Live @ MSDN – Thailand REMIX 2007

10.25 – จากบริเวณห้องบอลรูม โรงแรมแชง-กรีล่า กรุงเทพฯ

ผมมาสายเนื่องจากว่ารถไฟฟ้าอ่อนนุชดันขัดข้องเลยมาสายซัดไป 10 โมงกว่า ๆ กว่าจะได้เข้ามาลงทะเบียน และได้ข้อมูลเบื้องต้นจากแฟ้ม และกรอกแบบสอบถามเพื่อรับแผ่น DVD Microsoft Visual Studio 2008 beta 2 ซึ่งตอนที่มาถึงนั้น keynote ช่วงเช้าก็เสร็จสิ้นไปแล้ว เลยรอในส่วนของการสมันาและ word-shop แบบแยกห้องอีกที โดยผมเข้าไปในส่วนของ web-developer ซึ่งน่าจะมีการ review และ hand-on ในส่วนของ SilverLight ครับ

11.00 – จากห้องบอลรูม (Web Development, Building Rich Web Experiences Using SilverLight and JavaScript for Developers) โรงแรมแชง-กรีล่า

REMIX 07 - 1

REMIX 07 - 2

11.00 – ตอนนี้อยู่ในส่วนของ Section Web Developerment โดยพูดถึงส่วนจุดเริ่มต้นและจุดประสงค์ของ SilverLight

11.05 – สามารถทำ Cross Browser และ Cross Platform ได้โดยตอนนี้สนับสนุน Browser Internet Explorer (แน่นอนของ Microsoft), Mozilla Firefox และ Safari (Opera ยังมีปัญหานิดหน่อย)

11.06 – สามารถสร้าง user interface โดยใช้ลักษณะรูปภาพแบบ Vector
– สามารถเล่นไฟล์มีเดียต่าง ๆ ได้
– โดยจะได้ลักษณะภาพเคลื่อนไหว และ effect ต่าง ๆ โดยที่จะรองรับทั้งรูปภาพ(Vector และ Raster) และไฟล์ Video

11.07 – คำถามที่มักถูกถามถึงก็คือ SilverLight คือ Flash clone ? คำตอบคือ “มันเป็นอีกระดับของ Flash และการพัฒนาอีกขั้นของ VML (Vector markup language) ที่ทำขึ้นโดย Microsoft”

11.08 – โดยที่ SilverLight เป็o platform สำหรับวาดรูปภาพแบบ vector, การส่งข้อมูลแบบ Rich media content และ user experience โดย animation, interactive interface ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ทำได้เช่นเดียวกับ Flash (แนว ๆ ว่าทำได้เหมือน Flash นั้นแหละ !!!)

11.10 – ความละเอียดใน media แบบ video คือ 1280×720 รองรับระดับ HD, WMV, VC-1 (H.264), โดย WMV จะเป็น container โดยที่จะใช้ WMV เองหรือจะใช้ VC1 + WMA Track ก็ได้ รวมไปถึงไฟล์เสียงก็ใช้ WMA หรือ MP3 ก็ได้
– โดยที่รองรับทั้ง Live Streaming หรือ On-Demand Content
– ไฟล์เสียงนั้นทำงานได้ในระดับ CD Quality ที่ 64kbps, Radio ที่ 32kbps และ HD Video Content at 2Mbps

11.12 – Demo Audio Quality, Video Quality (ตอน Demo รู้สึกว่าจะมีการผิดคิวไปหน่อย -_-‘ เสียงไม่เหมือนต้นฉบับ เรียกเสียงฮาได้ดี)

11.18 – Basic concept ของ Rich Internet Application

11.20 – เปรียบเทียบระหว่าง Technical อื่น ๆ เช่น JavaScript + DOM และ Flash/Flex

11.25 – Demo การสร้าง SilverLight สำหรับเล่นไฟล์ media บนเว็บด้วย Visual Studio 2008 beta 2 (Orcas)

11.30 – Hosting Environment, ไม่จำเป็นต้องลง .NET บน Web Server, โดยที่ Web Server นั้นสามารถใช้ได้ตั้งแต่ IIS, Apache, Tomcat, Lighttpd ฯลฯ

11.45 – Platform convergence – รองรับ Web Browser แทบทุกตัว (อันที่ได้บอกไว้ข้างต้น) โดยที่ตัว runtime มีขนาดประมาณ 2MB

11.48 – SilverLight 1.1 กำลังมา (Wow !!!)

11.49 – ปัจจุบัน !!! สามารถเขียนได้ด้วย C# และ VB.NET และในอนาคตนั้นก็เขียนได้ด้วย IronRuby และ IronPython

11.50 – Better performance และปัจจุบันมีคนเขียน SilverLight เพื่อสร้าง 3D Action Games. ได้แล้ว (ทั้ง ๆ ที่ตัว release ต่อไปจะมี API เืพื่องานนี้โดยเฉพาะ และง่ายกว่า)

11.55 – ความสามารถใหม่ ๆ ใน SilverLight 1.1 ได้แก่
– Control Framework, Full keyboard and mouse system
– Standard control built-in, template and style (เหมือนกับ WPF)
– Layout System
– Data binding feature.

13.20 – จากห้องบอลรูม (Web Development, Using Visual Studio Codename “Orcas” to Design and Develop Rich AJAX Enabled Web Sites) โรงแรมแชง-กรีล่า

13.25 – อะไรคือ Visual Studio 2008 ?

13.30 – IDE Demo

13.31 – IDE Improvement demo
– Transparent Intellisense Mode (ใช้ Crtl Key ทำ Transparent ใน Intellisense เพื่อให้มองเห็น code ด้านหลังได้)
– VB Intellisense Filtering (Filter-out ตัว method ออกไปให้เหลือเฉพาะช่วงที่เราพิมพ์เท่านั้น)
– Organize Using (ทำการ Filter ตัว ‘Using’ ว่าในแต่ละไฟล์ใช้หรือไม่ใช้ และทำการลบตัวที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้การ Using นั้นน้อยลง และลดความซับซ้อนของ Code ด้วย)

13.40 – Multi Target Support demo
– Backward Compatible to .NET 2.0 (ไม่สนับสนุน .NET 1.0/1.1 เพราะว่า Architecture หลักนั้นแตกต่างจาก 2.0 เยอะเกินไป)
– Switch between Compatible (มีส่วน filter template project ว่า template project ไหนบ้างเหมาะสมกับ .NET ในแต่ละ version)

13.50 – LINQ (Language Integrated Query) Interface demo โดยตัวภาษาจะมีการเขียนคล้าย ๆ กับการดึงข้อมูลในภาษา SQL เพียงแต่มันสามารถสลับตัว DBMS ไปมาได้ระหว่าง SQL Server, Access หรือ XML ส่วน Oracle นั้นคาดว่าจะออกเร็ว ๆ นี้ ทำให้เข้าถึงข้อมูลใน DBMS ได้หลากหลายมากขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลง code ภายในแต่อย่างใด

14.00 – Web Designer Enhancements – อันนี้คล้าย ๆ กับ Adobe Dreamweaver ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ประมาณว่าร้อง เฮ้ยยย !!! ได้เลย เพียงแค่มันเอาไว้เขียนกับงานที่ต้องเอา C# หรือ VB.NET มาใช้งาน ทำให้สะดวกมากขึ้นในการทำให้เว็บนั้นสวยขึ้น โดยที่มีระบบ Masterpage (คล้าย ๆ กับ Template/Themes ั้นแหละครับ) เพียงแต่มันถูก build-in มาเลย

14.05 – JavaScript object type filter/detector และ debugger ที่ build-in มาใน IDE
– โดยเป็นตัว debugger สำหรับ JavaScript ตัวนี้ ok มากสำหรับในกรณีที่เราต้องยุ่งกับ JavaScript เยอะ ๆ
– เมื่อเราสร้าง object ใน JavaScript แล้ว ตัว IDE จะ detect object type ว่าเป็นแบบไหน แล้วจะ filter method ให้เหมาะสมกับ object type นั้น ๆ เวลา Intellisense ขึ้นมาทำให้ไม่สับสนว่า method ไหนใช้ได้บ้าง
– ระบบ Detect Method ที่เขียนเพิ่มเติมขึ้นมา เมื่อเราเขียน class ของ JavaScript ซึ่งก็แนว ๆ เดียวกับ C# และ VB.NET นั้นแหละ เพียงแต่คราวนี้ลงมาเล่นที่ตัว JavaScript ซึ่งเป็น Dynamic Type Language (น่าจะเป็นหนูทดลองยาของ Microsoft ในการสร้าง IDE ที่ทำงานกับ Dynamic Type Language ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Python และ Ruby และคาดว่าจะรวมถึง PHP ด้วย)
– ระบบ Debug JavaScript แบบ real-time และ mark ไว้เลยว่าตรงไหนมีปัญหา (ตัว debug มันคล้าย ๆ กับ Firebug ใน Mozilla Firefox)

14.07 – Testing Improvement (Web-site stress test and Web performance test) ส่วนใหญ่ก็เหมือน ๆ กับของค่ายอื่น ๆ เพียงแต่มีตัว Summary บอก Project manager ว่า code มีประสิทธิภาพแค่ไหน

14.45 – จากห้องบอลรูม (Web Development, Developing ASP.NET AJAX Controls with Silverlight) โรงแรมแชง-กรีล่า

14.48 – Using ASP.NET Control and AJAX

14.50 – Demo

15.00 – พูดถึงการ Control ตัวไฟล์ Video โดยใช้ตัว Control ของ ASP.NET เอง

15.00 – พูดถึงการแสดง Subtitle ที่มีอยู่ในตัวไฟล์ Video มาโชว์ใน tag HTML ทั่วไปแทนให้แสดงภายในไฟล์ Video โดยใช้ตัว Control ของ ASP.NET เอง

15.15 – 16.00 – พูดถึงการ Implement ซึ่งก็เอา ASP.NET มาสร้าง AJAX ซึ่งก็เป็นเรื่องทั่วไปที่ไม่ต่างกับภาษาอื่น ๆ เช่น PHP เป็นต้น ซึ่งการสร้าง Control ของ AJAX นั้นซัอนพอสมควรครับ ซึ่งตรงส่วนนี้ผมไม่ได้ดูรายละเอียดมากเพราะลงในระดับ Coding ของ ASP.NET และ SilverLight build-in ที่อยู่ภายใน Visual Studio 2008 นั้นเอง

Read more

NTFS vs FAT32 (Spec)

เจอใน Folder ชื่อ eBook & eDocs ในเครื่องเลยเอามาลง ของเก่า (เก่ามาก ๆ) แต่น่าจะมีประโยชน์

FAT32 (File Allocation Table 32 bit version) พัฒนาโดย Microsoft พัฒนาในครั้งแรกใช้ใน Windows 95 OSR2 ในปี 1996

– โครงสร้างทาง Data Structure เป็น Linked List
– สามารถใช้ความจุสูงสุดต่อไฟล์ที่ 4 Gb ต่อ 1 ไฟล์
– สามารถบรรจุจำนวนไฟล์ได้มากที่สุด 268,435,437 ไฟล์
– ชื่อไฟล์ตั้งได้ที่ความยาว 8 ตัวอักษรสำหรับชื่อ และ 3 ตัวอักษรสำหรับนามสกุล และ/หรือ 255 ตัวอักษร เมื่อใช้งาน LFNs
– ขนาดความจุต่อ Partition ที่รองรับได้ไม่เกิน 2TB (2,048Gb)
– ระยะเวลาของไฟล์ที่จะสามารถบ่งบงเวลาและวันที่ได้ถูกต้อง 1 มกราคม 1980 – 31 ธันวาคม 2107

NTFS (New Technology File System) พัฒนาโดย Microsoft เริ่มใช้ครั้งแรกใน Windows NT 3.1
– โครงสร้างทาง Data Structure เป็น B+-tree
– สามารถใช้ความจุสูงสุดต่อไฟล์ที่ 16 Eb (17,179,869,184 Gb) ต่อ 1 ไฟล์
– สามารถบรรจุจำนวนไฟล์ได้มากที่สุด 4,294,967,295 (2 กำลัง 32) ไฟล์
– ชื่อไฟล์ตั้งได้ที่ความยาว 255 ตัวอักษร
– ขนาดความจุต่อ Partition ที่รองรับได้ไม่เกิน 16 Eb (17,179,869,184 Gb)
– ระยะเวลาของไฟล์ที่จะสามารถบ่งบงเวลาและวันที่ได้ถูกต้อง 1 มกราคม 1601 – 28 เมษายน 60056

ทั้งหมดอ้างอิงจาก http://en.wikipedia.org/

ประสบการณ์ในการใช้งาน Microsoft Wireless Notebook Optical Mouse 4000

หลาย ๆ คนคงรู้อยู่แล้วว่าผมนั้นเป็นคนที่ใช้เมาส์ยี่ห้อ Microsoft มาแต่ไหนแต่ไร ในหลาย ๆ ตอนของ Weblog ผมก็ได้พูดถึง Microsoft Mouse มาพอสมควร แต่วันนี้จะมาพูดถึง Microsoft Wireless Notebook Optical Mouse 4000 กันครับ ซึ่งเมาส์ตัวนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ Laptop ครับ ตัวเล็กแต่เหมาะมือครับ แรก ๆ อาจจะจับยากหน่อยแต่พอใช้ไปสักพักจะเริ่มชินและใช้งานได้คล่องขึ้นครับ

ด้านบน


ด้านซ้าย


ด้านขวา


ด้านหลัง


ด้านล่าง จะมีที่เก็บเสาสัญญา


เสาสัญญาตัวนี้จะมีขนาดไม่ใหญ่มากครับ ส่งสัญญาได้ประมาณ 1 เมตรกว่า ๆ (แต่ทดลองแล้วได้เกือบ ๆ 2 เมตรครับ)


ขนาดเมื่อเทียบกับมือ


ช่องใส่แบตฯ ครับ

ผมได้ใช้เมาส์ตัวนนี้มาได้เกือบ 3 อาทิตย์แล้ว ในด้านความแม่นยำมีสูงมาก ซึ่งตาม spec คือ 1,000 dpi ครับ ซึ่งสูงกว่าเมาส์ตัวเก่าผมถึง 2 เท่า (Wheel Mouse Optical และ IntelliMouse Optical ได้อ่านจากคนที่ได้ทดสอบน่าจะอยู่ประมาณ 400dpi – 500dpi ครับ และ Wireless IntelliMouse Explorer 2.0 อยู่ที่ 600dpi ครับ) ในตอนแรก ๆ ที่ได้ใช้จะดูว่ามันเคลื่อนที่ได้เร็วมาก และเมื่อปรับระดับการเคลื่อนที่ของตัว Cursor ให้เหมาะสมกับการใช้งาน จะรู้ได้เลยว่าต่างจากตัวเก่าที่ความแม่นยำมากครับ (อาจจะน้อยกว่าบางยี่ห้อที่อยู่ระดับ 1,xxxx – 2,xxxx dpi) ครับ

จริงๆ แล้วอยากได้ Microsoft Wireless Notebook Laser Mouse 6000 มากกว่า แต่ด้วยว่างบไม่พอเลยเอาัตัวนี้ก็พอ แต่ก็ถือว่า ok ในระดับราคา 1,800 บาทครับ

โดย Feature ของมันก็มี

  • Microsoft® High Definition Optical Technology อย่างที่บอกไปแล้วครับว่ามีความละเอียดระดับ 1,000 dpi ครับ
  • Ergonomic Design อันนี้ออกแบบให้เหมาะสมกับมือ และการใช้ครับ ซึ่งทำให้ไม่เมื่อยมือครับ
  • Wireless Freedom เป็นแบบไร้สาย
  • Customizable Buttons มี Software (ไม่ขอเรียกกว่า Driver เพราะว่าเราเสียบแล้วเจอเลย แต่ถ้าต้องการความสามารถมากขึ้นก็ต้องลง Software ไปแทน) แถมมาด้วยครับ สามารถปรับแต่งการใช้งานได้หลากหลาย และสามารถปรับการใช้งานแต่ละปุ่มได้ว่าในแต่ละโปรแกรมที่เราใช้นั้นปุ่มแต่ละปุ่มจะมีหลายที่อะไรบ้าง (อันนี้ผมหล่ะชอบมาก)
  • Comfortable in Either Hand ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา
  • Rubber- Sided Grip ตัวเมาส์นั้นใช้แผ่นยางเป็นส่วนประกอบเพื่อการยึดเกาะกับมือไม่ให้หลุดมือได้ง่าย
  • Cutting-Edge Design
  • Smart Receiver ตัวส่งสัญญาที่เล็กและเก็บได้ง่าย แถมยังหาสัญญาเมาส์ให้เองด้วย
  • Laptop/Notebook Portable เหมาะสำหรับ Laptop
  • Longer Battery Life อันนี้แหละที่ชอบมากสำหรับ Mouse Microsoft ซึ่งเป็นสิ่งที่ยี่ห้ออื่นสู้ไม่ได้ครับ อย่างตัวเก่าที่เป็น Wireless ก็ใช้แบตฯ ได้นานถึง 3 เืดือนกว่า ๆ (ใช้งานหนักมาก) ซึ่งถือว่าอึดมากครับ ถ้าเป็นยี่ห้ออื่นไม่เกิน 2 สัปดาห์คงหมด
  • Scroll side to side เป็น Wheel Scroll แบบ 4 ทิศทางครับ ใช้สะดวกมาในการจัดการเอกสาร, ท่องอินเตอร์เน็ต และทำงานต่าง ๆ ที่ต้องใช้พื้นที่จอที่ล้นออกมาจนต้องใช้ Scroll bar ครับ
  • Magnify อันนี้ไว้สำหรับ Zoom ดูข้อความหรือรูปภาพโดยไม่เสียรายละเอียดครับ เหมาะสำหรับคนที่ชอบอ่านข่าว หรือหนังสือบน Computer ครับ ทำงานเหมือนแว่นขยายครับ

Express Editions มัน Free (แต่มีเงื่อนไข) จริงๆ นะ

เข้าไปดูส่วนของ Microsoft SQL Server 2005 Express Editions แล้วตกใจหมดเลยกับคำว่า Free !!! เป็นไปได้ไง

แต่อ่านไปอ่านมา ก็ถึงบางอ้อ?.. หรือหนองอ้อ ดีหว่า (หุๆๆๆ) เพราะว่ามันคือการเปลี่ยนชื่อของ Microsoft SQL Server Desktop Engine (MSDE) จากเดิมที่ Microsoft แบ่ง SQL Server ของตัวเองเป็นสองส่วนคือส่วน Commercial ที่ใช้ชื่อว่า Microsoft SQL Server กับ Free ที่เป็น Microsoft SQL Server Desktop Engine แต่ตอนนี้เพื่อไม่สับสน (หรือเปล่า) เลยให้มันชื่อเหมือนๆ กันซะเลย เลยเปลี่ยนชื่อ MSDE เป็น Microsoft SQL Server Express Editions แทนซะเลย

ว่า Microsoft SQL Server 2005 Express Editions ถึงแม้จะ Express Edition ก็ตามที แต่ก็คาดว่าน่าจะทำงานได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ดูๆ ไปแล้วคาดว่าทาง Microsoft คงเอามาสู้กับ Oracle Database 10g Express Edition ที่ Free ที่ได้เปิดตัว Beta ไปเมื่อเร็วๆ นี้เช่นกัน

แต่ขึ้นชื่อว่าของฟรีแล้ว มันก็มีข้อจำกัดในตัวของมัน Microsoft SQL Server 2005 Express Editions นั้นทำงานได้แค่ 1 CPU, RAM ไม่เกิน 1GB , ขนาดฐานข้อมูลไม่เกิน 4GB และไม่มีพวกสิ่งอำนวยความสะดวกพวก Analysis Services, Reporting Services, Data Transformation Services และ Notification Services เท่านั้นเอง แต่ถ้าอยากได้มากกว่านี้ก็ต้องใช้ของเสียเงินแทนหล่ะครับ ซึ่งถ้าดูๆ ไปก็เหมาะสำหรับคนที่ใช้เล็กๆ น้อยๆ, ธุรกิจขนาดเล็ก หรือนักพัฒนาระบบทั่วไปครับ

ต่อมาในส่วนของ Visual Studio Express Editions ที่แยกมาเป็น

Visual Basic 2005 Express Edition
Visual C# 2005 Express Edition
Visual C++ 2005 Express Edition
Visual J# 2005 Express Edition

แต่อันนี้ใช้ได้แค่ 1 ปีเท่านั้นหลังจากนั้นก็ซื้อมาใช้แล้วกันครับ คงไม่มีอะไรมาก แต่ว่าถ้าเอามาใช้ศึกษานี่เหมาะมาก หรือเอาไปเขียนซอฟต์แวร์ขายก็น่าจะ OK แต่ว่าติดที่คุณต้องลง Microsoft .NET Framework 2.0 ด้วย ซึ่งขนาดไม่แตกต่างกับ 1.1 หรือ 1.0 เท่าไหร่นัก

อย่างอื่นก็ลองอ่านเอาที่

Visual Studio Express : http://msdn.microsoft.com/vstudio/express/
SQL Server Express : http://msdn.microsoft.com/vstudio/express/sql/
Frequently Asked Questions : http://msdn.microsoft.com/vstudio/express/support/faq/default.aspx
Oracle Database 10g Express Edition : http://www.oracle.com/technology/products/database/xe/index.html

Update !!! 11/11/2005
เพิ่งได้รับความกระจ่างในเรื่องของ Visual Studio 2005 Express Edition ต่าง ๆ ของ Microsoft ในเรื่องนี้จากพี่เดฟ (ithilien_rp) โดยผมเข้าใจผิดไปนิดนึงในเรื่องของการใช้ฟรี 1 ปีแล้วหมดอายุนั้น “ไม่ใช่” ครับ

ขอปรับเปลี่ยนว่า การใช้งานนั้น “สามารถใช้ได้เท่าที่ต้องการไม่จำกัดระยะเวลา” แต่ที่จำกัดคือ “ระยะเวลาในการที่จะ Download ตัว Visual Studio 2005 Express Edtion มาเก็บไว้”

อ้างอิงจาก Frequently Asked Questions ใน Link ข้างต้นในข้อที่ 12 ที่ว่าไว้ว่า

You said “free for one year” ? what does that mean, exactly “Will you be charging for this later”

We originally announced pricing of Visual Studio Express at US$49. We are now offering Visual Studio Express for free, as a limited-in-time promotional offer, until November 6, 2006. Note that we are also offering SQL Server 2005 Express Edition as a free download, and that this offer is not limited to the same promotional pricing period as Visual Studio Express.

โดยที่ใจความสำคัญว่า “พวกเราตั้งราคาพื้นฐานของ Visual Studio Express ไว้ที่ 49$ แต่ในตอนนี้ Visual Studio Express นั้น Free โดยมีช่วง Promotion ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2006 โดยที่ SQL Server 2005 Express Edition นั้นก็ Free เช่นกัน แต่ไม่ได้กำหนดเวลา Promotion เหมือนกับ Visual Studio Express”

Update !!! 12/11/2005
มีคนถามว่ามันเป็น Beta หรือเปล่า ก็บอกได้เลยว่า Visual Studio 2005 Express Edition ที่อยู่ในเว็บ มันเป็นตัว Full Version แล้วครับ ไม่ใช่ Beta หรือ Demo/Trial ครับ ซึ่งตอนนี้ผมกำลังโหลดอยู่เหมือนกันครับ

แต่เท่าที่คาดการณ์นะครับ ในเรื่อง Express Edition ที่ได้ฟังจากพี่เดฟ และความเห็นส่วนตัวนั้น เป็นการเปิดตัว Free Developer Tools สำหรับ .NET Platform ทั้งระบบครับ โดยภายใต้การทำ IDE จาก Microsoft แทน Third Party อื่นๆ เพราะว่าปีหน้า Vista กำลังมาครับ และ Vista เป็นการทำระบบทั้งหมดใน OS ใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะ Avalon, WinFS, Indego และทั้งส่วนของ Base Operating System ด้วย โดยคาดการณ์ไว้ว่า Microsoft Windows Vista จะไม่สนับสนุน Win32 Library , VB Runtime Library 6.0 หรืออื่นๆ ก่อนหน้า .NET Platform ทั้งหมด หรือถ้าสนับสนุน ก็ผ่าน Emulator หรือ Run Time Virtual Machine ไปแทน ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพลดลงไป แต่ใช้งานได้ แต่ช้าหน่อย อย่าลืมนะครับว่า .NET มันมี 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ CLR (Common Language Runtime) กับ CLI (Common Language Infrastructure) ซึ่งทำให้คนที่พัฒนาซอฟต์แวร์ทำงานได้ง่าย และดีขึ้น รวมไปถึงถ้าใช้ C++.NET ในการพัฒนาแล้ว Compile เป็น Native Code แบบ .NET แล้วด้วยเนี่ย ทำให้เราใช้ Feature ใหม่ๆ ใน .NET รุ่นใหม่ๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นการทำ Express Edition ออกมาเป็นของเล่นของนักพัฒนาซอฟค์แวร์ได้ลองใช้ และปรับเปลี่ยนการใช้งานของตนเอง รวมไปถึง Recompile ตัว Software เดิมใหม่ด้วย เพื่อให้ Win32 Library , VB Runtime Library 6.0 หรืออื่นๆ ที่ตนเองได้ใช้อยู่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงตัวเองมาทำงานบน .NET แทน ซึ่งดูจากเวลาที่ออกก็มีเวลาในการปรับเปลี่ยนตรงนี้ประมาณเกือบ 1 ปีเห็นจะได้ครับ ซึ่งที่ทำแบบนี้เพราะต้องเอามารองรับการเปลี่ยนระบบ Base Operating System ใน Vista เองด้วย เพื่อให้การปรับเปลี่ยนนี้ราบรื่นขึ้น และมี Software ที่ทำงานได้ดีบน Vista ซึ่งบทเรียนนี้เกิดจากตอน XP ที่ออกมาไม่ได้ทำแบบนี้เลยทำให้ซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่ทำงานไม่ค่อยได้ในตอนแรกนั้นเอง และรวมไปถึง Microsoft น่าจะทำออกมาแข่งกับ Java Platform ที่เพิ่งปล่อยพวก Enterprise IDE ออกมาให้ใช้ฟรีๆ แถมด้วยตลาด Database ที่ออก Oracle ที่ออก Express Edition ที่ยังเป็น Beta เช่นกัน โดยคราวนี้ Microsoft ปล่อยมา ยกระบบเลยทั้ง IDE และ DBMS ด้วย

แหม เล่นซะคนช็อคกันทั่วโลก ไม่อยากเชื่อว่า Microsoft จะสำกดคำว่า Free !!! ได้

Update !!! 13/11/2005
แต่ลองใช้งานแล้ว convert project เก่าจาก VB.NET 2003 มาใช้ใน 2005 ก็ไม่มีปัญหาใดๆ ตัว project ทำงานได้ปกติดี แต่ไม่รู้ว่าตัว project ที่ซับซ้อนมากๆ จะมีผลหรือเปล่า

ส่วนการ download มาแล้วทำการลง แนะนำว่าให้ทำการ register ด้วยจะดีมากครับ เพื่อเป็นการยืนยันลิขสิทธิ์ครับ กันไว้ก่อนดีกว่า

แต่ผมชอบมากเลยสำหรับ Learning Resources for Visual Basic Express เป็น VDO Review ครับ ทำได้ดีพอสมควรทีเดียว

http://msdn.microsoft.com/vstudio/express/vb/learning/default.aspx

เท่าที่ดูนี่ ผมว่างานนี้ Microsoft มาแปลก ๆ ดูทุ่มเท มากเลยงานนี้ ;)

MSN Mail คิดช้าไปหรือเปล่าเนี่ย

จริงๆ มันก็น่าจะมาตั้งนานแล้ว ต้องรอให้ Gmail ใช้มาร่วมปีกว่า คิดช้าไป หรือว่า CPU ของคนทำงาน MSN มันประมวลผลช้าหว่า …… -_-”

แต่เรื่องที่ Gmail ทำงานได้เร็วเพราะ AJAX หรือ Asynchronous JavaScript and XML นั้นเอง ซึ่งมันทำงานโดยใช้

# HTML/XHTML/CSS เพื่อแสดงผล
# Document Object Model ทำการส่งค่า html และทำงานโดยผ่าน JavaScript เพื่อทำการแสดงผลแบบ dynamic ให้กับ HTML/XHTML/CSS มากขึ้น
# XMLHttpRequest เพื่อทำการส่งข้อมูลเข้า และออก web server เพื่อประมวลผล

Web browser ที่สนับสนุนคือ

– Apple Safari 1.2 ขึ้นไป
– Konqueror ทุกรุ่น
– Microsoft Internet Explorer (and derived browsers) 4.0 ขึ้นไป
– Mozilla Firefox (and derived browsers) 1.0 ขึ้นไป
– Netscape 7.1 ขึ้นไป
– Opera 7.6 ขึ้นไป
– ฯลฯ ในอนาคต

ซึ่งจริงๆ แล้วเป็น Technology ที่ใช้ใน Outlook Web Access อยู่แล้ว ซึ่งทำงานผ่าน Microsoft Exchange Server โดยทำงานบน Microsoft Internet Explorer 4.0 ต่อมาในปี 2005 นั้น Google ก็เอามาใช้ใน Google Groups, Google Maps, Google Suggest และ Gmail

ดูเพิ่มเติมที่ http://en.wikipedia.org/wiki/AJAX

ซึ่งการมาครั้งนี้น่าสนใจดี แต่คงไม่ต่างกับ Gmail เท่าไหร่นัก แต่น่าสนใจคือ .Net รุ่นใหม่ และงานด้าน Web Application น่าจะมีการปรับโฉมการทำงานใหม่ไปในทางนี้มากขึ้นแน่นอนทีเดียวเลย

ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะว่ามันทำงานได้เร็วมากเลยหล่ะ ถ้าใครได้ลองใช้งาน Gmail จะรู้ว่าเร็วแค่ไหนในการทำงาน