รางวัลชีวิต

วันหยุดยาวครั้งแรกหลังจากเริ่มทำงานจริง ๆ จัง ๆ ชีวิตหลังจากเรียนจบ 1 เดือนเต็ม ๆ ที่ตะลุยงานแนว DBA มา โดยรวมหนุกหนานดี  ทำงานกับคน มากกว่าทำงานกับคอมพิวเตอร์และข้อมูล เพราะถ้าไม่สื่อสารดี ๆ งานที่วางแผนมาอาจล่มได้ง่าย ๆ และอีกอย่างคือใช้อีเมลกันสนุกสนานไปเลย เดือนเดียวใน Index ที่รับแต่ของบริษัทมีอีเมลเกือบ ๆ 1,000 ฉบับได้แล้วเนี่ย ส่งกันสนุกสนานเลย

วันนี้กลับมาที่บ้าน สิ่งแรกคือตรงไปโรงหนังดูหนัง Harry Potter ภาค 5 ซะหน่อย ว่าจะดู ๆ หลายรอบแล้ว อยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่มีเวลาไปดู อีกอย่างดูคนเดียวมันเหวง ๆ ตัวเอง แต่จนแล้วจนรอดก็ดูคนเดียวอยู่ดีหลังจากกลับมาที่บ้าน T_T เศร้า ……

ก่อนไปดูหนังก็ไปซื้อหูฟังคู่ใหม่สักหน่อย ตอนแรกดู ๆ Philips SHE 9501 also for iPod แต่ดันไม่มี เลยเดินออกมาดูแถว ๆ ที่ขายมือถือเห็น Sony MDR EX71SL ราคามัน 500 บาท ยืนดูสักพัก ดูจากการเพ็คเก็จแล้วไม่น่าใช่ของปลอม เลยไม่รอช้าจ่ายเงินทันที ไม่ต่อราคาเลย แต่ก่อนจ่ายก็ลองฟังเสียงและดูของที่มันให้มาข้างในก็ปกติมีให้ครบทุกอย่าง ก็ได้หูฟังมาคู่สมใจ (แต่กลับมาบ้านดูราคาในเน็ตส่วนใหญ่ตอนนี้ราคามันอยู่ที่ 350 – 450 สำหรับในกรุงเทพฯ แต่ต้องระวังของปลอมด้วย คือปลอมในที่นี้เพ็คเก็จมันจะไม่เนี้ยบเท่าไหร่ และไม่มีพวกลูกยางขนาดอื่น ๆ, ถุงผ้าเก็บหูฟัง และตัวพลาสติกเห็บหูฟังด้วย)

เข้า B2S ก็ไปซื้อหนังสือพวกปรัชญาชีวิต แนว ๆ บริหารธุรกิจมาเล่มนึงแล้วก็ DVD หนังลดราคาอีก 3 เรื่องก็ Pirates of The Caribbean ภาดแรก, Spiderman ภาค 1 และ 2 แล้วก็เดือนไปซื้อสุริโยไท แบบ DVD 5 ชั่วโมงอีก 500 กว่า ๆ ที่แมงป่อง จริง ๆ เรื่องนี้มีอยู่แล้ว แต่น้องเพื่อนเอาไป ดันทำหาย ไม่รู้ไปทำหายท่าไหน ของก็ไม่ใช่เล็ก ๆ เซงจิต ซื้อใหม่ก็ได้วะ เดี่ยวค่อยทวงตังมันที่หลัง

พอได้ของหมดก็เข้าโรงหนังดูหนังไป ระหว่างดูรำคาญไอ้ข้าง ๆ ด้านซ้าย มันจริง ๆ แม่งจะคุยโทรศัพท์อะไรนักหนา พยายามข่ม ๆ ใจไว้นะ แต่คนด้านขวามันจ้องหลายรอบ มันคงรู้ตัวแหละมันเลยหยุดคุย เออ ดีจริง ๆ แม่งถ้าไม่หยุดนี่คงมีมวยแถมในโรงแน่ ๆ

ดูหนังจบเดินไปซื้อหนังสืออีกทีที่ Book Variety ได้มาอีก 3 เล่ม สรุปอ่านหมดไหมเนี่ย -_-‘ น่าจะหมดแหละ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแนว ๆ การใช้ชีวิตในการทำงานเสียมากกว่า ก็ ok แหละสำหรับวันนี้ หมดไปพอสมควร

แต่ที่แน่ ๆ ดูจูมงต่อดีกว่าตอนนี้ดูถึงตอนที่ 42 แล้ว หนังอะไรมันจะยาวบ้าเลือดขนาดนั้น คือมันมี 81 ตอน ตอนละ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ เนี่ย โห … ดูกันไม่ต้องนอนกันพอดี

วันนี้บ่นบ้าอย่างเีดียวครับ ;)

มีแฟนเป็นโปรแกรมเมอร์ต้องทำใจ -_-‘

1. ไม่มีเวลาให้เหมือนคนทำงานอาชีพอื่นเขามีกัน – เพราะเขียนโปรแกรมไม่เสร็จซวย !!! งานใช้ logic สูงสมาธิต้องมากตาม แถมต้องเอาใจเจ้านาย (ลูกค้า) แก้งานก็ต้องแก้ บ่ายเบี่ยงไม่ได้ เดี่ยวไม่มีกิน T_T
2. พูดอะไรจะออกนอกโลกไปหมดแล้ว มนุษย์(แฟนเก่า) เขาฟังไม่รู้เรื่อง – เออ มีแต่คนบอกผมแบบนี้เหมือนกัน หลังๆ เลยต้องมานั่งนึกก่อนพูดเสมอ ไม่งั้นกลายเป็นศัพท์คอมฯ ออกมาหมด -_-‘
3. ทำงานจนเช้า ทำบ้าทำบออะไรนักหนา ไม่หลับไม่นอน – -‘ มันด่าได้ดี – ก็จริง นะเนี่ย T_T แต่กลับไปดูข้อหนึ่งซะ
4. เวลาเข้าร้านหนังสือ มันก็พุ่งไปแต่มุมคอมฯ ซื้อที ๆ นึง ปาไปเป็นพัน ๆ หนังสือจะท่วมห้องอยู่แล้ว อ่านหมดจริง ๆ รึงัย (ดูมันด่าสิ) – อ้าววว ไม่พัฒนาความรู้ก็โดยเด็กรุ่นหลังแซงหมดซิครับ โลกของโปรแกรมเมอร์มันไม่มี senior กับ junior นะ คุณช้าทุกอย่างก็ล้าสมัย

ตอนนี้หลังจากเป็นโสดมาได้เกือบ ๆ 2 เดือน มีความคิดว่าถ้ามีตอนนี้ ก็หาอาชีพเดียวกัน น่าจะจบ อย่างน้อย ๆ ก็คอเดียวกัน น่าจะเข้าใจว่ามันลำบากยังไงมั่ง นั่งทำงานหัวฟูเนี่ย

ไปต่อได้ที่ http://www.pantip.com/tech/developer/topic/DN1998879/DN1998879.html

กลับมา Blog Blog แล้วครับ

หายไปนานกว่า 2 อาทิตย์กว่าได้ จริง ๆ ช่วงที่ผ่านมา เที่ยวไปทั่ว แต่มาช่วง 2-3 วันนี้เพิ่งได้อยู่กับที่ซะที

โดยส่วนตัวเพิ่งซื้อ Notebook ตัวใหม่มาไม่นาน ใช้มาได้สัก 1 เดือนครึ่งแล้ว ถ้าใครเข้าไปอ่านใน MySpace ที่เมนูด้านบนก็จะเห็นว่าตอนนี้เปลี่ยนเครื่องแล้ว ตอนนี้ใช้ ThinkPad Z61t อยู่ โดยรวมถือว่า ok เลย ให้ชื่อมันเป็น HoffmanV2 (อย่างกับไอ้มดแดง ฮ่า …. ) อยากได้ Thinkpad จอ Wide มานานแล้ว เพราะว่าใช้ IDE หลายตัวที่มี Tools ที่กินเนื้อที่ด้านข้่างจอมาก ตัวนี้ได้ 14.1 Wide มีขนาด Resolution ที่ 1,440 x 900 ถือว่าดีมาก

ตัวถังด้านนอกเป็น ABS Plastic และด้านในเป็นโครง Magnesium alloy เพิ่มความแข็งแรงดีมากเลย คือเครื่องมันบางอยู่แล้ว พับจอแล้วหนาประมาณ 1 นิ้วได้ แล้วเป็นฝา Titanium ด้วย น้ำหนักก็ 2.1kg เท่านั้น ก็เบากว่าตัวเก่าครึ่งโลได้ อ่อ เรื่องฝา Titanium เนี่ยถ้าใครมีอาการลอกจากการที่ตัวเคลือบกันลื่นหรือบางคนเรียกว่าตัวกันลอยลอก ซื้อถามช่างแล้วน่าจะเกิดจากการ QC มาไม่ดีของ Cover ที่ใช้สารเคลือบที่ไม่ทนต่อสารเคมีต่าง ๆ  ก็สามารถนำไปเปลี่ยนได้ที่ ศ. IBM ตรงรถไฟฟ้าสถานีอารีย์ได้เลยครับ  ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยน (แต่เสียค่าเดินทาง) ตอนนี้รับเปลี่ยนอยู่ครับ เพราะว่าตัวที่ติดมากับเครื่องบางเครื่องจะมีปัญหานี้อยู่ ตอนนี้ผมใช้ตัวฝาตัวใหม่ที่แก้ปัญหาเรื่องฝา Titanium ลอกแล้วถือว่า ok เลยครับผม

ส่วนอื่น ๆ ก็ยังคงความเป็น ThinkPad เหมือนเดิม อีกอย่างคือได้แบตแบบ 7 Cell มาซึ่งมันยื่น ๆ ออกจากตัวเครื่อง คือถ้าเอาไว้ใช้งานแบบนาน ๆ ก็ ok นะ ใช้ได้ประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง แต่อยากได้แบบ 4 Cell มากกว่าตอนนี้เพราะว่ามันพอดีกับเครื่องถือง่ายกว่า แต่ว่าตอนนี้หาซื้อไม่ได้ เพราะว่าแบตตอนนี้ถือเป็นวัตถุระเบิดไปแล้ว -_-‘  การนำเข้าเลยลำบากครับ แบตรุ่นใหม่ ๆ ที่นำเข้าเลยติดด่านนำเข้า ช่วงนี้เลยนำเข้าไม่ได้ ใครแบตเสียหรือส่งเคลมเรื่องแบตก็ตรวจสอบกันหน่อยนะครับ ว่ามีของหรือเปล่า

ส่วนเรื่องการประมวลผล Core 2 Duo 1.6GHz นี่เร็วกว่า Pentuim M 1.3GHz ตัวเก่า ประมาณ 4-5 เท่าได้เลย ทดสอบด้วยการแปลงไฟล์ภาพยนต์จากแผ่น DVD หลาย ๆ เรื่องที่ตัวเองมีตัวเก่าใช้เวลา 5-6 ชั่วโมง แต่ตัวใหม่นี่ เฉลี่ยที่ 1 ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้น แถมตอนแปลงไฟล์ภาพยนต์ก็ยังทำงานอย่างอื่นไปได้อย่างราบรื่น เพราะตัวโปรแกรมแปลงไฟล์นั้นมันรองรับแบบ MultiThread ตอนแปลงไฟล์มันเลยใช้ Core CPU ทั้งสอง Core ที่โหลดประมาณ 50 – 70% ตลอด เลยมีพอในการใช้งานได้เรื่อย ๆ (ถือเป็นข้อดีของ CPU แบบ Dual Core) ก็แน่หล่ะ สองหัวดีกว่าหัวเดียว ฮ่า … อีกอย่างคือเพิ่ม RAM มาเป็น 1.5GB แล้ว แต่จริง ๆ ไปงาน Commart อยากได้อีกแถมเป็น 2GB แต่รอก่อนแล้วกัน ช่วงนี้เงินไม่ค่อยมีเอาไว้มีแล้วค่อยซื้อแล้วกัน ถึงแม้ว่าช่วงนี้ RAM จะถูกจัด ๆ ก็ตามทีก็เหอะ ตอนนี้ก็มีความสุขดีกับ HoffmanV2 ;)

แล้วช่วงสิ้นเดือนที่แล้วก็ไปเชียงใหม่ไปเที่ยวแล้วไปเคลียร์ปัญหานิดหน่อยแค่ 2 วันแล้วก็กลับไปพิษณุโลกต่อไป ไปเคลียร์งานนิดหน่อย แล้วก็กลับนครสวรรค์ แล้วก็ไปๆ กลับๆ พิษณุโลก เพราะต้องไปเอาใบรับรองการจบการศึกษาและ Transcript สรุปเกรดจบก็ได้ 2.86 ถือว่า ok แต่ก็นะ นั่งปรับปรุง Resume ให้กระชับขึ้น เพราะต้องเอาไว้ใช้งานในอนาคตแน่นอน เฮ้อ …… สนุกสนานครับ

ช่วงนี้ปรับพื้นด้าน Database ใหม่หลายส่วนที่ยังอ่อนอยู่ เพราะได้งานในตำแหน่ง DBA (Database Administrator) มา จริง ๆ รับตำแหน่งส่วน Software Developer Consult อีก ก็น่าจะพอสมควรกับงานที่ได้รับมา เริ่มงานก็วันที่ 1 เดือนหน้า ตอนนี้ของฝึกฝีมือก่อน ;)

มีคนถามมาเยอะเมื่อไหร่ PHP Framework จะได้เริ่ม Release เสียที ต้่องบอกเลยว่าทำการ ปรับโครงสร้างใหม่หมดเลย พอดีว่าจากตอนแรกจะเอาให้มันคล้าย ๆ กับ RoR มาที่สุด แต่ไปๆ มาๆ ไม่เอาดีกว่า ทำให้เหมือนมันก็ทำได้ แล้วทำไปทำไม CakePHP มันก็เหมือนกัน เลยมองว่าไปซ้อนทับตลาดกัน ตอนนี้เลยปรับเปลี่ยนเล็กน้อย โดยเพิ่มแนวคิดแบบ Zend Framework และแนวคิดแบบ .Net Framework เข้ามาผสมด้วยคือตัว Framework ทั้งสองแบบมันเป็น Component-based ส่วน RoR และ CakePHP มันเป็น Automate + MVC-based ใครเคยเขียนพวก .NET Framework อย่าง VB.NET หรือ C#.NET คงนึกภาพออก ประมาณว่าคุณอยากใช้อะไรก็เอา Component มาใส่ ตัว Tools มันหาให้ แต่คุณเลือกเองว่าจะใช้อะไร มันไม่ automated ให้ทั้งหมด แล้วมาปรับแต่งตามงานที่ต้องการแทน แล้วก็โครงสร้างระบบก็ต้อง Design เอง หลายคนที่มีการวางแผนในการพัฒนาระบบที่ดี และต้องการอิสระจะชอบแบบนี้ แต่ว่าถ้าใครออกแบบและวางแผนไม่ดี ซอฟต์แวร์ที่สร้างมันห่วยลงไปในทันที เค้าเลยมีการสร้าง Pattern และ Framework มาครอบมันอีกทีให้มันมีตัวชี้นำว่าควรจะทำอะไร เพื่อทำให้ซอฟต์แวร์ของเรามีรูปแบบ และโครงสร้างที่ชัดเจนและไม่เละ ซึ่งถ้าใครอยากทำอะไรที่ง่าย ๆ และมีแนวทางมาให้บ้างในการพัฒนาซอฟต์แวร์ก็จะชอบ Framework ที่มี Pattern มาให้แล้ว ก็อย่าง RoR หรือ CakePHP ที่เป็น MVC Pattern ซึ่งตัวโครงสร้างและระบบที่ใส่มาให้นั้นก็เพียงพอในงานพื้นฐานและระดับกลาง ส่วนถ้าต้องการขั้นสูงก็ต้องเขียนเพิ่มและ plug เข้าไปในระบบ ที่เรียกว่าการทำ plugin หรือ addon เพิ่ม แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ ตอนนี้เลยปรับโครงสร้างใหม่ให้รับแนวคิดทั้งสองส่วนเข้ามาด้วยกัน พยายามให้สามารถรองรับกับ Zend Framework Conponent ด้วย น่าจะทำให้สามารถนำ Component ดีๆ จาก Zend มาใส่ได้ พยายามจะให้มัน enable ตัว Component ง่าย ๆ อาจจะใช้ XML เป็นตัว config เพราะคิดต่อไปอีกว่าพอมันเป็น XML แล้ว กะจะทำตัว Desktop App สำหรับดึงตัว XML มา config บน Windows UI ได้เลย คงเหมาะกับคนที่ไม่ชอบไปมึนงง กับ tag XML เท่าไหร่ แหม ช่วงนี้ idea พุ่งจริง ๆ เรา ฮ่า ….. แล้วที่ทำตอนนี้เลยคือตัว DB Adapter ใน PHP ที่จะทำเป็น ORM (Object Relational Mapping) แบบเดียวกับ ActiveRecord ใน RoR ตอนนี้มีหลายตัวใน PHP ที่น่าใช้ แต่ส่วนใหญ่รองรับ PHP5 ทั้งนั้น เลยกะว่าจะ Port มาลง PHP4 ด้วย ไม่รู้จะรอดหรือเปล่าเนี่ย แต่ตอนนี้เอาประมาณนี้ก่อนแล้วกันนะ ;)

การจีบสาวก็ไม่ต่างอะไรกับตอนเราฝึกเขียนโปรแกรม

ตอนนี้มีเรื่องบางเรื่องที่ทำให้ต้องเขียนเอามาเปรียบเทียบกัน ฮ่า …. (จริงไหมเพื่อน)

ผมยังจำได้ดีภาษาโปรแกรมมิ่งภาษาแรก ที่เขียนคือภาษาซี เป็นอะไรที่เข้าใจยาก และใช้เวลานานในการเขียนมันให้มันแสดงผล ก็คงไม่ต่างอะไรกับ การทำความรู้จักใครสักคนหนึ่ง ที่เราคงต้องศึกษา และทำความรู้จักให้มากเข้าไว้ จนสิ่งต่าง ๆ ชัดเจนว่า "แห้ว" หรือ "ยังไม่แห้ว" จะคบต่อไป หรือจะล้มเลิกความตั้งใจ หรือเราเข้ากันไม่ได้ (อืมมม) ไม่ใช่ว่ายังไม่ได้ลงมือเขียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ ก็บอกว่ามันยากเสียแล้ว และยิ่งถ้าคนเราตั้งธงตั้งแต่แรกแล้วว่า เรียนภาษาโปรแกรมมิ่งแล้วไม่รู้เรื่องแน่ ๆ ทำไม่ได้แน่ ๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับ เราจีบผู้หญิงแล้วก็คิดไปเอง และตั้งธงไว้เลยว่า "แห้วแน่ ๆ"

"แล้วถ้าคิดว่า แห้วแน่ ๆ เราจะไปจีบทำไมให้เสียเวลาเนี่ย ชอบเค้าก็ลุยเลย รออะไรหล่ะคร้าบบบบ ท่านนนนนน" -_-‘

มนุษย์เราก็เหมือนตัวภาษาโปรแกรมมิ่ง บางคนเข้าใจง่ายอย่าง Ruby หรือ Python หรือเข้าใจยากสุดกู่แบบ Java และหรือแม้แต่พวกที่ต้องอาศัยความพยายามสูงส่งในการทำความเข้าใจอย่าง Machine Code

ถึงแม้ภาษาที่เข้าใจง่ายที่สุด แต่ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยที่บางครั้งกว่าจะรู้ก็ต้องศึกษาอย่างถึงแก่น ก็ไม่ต่างกับศึกษานิสัยคนที่กว่าจะรู้ธาตุแท้ก็ต้องใช้เวลาศึกษากันนานหน่อย

แต่การจะศึกษาภาษาโปรแกรมมิ่งมันก็ต้องใช้ความพยายาม มั่นฝึกฝน, ศึกษา และทำความเข้าใจทุกเช้าเย็น ก็คงไม่ต่างกับการจีบสาวที่มันก็ต้องศึกษาเขา และมั่นเข้าใจใส่ โทรหาบ้าง ตามแต่เวลาจะอำนวย แล้วอย่าไปคิดแทนคนที่เราจีบ ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะเขาและเราไม่ใช่คนเดียวกัน ก็เหมือนภาษาโปรแกรมมิ่งที่มันแตกต่างกันภาษา Ruby และ Python ถึงแม้จะคล้าย ๆ กัน แต่มันก็ใช่ว่าจะเขียนแบบเดียวกันได้ทั้งหมด จริงแมะ ;) นั้นหมายความว่าจงอย่าเอาความเคยชินของตัวเองมาตัดสินแทนคนอื่นในเรื่องนี้

อืมมม วันนี้ออกแนวบ้า ๆ หน่อย อิๆๆๆ

ตกขบวน ?

เรากำลังตกขบวนรถไฟไอที ?

เมื่อวานได้อ่าน Blogging from Beijing ของพี่ mk จริง ๆ แล้ว feed เข้ามาในเครื่องแต่ว่าไม่ได้อ่าน พอดีว่าพี่เดฟ เอามาให้อ่านเลยมานั่งจับใจความอีกรอบ และได้นั่งฟังแนวคิดและความรู้สึกของพี่เดฟในเรื่องนี้ สิ่งหนึ่งที่กระแทกใจอย่างแรงจากที่พี่เดฟ ได้พูดไว้ในตอน Seminars ในแลป ก็คือ "รถไฟขบวนสุดท้ายได้จากเราไปแล้ว" ในสภาพโลกไอที ประเทศไทยโดนโดดเดียวไปแล้วหลาย ๆ เรื่องโดยที่คนใช้งานทั่วไปไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ เพราะตัวเองก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากมาย เพราะตัวเองไม่เคยสร้างอะไรขึ้นมาใช้เอง และหรือแม้แต่คิดที่จะสร้างซอฟต์แวร์หลาย ๆ ไม่มีแม้แต่รายการให้เลือกภาษาสำหรับคนไทย แต่กับประเทศเวียดนาม และหลาย ๆ ประเทศกลับมีให้เลือกอยู่แทบจะทุก ๆ ตัวที่ผมได้จับต้องมา ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งในสังคมไอทีในบ้านเรา และควรจะเร่งรีบแก้อย่างมากคือมาตรฐานตัวอักษรไทย ที่ควรจะมีตัวใดตัวหนึ่งเป็นหลักให้คนทั่วโลกที่ต้องการสร้างซอฟต์แวร์ให้กับคนไทยใช้นั้นได้เอาไว้อ้างอิงแบบตัวอักษรได้ใช้ รวมไปถึงเรื่องการตัดคำของภาษาไทยที่ควรจะใช้งานได้ดีและมีมาตรฐานหลัก ๆ สักตัวให้คนที่ต้องการทำ Text-to-Speech และเรื่องอื่น ๆ ที่จำเป็นต้นใช้ได้มีมาตรฐานกลาง เพื่ออ้างอิงและนำไปใช้ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างคิดแล้วสุดท้ายทุกอย่างก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิมเท่าไหร่ งานด้าน Open-Source นั้นน่าสนใจ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมของคนไทยส่วนใหญ่ที่มักจะแบ่งบันความรู้กันไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะออกแนวขัดขากันเสียมากกว่า เลยทำให้การแบ่งบันความรู้มีน้อย เพียงแค่เรื่องภาษาของเราเอง ที่มันเป็นรากของงานระดับบนในสังคมไอที ที่ทุก ๆ คนต้องไปอ้างอิงถึงยังไม่มีอะไรแน่นอน แล้วชาวต่างชาติที่ไหนจะมาอ้างอิงกับประทศที่ไม่มีอะไรแน่นอนในเรื่องพื้นฐานมาก ๆ แบบนี้ ซึ่งมันก็หมายถึงการทำซอฟต์แวร์ให้สนับสนุนภาษาไทยอย่างเต็มขั้น

จากย่อหน้าแรกจะเห็นได้ว่าแค่เรื่องพื้น ๆ เรายังไม่มีรากเป็นของตนเองเลย และเรื่องต่อมาที่ทำให้พี่เดฟรู้สึกเซงมาก ๆ ก็คือเราตกขบวนไปแล้ว โดยในขณะที่คนระดับบนของรัฐฯ กำลังนั่งไล่ล่าหาข้อมูลด้านการทุจริตต่าง ๆ ของรัฐบาลชุดที่แล้ว และกระทรวง ICT ก็นั่งไล่ปิดเว็บโป๊, เว็บที่เป็นภัยต่อความมั่นคงต่าง ๆ และรวมไปถึง Camfrog อีกฝากหนึ่งของโลก และอีกหลาย ๆ พื้นที่ในโลกที่ไม่ไกลจากเรามากนัก อย่างเวียดนามกำลังสร้างบุคคลไอทีระดับหัวกระทิมากมาย, มีทรัพยากรบุคคลมากมายให้กระจายแนวคิดและความรู้ต่าง ๆ ลงไปให้กับคนระดับกำลังศึกษา ซึ่งคนในระดับกำลังศึกษานั้นมีความตื่นตัวสูงมากในการศึกษาหาความรู้ใหม่ ๆ ซึ่งมันอยู่ในระดับที่น่ากลัวมาก เพราะเค้าถูกกดทับด้านความคิดและความรู้มานาน ทำให้เมื่ออะไร ๆ มันเปิด คนทุกคนก็หวังจะมีอะไรที่ดี ๆ มากขึ้นทุกคนเร่งรีบพัฒนาตัวเองเพื่ออนาคตที่ดีกว่า เหมือนภูเขาไฟที่สะสมพลังงานมาอย่างยาวนาน เมื่อทุกอย่างได้ที่ก็ระเบิดออกมาราวกับแผ่นที่จะพังทลายเสียให้ได้ ทำให้ทุกคนทั้งโลกรู้ว่าที่นี่กำลังเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ทุกคนมุ่งสู่ตลาดใหม่ ๆ อย่างไม่ลังเล ด้วยพลังที่ระเบิดออกมาอย่างมหาศาล และทุก ๆ คนที่อยู่รวบนอกภูเขาไฟนั้นกำลังต้องการพลังงานที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนจึงมุ่งเข้าสู่แหล่งพลังงานนั้น ส่วนเราประเทศไทยในตอนนี้นั้นเหมือนภูเขาไฟที่ไม่ได้ถูกสะสมพลังงานมามากพอ และดูเหมือนกับว่าภูเขาไฟข้าง ๆ หลาย ๆ ลูกที่กำลังระเบิดออกมาพร้อม ๆ กันปล่อยเถ้าถ่านมากมายมหาศาลออกมาแล้วตกลงมากองลงที่ภูเขาไฟที่ชื่อว่าประเทศไทยเสียมิด จนกลบภูเขาไฟเราเสียสิ้น เมื่อคนแสวงหาแหล่งพลังงานมาสำรวจและค้นหา กลับเดินข้ามเราไปสู่ที่ที่มีพลังงานที่มากและสูงกว่า ช่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก

"โลกกำลังหมุนไป, โลกไม่คอยเรา แต่เราคนไทยกำลังคอยให้โลกเหวี่ยงเราไปตามแรงหมุนของโลกแทน โดยที่เราไม่เดินหรือวิ่งตามแรงของโลกที่หมุนไปเพื่อให้ทันกับกระแส ระวังให้ดี แรงของการเหวี่ยงของโลกจะทำให้เราหนีจากศูนย์กลางของโลก และเราจะหลุดและตกโลกไปในไม่ช้า"

อีกเรื่องคือ เรายังไม่ทันต่อการมาและไปของสิ่งต่าง ๆ เรามีแผนงานรองรับสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่ทันทั้งในภาครัฐฯ, ภาคเอกชน และรวมไปถึงบุคคลทั่วไป ประเทศเรารับเทคโนโลยีได้ไวมาก โลกมีอะไร เราคนไทยรู้และพร้อมใช้งานได้ทันที แต่เราไม่สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่อยู่ภายในว่ามันทำงานอย่างไร และเราสามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง เราเป็นผู้รับที่ดี แต่เราไม่เป็นผู้สร้างที่ดี ทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างฉายฉวย ซื้อมาและขายไป มากกว่าการวิจัยและพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ เพื่อใช้เองภายในประเทศโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาต่างประเทศทั้งหมด ตอนนี้เราตกขบวนแต่สิ่งที่เราน่าจะเริ่มทำ และทำทันที นั้นคือไล่ตามรถไฟขบวนนั้นไป ถือแม้ว่าธุรกิจด้านไอทีจะเร่งความเร็วสูงขึ้นเป็นเท่าตัวทุก ๆ 18 เดือน แต่ปีนี้เป็นช่วงพลัดใบของไอที เป็นช่วงชะลอตัวที่สุดในรอบหลาย ๆ ปี การไล่ตามทันในช่วงนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดช่วงหนึ่ง ถึงแม้ประเทศอื่น ๆ จะรู้ทิศทางนี้เช่นกัน และกระโดดลงเล่นกับมันไปแล้วก่อนหน้านี้หลายปี นับตั้งแต่ Microsoft ปล่อย .NET 2.0 และตัวซอฟต์แวร์ช่วยพัฒนาอย่าง Visual Studo Express 2005 Version (รุ่นใช้งานได้ฟรี) ออกมา เพื่อเอามาทดสอบ และทำแผนการพัฒนาซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ ๆ  ในขั้นต่อไป แต่ก็มีน้อยคนและน้อยทีมที่จะปรับเปลี่ยน Project ที่ทำจากรุ่น 2002 และ 2003 มาเป็น 2005 ซึ่งที่ทำนั้นเพื่อรองรับแนวคิดใหม่ ๆ ที่ยังผลให้ซอฟต์แวร์สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นกับ OS รุ่นใหม่ ๆ ได้ทันทีที่ออก นั้นก็คงไม่ต่างกับค่าย Apple ที่มี OS ตัวใหม่ และได้ปล่อยชุดพัฒนาซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ ออกมาเพื่อรองรับการ OS รุ่นต่อไป ซึ่งก็คงไม่ต่างกัน และในตอนนี้ซอฟต์แวร์มากมาย ต่างรอคอยให้ระบบ OS ต่าง ๆ นั้นเปิดตัวเมื่อนั้นซอฟต์แวร์เก่า ๆ ทุกตัวก็สามารถทำงานได้ทันที ซึ่งในไทยนั้นมีน้อยมากที่มีแผนรองรับเรื่องนี้

ส่วนเรื่องต่อมาก็แนวคิดการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนี้นั้น หลาย ๆ ตัวเป็นเรื่องที่เราเห็นจนชินชา และได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดต่างประเทศ แต่ในไทยยังคงพัฒนาซอฟต์แวร์ในรูปแบบเดิม ๆ ซึ่งช่างน่าเศร้าไปอีกที่หนังสือและตำราเรียน รวมไปถึงผู้สอนบางท่านยังคงแนวความคิดเดิม ๆ เขียนหนังสือ และนำเสนอแนวทางพัฒนาซอฟต์แวร์ในรูปแบบเดิม ๆ ทำให้คนที่เรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น ก็เอาแนวคิดนั้นไปใช้อย่างผิด ๆ และล้าสมัย รวมไปถึงการหลาย ๆ อย่างที่นำเสนอนั้นกลับแทบจะไม่สามารถใช้งานได้จริงแล้วในปัจจุบัน แต่กลับยังคงแนวการสอนแบบเดิม ๆ โดยไม่ได้ดูว่าโลกนั้นใช้อะไร และไปถึงไหนแล้ว เรายังสอน OOP โดยที่ไม่รู้ว่ามันทำอะไรได้บ้าง บางคนสอน OOP เพราะ OOP มันคือ class เท่านั้น (บ้าไปแล้ว -_-’) หรือการสอน OOP นั้นควรสอนอะไรที่ให้แนวคิดมากกว่าท่องจำ ควรเรียนและนำแนวคิดใหม่ ๆ นั้นเอาไปปรับใช้ จริง ๆ สอน OOP มันไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ด เพราะ OOP มันเหมือน Concept ที่ไม่ควรยึดติดกับภาษาใดภาษาหนึ่ง จริง ๆ เรียนควบคู่กับ Design Pattern น่าจะช่วยให้มองเห็นภาพมากขึ้นว่า OOP เอาไปแก้ปัญหาอะไร ได้บ้าง ซึ่งมันน่าจะเป็นอะไรที่อิสระมากกว่านั้น เหมือนภาษา Imperative ต่าง ๆ นั้นรูปแบบการเขียนก็ไม่ต่างกัน หรือภาษา functional ก็มีแนวทางหลัก ๆ ในการเขียนไม่แตกต่างกัน นั้นหมายความว่าคุณเขียน OOP ด้วยภาษาใด ๆ ที่เป็น Imperative เช่น Java คุณก็สามารถเขียนได้ใน VB.NET หรือ C# ได้ เพราะมีแนวทางไม่ต่างกันโลกส่วนหลัก ๆ แค่เรียนรู้ syntax เท่านั้นเอง (ลองเขียน VB.NET และ C# ควบคู่กัน แล้วดูว่ามันไม่ต่างกันเท่าไหร่ในส่วนหลัก ๆ)

แนวการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ นั้นมีมากมาย แต่คนที่เรียนจบและทำงานแล้ว มักไม่สนใจ และนำไปใช้กับมากนัก ทำให้คนรุ่นหลัง ๆ เข้าทำงาน หรือเพิ่งเริ่มเรียนรู้จากคนที่ทำงานแล้วนั้นมักได้แนวความคิดเก่า ๆ ไปแทน ซึ่งน่าเสียดายยิ่งนัก ซึ่งผมโชคดีที่ได้เรียนรู้กับคนที่มองอะไรบนแนวคิดใหม่ ๆ หลายท่านมาก นับตั้งแต่ ม.ต้นแล้ว ที่ได้แนวคิดใหม่ ๆ ในเรื่องพวกนี้ แต่วันหนึ่งมันก็เริ่มปรับตัวได้ช้าลงด้วยสภาวะแวดล้อมบางอย่างที่ทำให้เราดูเฉื่อยลงไป อย่างน่าใจหาย -_-’

จากที่ได้บ่น ๆ มา ทำให้เรารู้ว่าเราสอนอะไรต่าง ๆ นั้นบางครั้งก็เอาไปใช้งานจริงไม่เต็มที่ และรวมไปถึงเราสอนให้ผู้เรียนนั้นมองภาพไม่ออก ว่ามันมีความจำเป็นอย่างไร และมันเกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เราจะเจอในอนาคต

ต่อมาคือคนรุ่น ๆ ใหม่ ๆ บางพวก มักเรียนแบบส่ง ๆ แบบขอไปที และมักไม่มีความพยายามที่จะอดทนมากพอ ไม่เคยสอน ไม่ใช่หมายความถึงไม่สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ได้ บางคนถึงแม้มีคนชี้นำให้แล้ว แต่กลับไม่พยายามต่อโดยที่โบ้ยไปว่าแปลไม่ออก หรือแม้แต่ไม่รู้จะหาที่ไหน เป็นประเภทใช้ของที่มีอยู่แล้วไม่เป็น อย่าง Google หรือโปรแกรมแปลภาษาต่าง ๆ และเดี่ยวนี้ผู้เรียนเลือกผู้สอน แต่ผู้สอนไม่มีสิทธิที่จะเลือกผู้เรียน ทำให้คนเรียนมีอำนาจเหนือผู้สอน จนทำให้ระบบการเรียนนั้นไม่สามารถเคี่ยวคนให้ข่น เป็นจอมยุทธระดับสุดยอดได้ เป็นแค่พวกปลายแถว แต่เพียงแค่โดยคู้ต่อสู้จับกระบี่ยังไม่ทันเอาออกจากฝักก็หัวใจวายตายคาสนามรบไปเสียแล้ว ดั่งเหมือนกับเจอปัญหา แล้วไม่ลองค้น ลองหา (ดร. Google) ลองทำเอง ก็ล้มเลิกความตั้งใจตั้งแต่แรกไปเสียแล้ว

ช่างน่าเศร้าที่เรามีคนไม่อดทน และไม่ทันต่อโลก แบบนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ว่าง ๆ จะมาบ่นเรื่องนี้ต่อ เพราะมีเรื่องให้บ่นอีกเยอะ