เหมือน Microsoft จะหวานเย็นเกินไป

จาก ผลประกอบการไมโครซอฟท์ไตรมาสล่าสุดยังเติบโต แต่ส่วนธุรกิจ Windows เริ่มคงที่ แล้วนั้น ขอพูดในส่วนของ Windows 8 และ Windows Phone 8 เป็นหลักก่อนเลยในตอนนี้

ส่วนตัวมองว่า Series 8 ของ Microsoft นั้นจำเป็นต่ออนาคตบริษัทมาก ถ้าไม่รีบทำ อาจไม่มีที่ยืนในตลาด Tablet ที่ตีคู่มากับตลาด Desktop/Notebook และการหักดิบ Windows Phone 8 นี่กล้าจนโดนด่า ซึ่งก็ถือว่าเป็นไม่กี่ครั้งที่เห็น Microsoft สร้างแพให้ลูกค้าตัวเองแบบหักดิบแล้วทิ้งลงเหวน้ำตกแบบไม่ใยดี (แม้จะมีรางวัลปลอบใจให้ update เล็กๆ)

ส่วนตัวแล้วนั้น ตอนนี้ Microsoft คงต้องทำให้เร็วกว่านี้ Blue Series ที่กำลังจะออกมา ถ้าออกมาเร็วกว่านี้น่าจะดีกว่าทั้งคนใช้งานที่กำลังตัดสินใจและคนที่ใช้งานอยู่จะได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังใช้ของที่ไม่สมบูรณ์ทำออกมาก่อนหวังกระแสเป็นหลัก คือต้องยอมรับกันตรงๆ ว่าไม่สมบูรณ์ แต่ที่ดันออกมาเพราะถ้าไม่ดันในสิ้นปีที่แล้วอาจจะหมดโอกาสในตลาด Tablet เพราะกว่า Partner ต่างๆ จะชิน กว่าจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ใน Windows 8 และ Kernel ที่รองรับ ARM ได้ ก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3-6 เดือน ซึ่งพอเข้าใจได้ว่าต้องทำเวลา

โดยส่วนตัว Windows 8 เกือบจะดี แต่ยังไม่สุด Windows 8 Style App นั้นยังน้อย และ UX ยังไม่เข้าที่ App ใน Store มีความไม่สมบูรณ์เยอะและไม่เสียรสูงมาก คือจะฝากชีวิตไว้กับ App พวกนี้ได้น้อยตัวมากๆ แม้แต่ App ของ Microsoft บางตัวยังไม่ทำตาม UX Recommended ตัวเองบางอย่างเลย ซึ่งถ้าไม่รีบสางอาจทำให้อนาคตเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อ App ตัวอื่นๆ

สำหรับในด้าน Windows Phone 8 นั้น ส่วนตัวมองว่าความเคลื่อนไหวมีเรื่อยๆ แต่คิดว่าช้าเกินไปในการตามกลุ่มเจ้าตลาดที่กำลังชิงส่วนแบ่งกันระหว่าง Android และ iOS และกำลังมีรุ่นใหม่มาในกลางปีนี้อีก ถ้าไม่ทำอะไรให้เร็วกว่านี้ ผมเกรงว่า Windows Phone 8 จะไร้ที่ยืนไปยิ่งกว่านี้ เพราะถ้า Nokia มีอันเป็นไป Windows Phone คงจบสิ้นแน่ๆ ส่วนตัวมองว่า Windows Phone 8 เกิดได้เพราะ Nokia ดันสุดตัว ทั้ง App ที่ Exclusive ที่เยอะมาก การปรับแต่งตัว Windows Phone 8 ให้ทำงานกับ Nokia Lumia ที่ทำให้ตัว OS ทำงานได้ดีทัดเทียม OS กลุ่มเจ้าตลาดมากขึ้น (เยอะมาก) แต่ตัว Microsoft เองก็เหมือนหวานเย็นกับสิ่งที่ตัวเองมอบให้บริษัทอื่นเดิมพันชีวิตไปกับตัวเองด้วย ซึ่งผมมองว่าเลือดเย็นไปสักหน่อย เพราะ Windows Phone 8 ไม่เกิด Microsoft ก็ออก 9 มาต่อชีวิตได้ แต่สุดท้ายใครจะเอา? เพราะถึงตอนนั้น Nokia ก็คงมีอันเป็นไป หรือคงหนีตายไปใช้ OS ตัวอื่นแน่ๆ คราวนี้ Microsoft จะหา Partner ที่ใจพอมาพังกับ Microsoft ในตลาด Windows Phone ได้อีกหรือไม่ เป็นเรื่องในอนาคตที่น่าสนใจ

Bill Gates vs Steve Jobs; Stealing from a rich neighbor – Pirates of Silicon Valley

ไปเอามาเพราะ Bill Gates บอกว่า บุคลิกของตัวเขาในภาพยนตร์ Pirates of Silicon Valley แม่นยำสูงในระดับหนึ่ง (reasonably accurate) อ้างอิงจาก บิล เกตส์ ตอบคำถามผ่าน Reddit

แต่ @plynoi บอกว่าในหนังไม่โหดเท่าเหตุการณ์จริง ที่อ้างอิงจากหนังสือ Revolution in The Valley: The Insanely Great Story of How the Mac Was Made เขียนโดย Andy Hertzfeld ที่บอกว่าในเหตุการณ์จริง Bill Gates คนเดียว แต่มี Steve Jobs และรายล้อมด้วยทีมงานของ Apple

Steve Jobs: I obviously made a mistake. I made a mistake. I trusted. I believed. Family. Maybe a Mafia family. You turn your back, and you get whacked. Our guys come back from Japan with this NEC…. and it’s loaded with Microsoft programs. Your Microsoft programs. They’re almost identical to ours.

Bill Gates: There may be a few… similarities.

Steve Jobs: Similarities? Similarities? Try theft.

Bill Gates: Steve, all cars have steering wheels, but no one tries to claim that the steering wheel was their invention.

Steve Jobs: We have a contract, you and I. Well, you should read it more carefully.

Steve Jobs: What is this? This is like doing business with a praying mantis. You get seduced, and then eaten alive afterwards?

Bill Gates: Get real, would ya? You and I are both like guys who had this rich neighbor – Xerox – who left the door open all the time. And you go sneakin’ in to steal a TV set. Only when you get there, you realize that I got there first. I got the loot, Steve! And you’re yellin? “That’s not fair. I wanted to try to steal it first.” You’re too late.

Steve Jobs: We’re better than you are! We have better stuff.

Bill Gates: You don’t get it, Steve. That doesn’t matter!

Great Scene – Pirates of Silicon Valley, stealing from a rich neighbor

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Office 365 Home Premium ตัวล่าสุดกับ Office 2013 แบบกล่อง (Retail)

หลายคนสับสนระหว่าง Office 365 Home Premium กับ Office 2013 แบบกล่อง (Retail) ตัวล่าสุดที่ขายกันเล็กน้อยนะ เพราะไม่ทราบว่า subscription product ของ Microsoft ของ Office 365 Home Premium นั้นสามารถติดตั้ง Microsoft Office ที่เป็น Applications ตัวเต็มได้ และสามารถทำงานแบบ Offline ได้เลยโดยเพียงแค่ต้องทำ activate subscription ตอนติดตั้งครั้งแรกที่เราไปโหลดตัว installer มาและติดต่อ ซึ่งตัว installer มันจะ stream ตัวโปรแกรมมาให้เราที่เครื่องเราเหมือนติดต่อจากแผ่น CD/DVD เลย และระบบจะตรวจสอบเราทุกครั้งที่ต่อ internet ว่าเราหมดระยะ subscription หรือยัง ถ้าซื้อแบบกล่องก็ไปโหลด installer มาได้เช่นเดียวกัน

ข้อดีของการใช้ Office 365 Home Premium คือจ่ายเป็นรายเดือนหรือรายปี โดยได้ update/upgrade ตัว Microsoft Office ใหม่ล่าสุดเสมอๆ และสามารถใช้งานได้ 5 เครื่อง (รวม desktop, notebook และ mobile พวก tablet) ซึ่งจะใช้ activation key จากในหน้า Office Portal หรือส่งทางอีเมล ในกรณีที่ซื้อแบบ Online ผ่านทาง Microsoft Account (พวก Hotmail หรือ Windows Live ID สามารถทำ auto-renewal ได้ด้วย ซึ่งสามารถเลือกจ่ายเป็นรายเดือนหรือปี หรือแม้แต่จะใช้ activatetion  key จากการ์ดในกล่องซึ่งขายเป็นรายปีก็ทำได้

เมื่อได้ activation key มาแล้ว เราก็เอามากรอกตอนเริ่มต้นใช้งานครั้งแรก เพื่อผูก activation key เข้ากับ Microsoft Account ของเรา ซึ่งถ้า activation key ใช้ได้ ตัว Office จะ activate ตัวเองไปพร้อมๆ กับผูก activation key นั้นเข้ากับ Microsoft Account แล้วเราก็เริ่มใช้งานได้เลย

สำหรับเรื่องยกเลิกสิทธิ์ที่จะใช้เครื่องนั้น หรือเรียกว่า deactivate ก็สามารถทำได้ผ่าน Office Portal โดยใช้ Microsoft Account ที่ผูกกับ activatetion  key ดังกล่าว เพื่อนำสิทธิ์ที่ได้มากลับคืนตามจำนวนเครื่องที่มีสูงสุด 5 เครื่อง และค่อยไปติดตั้งเครื่องอื่นแทน ซึ่งระบบจะยกเลิกสิทธิ์ตัว Office ที่เครื่องเก่าออก โดยจะขึ้น Expire subscription และตัว Office ที่ติดตั้งเครื่องดังกล่าวจะอ่านไฟล์ได้อย่างเดียว (Read Only mode)

สิ่งที่เป็นข้อควรจำอีกอย่างคือ Office 365 Home Premium นั้นให้ใช้ได้แต่เฉพาะ Home use เท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้งานในเอกสารหรือทำงานด้านธุรกิจได้ ถ้าจะใช้งานด้านธุรกิจจริงจังควรใช้ Office 365 Small Business Premium เป็นต้นไป โดยจะมีคุณสมบัติคล้ายๆ กัน และมี Microsoft Office ที่เป็น Applications ตัวเต็มด้วย และถ้าใช้ Office 365 for Business ที่ราคาต่ำกว่า Office 365 Small Business Premium จะเป็น Office Web Apps เท่านั้น อ่านเพิ่มเติมต่อได้ที่ เลิกเสียเงินกับ Google Apps/Evernote และหันมาใช้งาน Office 365 Small Business Premium ครับ

2013-03-20_152303

Capture จาก Compare Microsoft Office Products & Subscription Plans – Office.com

 

ช่วยทำให้ Windows Phone 8 มันทำงานได้ดีกว่านี้หน่อยเหอะ สาวกขอร้องหล่ะ

จาก Windows Phone เจ้าตายแล้ว ของ @nuuneoi

ในฐานะที่เล่นเองและพัฒนา App บน Windows Phone 8 บอกว่าเห็นด้วยกับเนยแฮะ คือแม่ง Nokia ปล่อย App มาเยอะมาก ช่วยให้ Windows Phone 8 ดูดีขึ้นเยอะมาก คือลองนึกภาพ Windows Phone 8 ไม่มี Nokia ดูซิครับ แล้วจะรู้ว่ามันจะไม่มีอะไรเลยมากแค่ไหน แต่ดูเหมือนกับว่า Microsoft เองก็ทำเหมือนลาพักร้อนหลังจากเปิดตัวและปล่อย update แรกออกมา ข้อผิดพลาดบ้าบอหลายอย่างก็ไม่แก้ไขเยอะนะ ดูจาก forum หลายที่ก็บ่นหลายอย่าง แต่แล้วก็เงียบหายไปราวกลับว่าจบงานแล้ว แก้บัครอบแรกจบก็จบงานไป แล้วเหมือนจะไปทำอะไรอย่างอื่นต่อไม่ได้สนใจอะไรพวกนี้ต่อ

คือส่วนตัวมองว่าตลาดมือถือตอนนี้มันสู้กันเดือดมาก คือเวลา 2-3 เดือนที่หายไปมันคือการออกรุ่นใหม่ของ OS สายอื่นไปเลย แล้วแบบนี้ Windows Phone 8 มันจะไปตามชาวบ้านเค้าทันได้ยังไง อย่าลืมว่าอีกไม่กี่เดือนก็ WWDC ของ Apple แล้วนะ แถม Google I/O รออยู่ อย่าลืมว่า iOS/Android มีอะไรออกมาใหม่แน่ๆ คือจะลอกเค้ามาหรือใส่อะไรมาเพิ่มมันก็เรื่องนึง แต่ที่แน่ๆ “ช่วยทำให้ Windows Phone 8 มันทำงานได้ดีกว่านี้หน่อยเหอะ สาวกขอร้องหล่ะ”

สำหรับ Google แล้วผู้ใช้งานเป็นเพียงตัวประกันและลูกบอล?

จากที่เคยเขียนอะไรบ่นๆ ไปเมื่อหลายเดือนก่อนในหัวข้อ Google ถอด EAS (Exchange ActiveSync) ออกจาก Free Account ของ Gmail ผู้ใช้ทั่วไปเสียประโยชน์มากกว่าได้

มาเมื่อวานนี้ Google ประกาศปิด CalDAV API และแนะนำให้นักพัฒนาย้ายไปใช้ Google Calendar API แทน และมาวันนี้มีข่าวว่า กูเกิลจะปล่อยให้นักพัฒนากลุ่มเล็กๆ และไมโครซอฟท์ใช้งาน CalDAV ต่อหลังปิดบริการ และ Google to allow Microsoft to continue to use CalDAV protocol ที่เป็นข่าวล่าสุด

ทำให้นึกถึงเมื่อ 2-3 เดือนก่อนที่ Google บอกว่า proprietary standards อย่าง EAS มันไม่ดี ไม่ควรใช้งานต่อไป เพราะ Microsoft เป็นคนพัฒนา มันมีค่าใช้จ่าย มันเสียเงินเยอะ โน้นนั้นนี่ แล้วบอกว่า CalDAV เป็นคำตอบที่ดีกว่า เพราะเป็น open source พัฒนาต่อยอดง่ายกว่า ไม่ขึ้นอยู่กับใคร และแนะนำว่าควรนำมาใช้แทนที่ EAS เลย

แต่แล้ว… สิ่งที่เกิดขึ้นคือในตอนนี้ที่รู้สึกคือ

Google บอก Google Calendar API นั้นดีกว่า! เพราะมันคือ proprietary standards ที่สร้างโดย Google!

ส่วนตัวผมแล้วนั้น ผมเรียกว่าแถครับ!! คือจะไม่ใช้ proprietary standards คนอื่นก็บอกมาครับ อย่าอ้างว่าไม่อยากเสียเงิน license แล้วบอกว่า proprietary standards มันคือความชั่วร้าย เราไม่ควรสนับสนุนมันต่อไป แล้วใช้คำว่า open source มาเป็นข้ออ้าง แล้วไง… ตอนนี้ หึหึหึหึ แล้วก็โยนผู้ใช้งานที่ตัวเองมีอยู่ให้หันมาใช้ proprietary standards ของตัวเอง พี่จะทำแบบนี้ตั้งแต่แรกก็บอกมาตรงๆ ครับ (╯°□°)╯︵ ┻━┻)

ผมจะไม่แปลกใจเลยว่าในอีกไม่นาน Gmail อาจเก็บเงิน และร้ายกว่านั้นคือยกเลิกบริการฟรีไปเลย ก็รอดูว่าจะไปในแนวทางไหน เตรียมตัวย้ายบ้านกันให้ดีครับ