราสามารถที่จะทำให้การแสดงผลนั้นจำกัดขอบเขต แนวตั้งแทนแนวนอน อาจจะมีพื้นที่ขอบสีดำด้านซ้าย-ขวาขึ้นมาในพื้นที่ที่ไม่มีการแสดงผล อย่างที่ผมใช้เล่นเกมอย่าง StarCraft II หรือ Diablo 3 ก็เล่นได้อย่างสบายๆ

DSC_7766

แน่นอนว่าหากความละเอียดไม่ตรงตามที่จอรองรับจะมีข้อความเตือนว่าใช้ความละเอียดที่ไม่ตรงอยู่มาให้เราเห็นด้วย

DSC_7762

การเชื่อมต่อสามารถเชื่อมต่อกับ port อย่าง DVI, HDMI 1.4 , DisplayPort 1.2  และช่องต่อ audio in-out แบบ stereo speakers มาให้พร้อม เพื่อรองรับการเชื่อมต่อลำโพงในตัวจอภาพ และหูฟังภายนอกได้ในคราวเดียว

DSC_7728

ในการใช้งานนั้นส่วนตัวใช้ DisplayPort ในการเชื่อมต่อแทน HDMI ทีให้มาในกล่อง เพราะเนื่องจากเครื่องที่ใช้งานนั้น การ์ดจอรองรับการส่งภาพออกผ่าน HDMI ได้เพียง Full HD แบบ 1960×1080 เท่านั้น หากต้องการได้รับภาพขนาด 2560×1080 แบบ Ultrawide 21:9 นี้ ต้องต่อจอภาพผ่าน DisplayPort ซึ่งการใช้งานก็ไม่ได้แตกต่างจาก HDMI เท่าไหร่ เพราะส่งได้ทั้งภาพและเสียงมาได้ทันทีสบายๆ ฉะนั้นหากใช้จอภาพตัวนี้อาจจะต้องตรวจสอบการ์ดจอของท่านให้ดีว่ารองรับการเชื่อมต่อแบบใดจึงจะสามารถแสดงผลได้เต็มประสิทธิภาพ

DSC_7733 DSC_7736

สำหรับในส่วนของฐานจอภาพค่อนข้างแน่นหนาดีมาก และมีลำโพงขนาด 7 Watts ทั้งสองด้าน ให้มาพร้อมในตัว ซึ่งสามารถเล่นเสียงผ่านสาย DisplayPort หรือ HDMI ได้ทันที

ตัวจอยึดกับฐานจอด้วยน็อต 2 ตัวกัฐานจอที่ค่อนข้างแน่นอนมาก แต่เวลาประกอบจอครั้งแรกเมื่อใช้งาน ต้องค่อยๆ ขันน็อตและตรวจสอบให้เรียบร้อยเสียหน่อย เพราะจอภาพค่อนข้างหนักและอาจทำให้รูน็อตมีปัญหาได้หากขันไม่แน่นหนาพอ

DSC_7745

DSC_7752 DSC_7751 

ในด้านของความบันเทิง จริงๆ ส่วนตัวมองว่ามีประโยชน์ในส่วนของการแสดงผลสัดส่วนภาพที่เท่ากับ

โรงภาพยนตร์ หรือที่บรรจุในแผ่น Bluray ที่เดี๋ยวนี้มักเป็น 21:9 ทำให้การแสดงผลดูเต็มตา ครบพื้นที่ของจอภาพที่เรามีครับ อันนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนที่มีแผ่นหนัง Bluray เยอะๆ แล้วเอามาเปิดบนจอสัดส่วน 21:9 แบบนี้

DSC_7760

ความสามารถแบบ Dual Link-up คือความสามารถที่ทำให้จอภาพเราสามารถแสดงผลภาพจากอุปกรณ์ 2 ตัวมาแสดงผลบนจอภาพ 1 จอได้พร้อมๆ กัน โดยที่ผมใช้บ่อยๆ คือต่อจอภาพด้วย DisplayPort และ HDMI พร้อมๆ กัน ซึ่ง HDMI จะต่อจากมือถือที่เป็น port แบบ SlimPort อีกทีหนึ่ง

DSC_7767

ตัว Dual Link-up จะแบ่งครึ่งขอภาพด้านซ้ายและขวามาให้ ต่อเป็น PC อยู่ด้านซ้าย และ Android อยู่ด้านขวา ซึ่งเหมาะกับงานที่มีการนำเสนอควบคู่กันจากสองแหล่งการส่งภาพมาแสดงผล หรือจะนำมาประยุกต์ใช้กับการดูภาพยนต์ไปพร้อมๆ กับการทำงานก็ยังได้

โดยความสามารถแบบ Dual Link-up สามารถต่อเข้ากับจอภาพรุ่นนี้ได้ทั้งผ่าน DVI, HDMI และ DisplayPort ได้พร้อมกัน 2 อุปกรณ์ ซึ่งความการตั้ง Ratio ของทั้งสองฝั่งนั้นตั้งแยกได้อย่างอิสระ

DSC_7768

DSC_7772

จากทั้งหมดที่กล่าวมานั้น หากมองในมุมการทำงานในปัจจุบันนี้ เราต้องการพื้นที่ในการทำงานที่มากขึ้น ในชีวิตประจำวันในการทำงานเรามักเปิดโปรแกรมต่างๆ ขึ้นมาทำงานพร้อมๆ กันอยู่มากมายหลายตัว ซึ่งทำให้การทำงานบนจอภาพ Ultrawide 21:9 ตัวนี้ ตอบโจทย์การทำงานที่สามารถเปิดหน้าต่างของโปรแกรมได้พร้อมๆ กันโดยที่ไม่ต้องใช้การซ่อนลงมา taskbar เพื่อสลับไป-มาในระหว่างการทำงาน ซึ่ง LG 29UM65 นั้นโดดเด่นที่มีขนาดหน้าจอกว้างเพิ่มขึ้นจากหน้าจอ wide screen ขนาดมาตรฐาน 16:9 หรือ 16:10 โดยทั่วไปอีก 1 ใน 5 ทำให้เรามีหน้าจอที่สามารถทำงานได้มากขึ้นโดยไม่ต้องใช้จอภาพเพิ่มเติมแต่อย่างใด ซึ่งทำให้ชีวิตการทำงานสะดวกอย่างมาก

DSC_7716

สำหรับราคาขาย LG 29UM65 อยู่ที่ 17,900 บาท และทั้งนี้ LG IPS Monitor UltraWide มีอยู่ทั้งหมด 3 ขนาดที่วางจำหน่ายในไทย โดยอีก 2 ขนาดคือ หน้าจอ 34” ราคา 24,500 บาท และขนาดหน้าจอ 25” ราคา 9,900  บาท

ข้อมูลด้านเทคนิดอ่านได้ที่ LG 29UM65 IPS Monitor UM65 Series – LG Electronics TH

รีวิวเรื่อยๆ กับ LG Optimus G Pro

วันนี้มาพูดถึง LG Optimus G Pro ที่ได้ลองใช้อยู่ประมาณเกือบๆ เดือนกันครับ แต่กว่าจะคลอดตัวรีวิวนี้ออกมาก็ใช้เวลาอีกเดือน (เพราะหน้าที่การงานนั้นเยอะมาก) วันนี้เรามาดูกันว่าเจ้า LG Optimus G Pro เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับรีวิวของทีมงานก็มีที่ รีวิว LG Optimus G Pro จอใหญ่ สเปคดี ฟีเจอร์เยอะ แบตอึด ที่รีวิวไปล่วงหน้าแล้ว

DSC_6106

LG Optimus G Pro ได้ชื่อว่าเป็ย “แฟ็บเล็ต” (Phablet) ตัวหนึ่งในตลาดระดับบน โดยเจ้าแฟ็บเล็ตเป็นชื่อเรียกอุปกรณ์ที่มีความสามารถแบบ “สมาร์ตโฟน” กับ “แท็บเล็ต” โดยมีขนาดหน้าจอระหว่าง 5 ถึง 7 นิ้ว

DSC_6073

DSC_6102

DSC_6104

วัสดุของ LG Optimus G Pro เป็นพลาสติกแบบมันวาว ฝาด้านหลังเป็นจะเห็นลายกราฟฟิคระยิบระยับเวลาสะท้อนกับแสงไฟแบบเดียวกับ LG Nexus 4 รุ่นที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ซึ่งงานประกอบค่อนข้างดีมาก รอยต่อต่างๆ ทำได้ดี ไม่มีอาการยวบให้เห็นในระหว่างการจับถือ เส้นสายการออกแบบค่อนข้างให้ความกระชับและดูดีมากเวลาจับถือ

ส่วนที่ติดใจและค่อนข้างรู้สึกไม่ค่อยชอบคือความมันวาวของมันมีปัญหาในการใช้งานไปนานๆ จะเป็นรอยนิ้วมือและดูเก่าลงไป ต้องคอยเช็ดทำความสะอาดให้มัมวาว ซึ่งค่อนข้างลำบาก ไปเสียหน่อย

เจ้าหูฟังที่แถมมาในกล่องนั้นมีชื่อเรียกว่า LG QuadBeat โดยคุณภาพเสียงไม่ธรรมดาให้ก็ไม่ธรรมดา ให้เสียงใสดี กลางเด่น และเบสกลางๆ ใส่สบายไม่รู้สักหนัก เหมาะกับคนต้องการพักผ่อนและไม่เหมาะกับคนเอาไปฟังเพลงที่เบสหนักๆ แต่ในความคุ้มค่าของของแถมนั้นมีคนบอกว่า “LG QuadBeat เป็นหูฟังแถมสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในตอนนี้”

DSC_6074

ด้านล่างของตัวเครื่องใช้ micro USB เป็น connector ตามมาตรฐาน Open Mobile Terminal Platform (OMTP)

DSC_6077

ในส่วนของช่องต่อหูฟังเป็นแบบ 3.5mm ตามปรกติ ไม่มีแตกต่างจากยี่ห้ออื่นๆ แต่ส่วนที่ดูแปลกจากยี่ห้ออื่นคือ Infrared port (IR) เพื่อสามารถใช้งาน remote แบบเดียวกับที่ใช้ใน TV หรือ DVD Player ได้

DSC_6080

ปุ่มกดปลดล็อคเครื่องอยู่ในตำแหน่งนิ้วโป้งเวลาจับที่มือขวาพอดี

DSC_6081

ในการถอดฝากหลังมีร่องในการค่อยๆ แงะฝาหลังออกมา เพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่, เปลี่ยนซิมการ์ด และเพิ่มหน่วยความจำชนิด micro SD ได้

DSC_6116

DSC_6123

โดยเจ้า LG Optimus G Pro นี่เป็น มือถือที่ให้จอภาพระดับ Full HD (Resolution 1920 x 1080 pixel) ที่ขนาด 5.5 นิ้ว ทำให้มีความหนาแน่นของ pixel ถึง 400 PPI โดยตัว Panel จอภาพเป็น IPS แน่นอนว่าสมัยนี้หน้าจอสัมผัสต้องเป็น Capacitive touchscreen และมาพร้อมกับ Corning Gorilla Glass 2 แน่นอนตามความนิยมของตลาด ซึ่งมีมาให้ครบเลย

ถ้าให้พูดความรู้สึกต่อจอภาพของ LG แล้วนั้น ส่วนตัวไม่ผิดหวัง และสีสันที่ให้มานั้นค่อนข้างสบายตามาก สีมันไม่จัดจนรู้สึกรำคาญต่อการใช้งาน แม้จะเปิดแสงสว่างสุดก็ตามที มุมมองการแสดงผลค่อนข้างดี

ในส่วนของไฟแสดงผลที่ปุ่มนั้น ค่อนข้างชอบมาก เพราะมันเปลี่ยนสีสันได้หลากหลาย ปรับแต่งให้ใช้สีที่แตกต่างกันเพื่อแจ้งเตือนที่หลากหลายรูปแบบ ยี่ห้อื่นๆ ควรทำตามนะ แต่ติดที่ปุ่มเป็นแบบปุ่มจริงๆ เมื่อไม่ใช่แบบทัชก็ต้องทำให้ปุ่มนั้นแข็งเพื่อป้องกันการกดโดยไม่ต้องแต่ ใจก็มาซึ่งการกดลงที่ยากและลึกกว่าปรกติ เวลาใช้จะค่อนข้างรู้สึกรำคาญ แต่ส่วนตัวชอบแบบทัชมากกว่า เพราะง่ายในการใช้งาน และน่าจะไม่มีปัญหาปุ่มพังเมื่อใช้งานไปนานๆ

DSC_6128

ในด้านของ UI ไม่มีอะไรแตกต่างจาก LG Optimus รุ่นเก่าๆ นัก

Screenshot_2013-08-13-09-21-09 Screenshot_2013-08-13-09-50-44

Screenshot_2013-08-13-00-29-05 Screenshot_2013-08-13-00-29-13

การตอบสนองของตัว UI ค่อนข้างดี เร็ว และไม่กระตุกเลย

Screenshot_2013-08-13-09-21-34 Screenshot_2013-08-13-09-21-48

ในส่วนของ Miracast ที่เป็นฟังค์ชันในการ Stream และจอเข้า TV มีมาในตัวเครื่องและ Settings

Screenshot_2013-08-13-09-22-28 Screenshot_2013-08-13-09-22-32

สำหรับใครที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้ remote อยู่มากมาย LG Optimus G Pro มีความสามารถในการทำตัวเป็นรีโมทมาให้ และรองรับเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องเล่นมัลติมีเดียมากมาย ทั้งเก่าและใหม่ แม้แต่ TV อายะ 20 ปีก็ยังใช้งานได้ โดยทดสอบลองกับทีวีและเครื่องเล่น Blu ray ที่บ้านแล้วทั้ง Phillips, Samsung และ LG

Screenshot_2013-08-13-09-23-08 Screenshot_2013-08-13-09-23-14

Screenshot_2013-08-13-09-23-22  Screenshot_2013-08-13-09-23-34

ในส่วนของ app ที่มากับเครืองนั้น ที่ชอบมาก และรู้สึกว่ามีประโยชน์เมื่อใช้กับจอภาพขนาดใหญ่ๆ คือ QSlide 2.0 ที่สามารถใช้กับ app ที่รองรับกับ QSlide เพื่อทำงานหลายๆ หน้าต่างในการใช้งานหน้าจอเดียวแบบบน PC ตามปรกติ

Screenshot_2013-08-13-09-45-29 Screenshot_2013-08-13-09-45-39

สุดท้ายก็ปิดท้ายด้วยคะแนนการ Bechmark ครับ ซึ่งจากคะแนนแล้ว ดูจะน้อยกว่าที่คาด แต่ส่วนตัวไม่ถือเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะทดสอบแบบเปิด app ที่ทำงานเบื้องหล้งเยอะมาก และตัวที่ขายจริงก็ทำคะแนนได้ดีกว่าที่ผม Bechmark ไว้ในตอนทดสอบอยู่พอสมควรครับ

Screenshot_2013-08-13-00-31-10 Screenshot_2013-08-13-00-31-31

Screenshot_2013-08-13-00-29-50 Screenshot_2013-08-13-00-30-01

Screenshot_2013-08-13-00-30-07 Screenshot_2013-08-13-00-30-42

สำหรับในด้านของการใช้งานกล้อง ส่วนที่เป็นความสามารถของ app ที่น่าสนใจสำหรับผู้รีวิวคือ duo screen ที่สามารถถ่ายภาพและวิดีโอได้พร้อมกันแล้วใส่ลงในตัวภาพและวิดีโอได้ทันที

CAM00018

สำหรับตัวการถ่ายรูปนั้น ส่วนตัวคิดว่าใช้งานได้ดี และไม่หนีกับคู่แข่งมากนักจนรู้สึกเด่นอะไรครับ

CAM00001

Normal mode VS HDR mode

CAM00027 CAM00028

CAM00036

CAM00037

IMG_20130802_233624

Normal mode VS HDR mode

CAM00019 CAM00020

สุดท้ายโดยรวมถือเป็นมือถือที่เด่นในเรื่องของจอภาพใหม่ แสดงผลได้ที่สบายตา หูฟังที่แถมมาให้ค่อนข้างดี app พื้นฐานที่ใส่มาให้ในเครื่องค่อนข้างดี ซึ่งเหมาะกับกลุ่มผู้ใช้งานที่ไม่ชอบความยุ่งยากในการต้องหา app มาใช้งานเพิ่มเติม อีกทั้งในปัจจุบันราคาของตัวเครื่องค่อนข้างดีและเหมาะสมกับการซื้อหามาใช้อย่างมาก

Techspec Optimus G Pro (E988)

  • CPU Qualcomm Snapdragon 600 (1.7GHz Quad-Core Processor)
  • GPU Adreno 320
  • RAM 2 GB
  • Storage 16 GB (User memory 10.5 GB)
  • Display 5.5 inch Full HD (1920 x 1080) IPS Display Capacitive touchscreen with Corning Gorilla Glass 2
  • Network 2G Quadband (GSM 850/900/1800/1900), 3G 900/2100 MHz (HSDPA, 42 Mbps)
  • WiFi Wi-Fi 802.11 a/b/g/n, Wi-Fi direct, DLNA technology
  • Bluetooth 4.0
  • NFC
  • Accelerometer sensor
  • Proximity sensor
  • Infrared port
  • Back camera 13MP (Image stabilization, Face detection, Auto focus, VR panorama, Flash LED)
  • Front camera 2.1MP
  • Connector microUSB USB 2.0
  • Expandable Memory  microSD, up to 64 GB
  • Earphone 3.5mm headset
  • OS Android v4.1.2 (Jelly Bean)
  • Battery 3,140 mAh
  • Weight 174 g
  • Size 150.2 x 76.1 x 9.4 mm

ลองจับ LG Optimus G

เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2556 ที่ผ่านมา LG ประเทศไทย เชิญผมเข้า Workshop มือถือระดับ flagship ชื่อ LG Optimus G (รหัส E975) ซึ่งกำลังนำเข้ามาขายเร็วๆ นี้ ส่วนตัวยังไม่ทราบราคาแน่ชัดนัก แต่เดาๆ เอาว่าราคา 19,900 บาท (ผมเดาครับ ไม่ได้รับการยืนยันใดๆ ทั้งสิ้น) โดยเปิดตัวครั้งแรกที่เกาหลีเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา และผ่านมาได้ 4 เดือนกว่าๆ ก็ได้เวลาสำหรับประเทศไทยกันเสียที (ก่อนหน้านี้เปิดตัวที่เกาหลี ญี่ปุ่น แคนาดา และอเมริกา)

WP_20130227_015

มาดูที่ตัวเครื่องกันเลยดีกว่า ตัว LG Optimus G นั้นเป็นส่วนผสมของ LG Optimus 4X HD และ Nexus 4 เข้าด้วยกัน มองง่ายๆ คือ ตัว Form Factor หลักๆ เป็นแบบ LG Optimus 4X HD ที่ค่อนข้างเหลี่ยมและแบน และผสมเข้ากับกระจกด้านหลังมีเกล็ดสะท้อนแสงคล้าย Nexus 4 ซึ่งทำให้ในชุดที่จำหน่ายมีแถมฟิล์มกันรอยให้ทั้งด้านหน้าและหลังมาในกล่องด้วย (ถ้าไม่มีก็เรียกจากร้านได้เลย)

WP_20130227_048

WP_20130227_029 WP_20130227_035

ในด้านหน้าจอนั้นเป็น “True HD” IPS LCD (768×1280 pixels; 318ppi) ขนาด 4.7” โดยเป็น “gapless” panel โดยตัวกระจกเป็น Corning Gorilla Glass 2 ที่หลังกระจกเป็นจอ LCD เลยไม่มีฟิล์มขั้นกลางให้สีและแสงถูกตัดทอนไปแบบจอ LCD ปรกติ

ในด้านหน่วยประมวลผลกลางนั้นเป็น quad-core CPU จาก Qualcomm Snapdragon S4 Pro APQ8064 (1.5 GHz quad-core Qualcomm Krait) ที่ถือว่าเร็วมากสำหรับตลาดระดับบน พร้อมกับ RAM ที่ให้มาถึง 2GB และ Storage ที่ 32GB ให้เต็มๆ (ความเร็วดูได้จากวิดีโอด้านล่าง)

น้ำหนักตัวเครืองประมาณ 145 กรัม ขนาดตัวเครื่องใหญ่พอๆ กับ Nokia Lumia 920 แต่เบากว่าเยอะ

Battery ที่ให้มานั้นเป็น Li-Ion ที่ไม่สามารถถอดออกจากตัวเครื่องได้ ซึ่งมีความจุ 2,100 mAh ที่ LG พัฒนาตัว Battery ให้สามารถใช้ได้นานถึง 800 Cycle Charge แถมตัว Android ของ LG นั้นได้ปรับแต่งโดยมี “power saver” settings ซึ่งสามารถปรับการใช้งานไป eco mode เพื่อช่วยประหยัดพลังงานด้วย

ในด้านตัว OS นั้นเป็น Android ICS อยู่ แต่ LG บอกว่าตัวขายจริงอาจมีการปรับแต่ง ROM เพิ่มเติมอีกครั้งเพื่อให้พร้อมขายกับคนไทยด้วย แต่ในงานก็ได้ลองปรับดูว่ามีคีย์บอร์ดไทยหรือไม่ ซึ่งก็ปรากฎว่ามี ก็ลองดูกันว่าคีย์บอร์ดทีให้มาพร้อมตัว OS นั้นโอเคหรือไม่ (แต่โหลดเพิ่มได้อยู่ดี)

WP_20130227_040 WP_20130227_037

WP_20130227_047

สำหรับของแถมอีกอย่างที่จะแถม คงเป็นเคสที่ให้มาในกล่อง ซึ่งเป็นเซ็ตของ LG Optimus G ที่ขายในไทยเลย รูปแบบไม่แตกต่างจาก LG Optimus 4X HD  ที่ขายไปเมื่อไม่นานมานี้แต่อย่างใด คล้ายๆ กันนะเท่าที่ดู

WP_20130227_017 WP_20130227_019

WP_20130227_021

ส่วนอื่นๆ ที่โน็ตๆ มานั้น ผมขอสรุปตามนี้

  • ตัวเครื่องนั้นต้องบอกว่าวัสดุคล้ายๆ กับ Nexus 4 เป็นส่วนใหญ่
  • งานออกแบบเอา LG Optimus 4X HD มาเป็นฐานแล้วเอา Nexus 4 มาแต่งๆ ใส่ลวดลายและกระจกหน้า-หลังลงไปให้ดูสวยขึ้น
  • จอภาพสวยงามสบายตาดี ถ้าให้เทียบกับ Nokia Lumia 920 แล้ว พอๆ กันเลย แต่สีของ LG จะจัดกว่าหน่อย คนที่ไม่ชอบ AMOLED อาจจะชอบตัวนี้ (ดูๆ แล้วไม่เหลืองด้วยนะ)
  • ในด้านความเร็วในการตอบสนองของ UI ดีมาก (ดูได้จากวิดีโอด้านบน) แต่ซึ่งถ้าเทียบกับ Nokia Lumia 920 แล้วคงต้องบอกว่า ลื่นในลักษณะที่ไม่เหมือนกัน (บอกไม่ถูก แต่มันติดนิ้วคนละแบบจริงๆ)
  • กล้องด้านหลัง 13MP ให้มาเกินพอ ภาพในที่แสงน้อยทำได้ดี ISO 800 ให้คุณภาพของภาพที่ถือว่าไม่ทำให้ผิดหวัง (ภาพจากกล้องอยู่ด้านล่าง)
  • กล้องด้านหน้า 1.3MP ตามสมัยนิยม ไม่มีอะไรใหม่เท่าไหร่ในส่วนนี้ (ถ่ายวิดีโอจากกล้องหน้าได้ 720p ด้วยนะ)
  • ตัววิดีโอที่ถ่ายออกมาแล้วภาพคมชัดดีมาก (ภาพจากกล้องอยู่ด้านล่างอัพขึ้น Youtube ให้แล้ว) รองรับ Full HD video (1080p) ที่ 30 fps
  • App ถ่ายรูปและถ่ายวิดีโอพัฒนาในด้านการใช้งานเพิ่มขึ้นและน่าสนใจ อย่างเช่น Time catch shot ถ่ายรูปภาพหลายๆ รูป แล้วเลือกรูปที่ดีที่สุด หรือ cheese shutter ใช้เสียงจากการออกเสียงที่เป็นการอ้าปากที่ทำให้ยิ้มแล้วกล้องจะถ่ายให้ ชื่อคุณสมบัติตรงๆ ตัวมาก
  • ช่องเสียบหูฟังเป็นช่องแบบ 3.5 mm stereo audio jack ส่วนตัวแล้วถือว่าโอเค ตัวหูฟังไม่เห็นตัวจริง เลยไม่รู้ว่าสวยแบบในรูปไหม (เห็นเค้าว่าหูฟังเสียงดีมากๆ แต่เสียดายไม่เห็นและฟังของจริง)
  • การเชื่อมต่ออย่าง Wi-Fi 802.11 a/b/g/n, Bluetooth 4.0 + A2DP และ NFC มีมาให้พร้อม เปิด Wi-Fi Hotspot ได้ รองรับ DLNA
  • ช่องเชื่อมต่ออย่าง micro-USB 2.0 (5-pin) ที่รองรับทั้ง MHL for USB หรือ HDMI connection
  • เรื่องความถี่ในการใช้งานนั้นคงทั่วๆ ไปก็คือ 2G, 3G และ 4G LTE

สรุปโดยส่วนตัวแล้วนั้น รอดูของจริงที่ Shop ใกล้บ้าน อยากให้ไปลองจับลองเล่นดูก่อน ส่วนตัวผมจากที่ให้แม่ใช้ LG Optimus 4X HD มา 2 เดือนกว่าๆ ต้องบอกว่า LG มาเงียบๆ แต่งานประกอบคุณภาพค่อนข้างดีครับ แม่ผมชอบงานประกอบมาก เมื่อเทียบกับ Samsung Galaxy S3 ของเพื่อนแม่ (´∇`)メ

ไฟล์วิดีโอจากกล้อง LG Optimus G

รูปภาพจากกล้อง LG Optimus G

ปล. สภาพแสดงในร้านอาหารตอน present อาจไม่คมชัดเท่าไหร่มัก เพราะ ISO 800 ครับ ต้องลองในสภาพแสงแดดปรกติดู

CAM00012

CAM00009

CAM00010