Laser Printer ความละเอียดต่ำกว่า InkJet Printer เยอะ แต่ทำไมราคาแพงกว่า ?

เรื่องนี้ต้องมาดูองค์ประกอบหลักของพิมพ์ครับ

1. การฉีดน้ำหมึก (InkJet)
2. การฉาบผงหมึก (Draft หรือเรียกว่า Laser เพราะใช้แสง ‘optical’ ในการวาดภาพบน Drum ก่อนแล้วให้กระดาษผ่าน Drum ไป เหมือนปั้มออกมา)

นั้นคุณภาพต่างกัน ครับ ถึงแม้ความละเอียดของ InkJet จะไปถึง 4,800dpi หรือ 19,200 dpi แล้วก็ตาม แต่ข้อจำกัดของ “น้ำ” คือมี “การซึม” บนตัวกระดาษ หรือการผืนผิวที่ดูดซับน้ำได้ นั้นยังคงไม่ค่อยดี นัก ซึ่ง Laser ที่มีขนาดความละเอียด 600 dpi นั้นให้คุณภาพในการพิมพ์มากกว่า InkJet ในความละเอียด 4,000 dpi มากครับ เนื่องจากผงหมึกนั้นไม่มีคุณสมบัติที่ก่อให้เกิดการซึมได้ง่ายเ่ท่าน้ำครับ

การใช้ความร้อนในการทำให้ผงหมึกแกะติดกับกระดาษนั้นทำให้ ผลงานที่ออกมานั้นดีกว่ามากครับ ส่วนที่ทำให้ InkJet นั้นพิมพ์ได้เกือบใกล้เคียง แล้วก็ตามแต่จุดอ่อน นั้นไม่ได้ถูกลบไป แต่แก้ไขด้วยการทำให้จุดสีนั้นลดลงเรื่อยๆ เพื่อลดการซึม ซึ่งทดสอบได้โดยหยดหมึกปากกา ที่ระดับความสูงเท่ากัน แต่หยดหมึกต่างกันนั้น จะได้ความกว้างของการซึมต่างกันครับ …..

แต่ผงหมึกไม่มีการซึมครับ แต่ต้องแลกกับราคาที่แพงกว่า เพราะมีความซับซ้อนในกระบวนการทำงานมากกว่า เพราะมีระบบที่ทำงานเทียบเท่าเครื่องถ่ายเอกสาร (ก็มันหลักการเดียวกันนั้นหล่ะ) แต่ด้วยที่ระบบคอมฯ เป็นระบบสั่งการด้วย ดิจิตอล ทำให้มันต้องทำการแปลงค่าต่างๆ ของคอมฯ เข้ามา หรือพวก PostScript หรือพวก Draft ต่างๆ ด้วยนั้นเอง ทำให้ราคาสูงกว่า

แต่เราต้องเทียบกับความคุ้มในการพิมพ์ด้วยครับ

ด้วยผงหมึกของ Leser จำนวน 1 ตลับ นั้น สามารถพิมพ์ได้ 4,000 – 10,000 แผ่น โดยประมาณ แล้วแต่ยี่ห้อ, รุ่น และลักษณะการใช้งานด้วย ด้วยราคา 2,000 – 5,000 บาท ในรุ่นระดับ Consumer ถึง SOHO หรือระดับ Enterprise ที่ 10,000 -> นั้นมีราคาต่อแผ่น A4 ที่ 0.10 – 0.25 สตางค์ เท่านั้น

เมื่อเทียบกับตลับหมึกของ InkJet ราคาตลับหมึกตั้งแต่ 250 – 2,500 บาท แต่พิมพ์ได้มากที่สุดที่ทำได้ (อ่านจากหนังสือและประสบการณ์ที่ใช้มา) ไม่เคยเกิน 400 แผ่น หรือกระดาษหนึ่งรีมครับ และต้นทุนต่อแผ่นตก 2.50 – 35 บาท ในสิ่งพิมพ์ขาวดำ – สี ซึ่งไม่นับรวมกับเติมหมึกนะครับ แต่ถ้ารวมการเติมหมึกด้วยต้องเทียบทั้งสองฝ่ายคือ InkJet และ Laser ครับ เพื่อความเสมอภาคกันครับ ซึ่งถ้าโดยรวมแล้ว Laser นั้นคุ้มกว่าในระยะยาวครับ ถ้าคิดจะใช้ 4 – 10 ปี นี่คุ้มแน่นอนครับ

ต่อมาเรื่องความเร็ว และความเงียบ นั้น Laser กินขาดครับ เอาเรื่องความเร็วก่อนนะครับ ความเร็วเป็นจุดเด่นของ Laser ครับ การพิมพ์หน้าขาวดำได้ต่ำสุดในตอนนี้ส่วนใหญ่คือ 20 หน้าต่อนาที่ครับ ซึ่งตัวเลขนี้ไม่ขึ้นลง เหมือนกับ InkJet ครับ ที่พิมพ์เต็มหน้าก็็ใช้เวลาหลายนาที ต่อ 1 หน้ากระดาษครับ ซึ่งค่าความเร็วในการพิมพ์ต่อนาทีเป็นจำนวนหน้าของ Lasaer เป็นค่าที่ค่อนข้างเป็นที่ต้องการอย่างมากของคนที่ทำงานใน SOHO หรือ Office อยู่แล้วครับ และยังไม่มี InkJet ใดสามารถทำลายเรื่องความเร็วและความสะดวกในส่วนนี้ได้ครับ ส่วเรื่องความเงียบนั้น แน่นอนครับ ว่าเงียบว่าอย่างมาก

แต่ Laser มีข้อเสียคือผลหมึกนั้นมีอันตรายต่อร่างกายมากครับ ข้อนี้ต้องระวังให้ดีครับ

แต่เหตุผลที่คนใช้ Laser กันน้อยกว่่าในระดับ Home User (Consumer) เพราะว่าด้วยราคาเริ่มต้นไม่น่าจูงใจการซื้อมาใช้ ประกอบกับ Laser พิมพ์ภาพสีได้ด้อยกว่า InkJet ครับ ทำให้เหมือนกับ ความแตกต่างทางแนวคิด แนวทางการทำตลาดครับ

ซึ่ง InkJet ส่วนใหญ่ทุกยี่ห้อจะทำคลาดระดับ Home User หรือ SOHO ครับ

ส่วน Laser นั้นส่วนใหญ่ทุกยี่ห้อจะทำคลาดระดับ Corperate หรือ Enterprise ซะมากครับ


Update 00:04 / 29:12:2004 เรามาพูดถึงต้นทุนของชิ้นงานในการพิมพ์ออกมากันต่อ ถ้าจะให้ InkJet พิมพ์คมเท่า Laser คุณต้องจ่ายค่ากระดาษคุณภาพดีๆ ราคาแพงเพื่อจะได้คุณภาพงานพิมพ์เทียบเท่า Laser ครับเช่น

Laser – A4 ธรรมดา 0.05 บาท + ค่าผงหมึกต่อแผ่น 0.10 บาท = 0.15 บาท
InkJet – A4 High Quality Paper ราคา 2 บาท/แผ่น + ค่าหมึก 0.50 – 2 บาท/แผ่น = 2.50 บาทขั้นต่ำ ครับ

ปล. ด้านบนนี้ประมาณเอานะครับ และประมาณในการพิมพ์ขาวดำเท่านั้น

ลองคิดถึงการพิมพ์ที่ต้องการคุณภาพ + เวลา + จำนวนครับว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่สำหรับ InkJet ถึงจะเท่า Laser ครับ

แต่ถ้ามองในผู้ใช้ตามบ้านนั้นคงใช้เครื่องราคาถูกก่อนแน่นอน เพราะคาดหวังเพียงเพื่อใช้งานได้ในราคาที่จับต้องได้ในการพิมพ์ก่อนครับ ส่วนเรื่องรองคือค่าหมึกในตลับต่อไปนั้น แทบทุกคนได้ยินราคาแล้วลมแทบจับกันหมด เพราะซื้อทีเนี่ยก็ซื้อเครื่องได้ 1 เครื่องเลยทีเดียวครับ ….