[Exclusive Report] Windows 7 Blogger Day Insider

วันนี้ 16 กันยายน 2552 ทาง Microsoft Thailand เชิญผมและ @9aum และ blogger อีกหลายท่านรวม 8 คน ที่เห็นๆ ที่จำได้ก็ @lewcpe, @2how, @kengdotcom และ @markpeak มาร่วมงาน Windows 7 Blogger Day Insider ที่จัดก่อนงาน Windows 7 Blogger Day ในวันที่ 26 กันยายน 2552 นี้โดยจะจัดเป็น Invitation Blogger Day ซึ่งเว็บเราคาดว่าจะได้โควต้าอยู่พอสมควรครับผม

โดยวันนี้นั้นเป็น งานสบายๆ ครับ ผมไปเกือบ 18:30 น. จากที่นัดไว้ 18:00 น. เพราะฝนตกและรถติดตามประสากรุงเทพฯ ของเรานั้นเอง ไปถึงผมก็เบลอๆ งงๆ เพราะงงๆ ว่าทำไมคนเยอะจัง เจอคนรู้จักหลายท่านที่แน่ๆ ก็พี่ต้นที่คุ้นเคยกันดีครับ คุยกันเรื่อยๆ เปื่อยๆ มีเบียร์ มีพิซซ่าให้รับประทานด้วย แต่ว่าพอดีมาแบบรีบสุดๆ เลยไม่หิวเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่อยากกินนะ -_-‘ เสียดายเหมือนกันนะเนี่ย ;P คืองานนี้ผมเหมือนพูดน้อยๆ ไม่ค่อยได้คุยกับใครอาจจะเพราะเกรงๆ ด้วยแหละ แบบมากระเซิงเลย T_T
เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ ตามการเปิดตัวของ Microsoft นั้นเปิดตัวอย่างเป็นทางการในอเมริกาคือ 22 ต.ค. 52 อย่างที่เราทราบกัน

แต่ในไทยนั้นจะเป็นแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ

  1. ตลาดคนทั่วไปคือวันที่  31 ต.ค. 52 ถึง 1 พ.ย. 52 ที่สยามพารากอน
  2. ตลาดธุรกิจในวันที่ 17 พ.ย. 52 ที่ศูนประชุมแห่งชาติย์สิริกิตติ์

โดย ในส่วนของคนทั่วไปนั้นจะมุ่งไปที่คุณสมบัติด้านความบันเทิง และการทำงานของคนทั่วไปมากกว่า ส่วนของภาคธุรกิจจะมุ่งเน้นในเรื่องการนำไปใช้ให้ครบคลอบคลุมทั้งระบบของ Microsoft ซึ่งจะมีเรื่องของ Windows Server, Exchange Server และระบบเครื่อข่ายทั้งหมดด้วย ซึ่งในงานของตลาดคนทั่วไปจะไม่เน้นมากนักนั้นเอง

ในวันนี้เป็นงานที่ มา review เรื่องของคุณสมบัติต่างๆ ที่คิดว่าจะทำให้เราทำงานได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งน่าสนใจมากๆ แต่ผมคิดว่าไว้วัน Windows 7 Blogger Day จริงๆ จะเขียนอีกรอบ เพราะขออุบไว้ก่อนเดี่ยวไม่สนุก ;P
โดยในงานนั้นสิ่งที่ทำให้ผมแปลก ใจคือ Wallpaper ใน Windows 7 มีอยู่ 1 ภาพที่เป็นฝีมือคนไทยครับ แต่เดี่ยวจะหาและถามชื่ออีกทีพอดีว่าผมจดไม่ทัน ส่วนรูปวิวอื่นๆ นั้นวันนี้พี่ @2how จาก http:/www.2how.com ก็มาในงานวันนี้ด้วยคาดว่าทาง Microsoft คงทาบทามเพื่องานนี้โดยเฉพาะ และเห็นว่าจะชักชวนทางเว็บ Pixpro’s (http://www.pixpros.net) มาร่วมด้วยเช่นกันครับ เราคงได้เห็น Wallpaper ฝีมือคนไทยเพิ่มมากขึ้นครับ

ทาง Microsoft Thailand ได้เริ่มทำตลาดในส่วนของ Social Networking ผ่าน Twitter, Facebook และเว็บเฉพาะกิจอย่าง http://www.windows7thailand.com เพื่อรองรับความคิดเห็นและกิจกรรมของ Windows 7 อย่างเต็มที่ในประเทศไทยครับ
อยากรู้ว่ามีอะไรน่าสนใจใน Windows 7 ติดตามได้ที่งาน Windows 7 Blogger Day ซึ่งจะจัดกันในอีกไม่กี่วันนี้แน่นอนครับ

ปล.1 หลายๆ เรื่องยังบอกอะไรมากไม่ได้ครับ เพราะเป็นเรื่องการพูดคุยเชิงปรึกษาสำหรับงาน Windows 7 Blogger Day จริงๆ อีกทีครับ

ปล.2

ภาพจาก http://www.blognone.com/node/13143
ที่ Microsoft Thailand ใช้ ThinkPad กันเยอะมาก อย่างกับงาน ThaiThinkPad Meeting เล็ก ๆ ก็ไม่ปาน ;P

ปล.3 สาว Microsoft น่ารักครับ confirm !!! โดยเฉพาะน้องเมย์ แหะๆๆ เพิ่งทราบชื่อจาก @markpeak ผมก็จำชื่อไม่ได้เพราะเหมอลอย -_-‘ และทราบตามมาอีกว่าจบ BE จาก ม.ธ. !!! จาก @lew

จอ LCD แบบ antiglare และ glossy, LED และ CCFL

จอด้าน (antiglare) เป็นจอภาพดั่งเดิมซึ่งแทบจะไม่มีการสะท้อนแสงจากตัวจอออกมากระทบตาของเรามาก นัก ทำให้ถนอมสายตามากกว่า แต่แลกกับสีสันที่ไม่ฉูดฉาดมากนัก

จอกระจก (glossy) เป็นจอที่มีการนำสารบางอย่างมาฉาบให้เกิดการรวมแสงหรือเพิ่มโทนสี ทำให้สีสันสดใสกว่า บางรุ่นเอา antiglare ไว้ด้านในแล้วเอากระจกฉาบแบบ glossy มาไว้ด้านหน้าแทนก็มี แต่แลกกับการสะท้อนแสงที่มากขึ้น ซึ่งไม่เหมาะกับการทำงานกลางแจ้งที่มีแหล่งกำเนิดแสงอยู่ด้านหลังตัวผู้ปฎิ บัติงานครับ เพราะแสงเหล่านั้นจะสะท้อนเข้าตาเรา ทำให้ตาเราต้องเพ่งมากขึ้น

ข้อเสียของจอภาพแบบ LCD ทั้งสองแบบคือไม่หมาะกับการทำงานกลางแจ้งเพราะแสงจากตัว Backlight สู้แสงกลางแจ้งไม่ไหวครับ ถึงแม้จะมี antiglare film มาติดให้กับจอแบบ glossy แต่ก็ทำให้สีสันและความเที่ยงตรงของสีลดน้อยลงไป ซึ่งในการทำงานบางประเภทที่ซีเรียสกับเรื่องสีที่เที่ยงตรงสูงมักไม่นิยมกัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่ตอนนี้จะใช้จอแบบ antiglare เป็นมาตรฐานครับ

โดยที่จอด้าน (antiglare) และจอกระจก (glossy) มีทั้งแบบ CCFL Backlight และ LED Backlight เหมือนกัน ซึ่งจอภาพที่ใช้ใน Notebook ในปัจจุบันเรียกว่า LCD (Liquid crystal display) ทั้งนั้น เพียงแต่ตัว Backlight ด้านหลังจะใช้ CCFL Backlight (Cold Cathode Fluorescent Lamps, หน้าตาเหมือนหลอดนีออนตามบ้าน) หรือ LED Backlight (Light Emitting Diode, เป็นหลอดเล็กๆ เป็นจุดๆ หน้าตาประมาณ หลอดไฟมือถือรุ่นใหม่) เท่านั้นเองครับ

08_good_ccfl

ภาพ CCFL Backlight จาก Rescue IBM ThinkPad T40 “Black” Display: Replacing its CCFL

NDF-CCFL-lamp-a

ภาพ CCFL Backlight จาก BARCO LCD Display BackLight Replacement

sony_display_size

ภาพเทียบความบางของจอแบบ LED Backlight และ CCFL Backlight
จาก 11.1" TFT LED Backlit Display: A Viable Way Out For The Energy Crisis? Continued

sony_led

หน้าตา LED Backlight จาก 11.1" TFT LED Backlit Display: A Viable Way Out For The Energy Crisis? Continued

LED-backlight

ภาพการจัดเรียงตัวของ LED ตามปรกติ จาก LED backlighting coming to a Mac near you

ซึ่งปัจจุบันเนี่ยจอใน Notebook รุ่นสูงๆ จะใช้ LED Backlight กันซะเยอะแล้ว เพราะประหยัดพลังงานกว่าและจอไม่เหลือง เพราะการเสื่อมสภาพของ Cathode Fluorescent โดยที่จอ LCD แบบ LED Backlight ตอนนี้ราคายังคงแพงอยู่พอสมควรเพราะยังผลิตใน Scale ไม่เยอะเท่ากับ Cathode Florescent ครับ คงต้องรออีกสักพักคงจะเป็นมาตรฐานไปครับ

Work Flow ในการแต่งรูปหลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้วของผม (ฉบับแต่ภาพผู้หญิง)

อันนี้เน้นถ่ายรูปสาวๆ ก่อนนะครับ ;P

  1. เอาการ์ดออกจากกล้องก็ Import เข้า Adobe Photoshop Lightroom ทันที
  2. ปรับ Library ตามวันที่ที่ถ่ายรูป ถ้างานไม่เร่งก็ใส่ Metadata ต่างๆ เพื่อสะดวกต่อการค้นหา
  3. เลือกรูปที่ต้องการจะ Post-Process ทั้งหมดโดยใช้ Flag Color แบ่งตามประเภท แล้วตามด้วย Star สำหรับลำดับการงานก่อนหลัง
  4. แล้วก็ไล่ดูว่าภาพไหนเบลอ ภาพไหนไม่ชัด หลุดโฟกัสก็ลบออกไปตามความเหมาะสมอีกทีหนึ่ง
  5. พอ ได้ลำดับการทำงานแล้วก็ไล่ปรับ Picture Control (Camera Profile) เป็น Portrait ให้ Skin Tone ออกชมพูนิดๆ ดูสวยงาม อาจจะไม่ทุกรูป ดูตามความเหมาะสม ไล่ไปทีละภาพค่อยๆ ดู
  6. ระหว่างปรับ Picture Control ก็เช็ค WB ด้วยว่ามัน ok ไหม
  7. แล้ว จัดการดึง Exposure และ Curve เพื่อเพิ่มกราฟของ Histogram ไปด้านบวกพยายามให้ High Key ตามความเหมาะสมเพื่อให้ผิวสาวๆ ดูชมพูและออกนวลๆ มากขึ้น
  8. ข้อควรคำนึงคือสาวๆ ต่อให้แต่งหน้าเก่งแค่ไหนก็ไม่เนียนครับ ยิ่งถ่ายภาพใช้เลนส์ Macro ให้ใช้ Adjustment Brush แล้วใช้ Clarity เกลี่ยผิวอีกทีเพื่อให้เนียนขึ้น เสร็จแล้วค่อยเพิ่ม exposure หรืออื่นๆ ตามความเหมาะสม
  9. พอ Process RAW จบทุกภาพที่ทำ Flah/Star แล้วทำการ Export เป็น TIFF/JPEG (แล้วแต่งาน) ด้วย Preset ที่ตั้งไว้ โดยผมใช้ ICC เป็น sRGB ทุกขั้ยตอน
  10. เปิด ภาพบน GIMP แล้วใช้ Heal ลบริ้วรอยและสิ้วออกไปให้หมดและเกลี่ยอีกที ส่วนอื่นๆ ก็เล็กๆน้อยๆ หาเอาเช่นทำตาให้เป็นประกายหรืออะไรพวกนี้อีกทีนึง
  11. ดู ว่าภาพจำเป็นต้องทำ High Pass Filter, USM หรือ Soft Skin อะไรพวกนี้หรือเปล่าอีกทีนึง แต่ปรกติแล้วถ่ายด้วยเลนส์อย่าง Macro 60mm F2.8D ก็แทบจะไม่ต้องใช้เลย แถมคมจัดอีก -_-‘ ไล่เกลี่ยผิวกันสนุกเลยทีเดียว

ข้อควรระวังในการใช้ Clarity

  1. อย่าใช้ Clarity ในบริเวณที่ไม่เหมาะสม เช่นบริเวณคิ้วเพราะคิ้วอาจจะบางลงให้ Erase ออก และบริเวณที่ไม่เกี่ยวกับผิวเช่นดวงตา ฯลฯ ออกด้วย เดี่ยวจะไม่สวย
  2. Clarity ใช้มากไปหน้าจะพสาสติกไม่เป็นธรรมชาติ เอาพอประมาณเกลี่ยให้เนียนพอประมาณ ส่วนอื่นๆ แล้วค่อยมาใช้ Heal ลบใน GIMP จะชัวช์กว่า

หลักการณ์ Retouch หน้าสาวๆ ของผมคือทำให้สาวๆ เค้าหน้าเนียนที่สุดแต่ยังดูเป็นธรรมชาติเท่าที่จะทำได้ ผมจะไม่ใช้พวก plugin พวกทำหน้าเนียนแบบหว่านทีเดียว 5-20 รูป จะค่อยๆ ทำทีละรูป ไม่งั้นมันไม่ค่อยสวย ดูไม่ใส่ใจเท่าไหร่
ซึ่งข้อควรจำในการ Retouch ภาพคือ zoom 100% – 200% ซะ !!! เพราะเราจะเห็นรายละเอียดชัดและเกลี่ยได้อย่างสวยงามที่สุดเท่าที่จะทำได้
โปรแกรมที่ใช้ใน Workflow ตอนนี้

  1. Adobe Photoshop Lightroom ใช้เป็น Library และ RAW Process
  2. GIMP ใช้เป็น Retouch Process
  3. XnView เป็นโปรแกรมสำหรับทำ Batch Process และ Save for Web

* กำลังเก็บเงินซื้อ Adobe Photoshop Lightroom อยู่ใกล้เป็นความจริงแล้วววววว ส่วน Adobe Photoshop คงไม่จำเป็น GIMP มันเพียงพอแล้วสำหรับงานพวกนี้อยู่แล้ว ถ้าหาเงินได้จากการถ่ายภาพค่อยคิดอีกทีนึง

อันนี้เป็นประสบการณ์ใน การ Retouch ภาพของผมในช่วง 2-3 เดือนผมปรับปรุงกระบวนการต่างๆ มาตลอดทุกๆ ครั้งที่ผมโพสอัลบั้มใหม่ๆ ขึ้นใน Multiply เพื่อผลของภาพที่ดีขึ้น จะดูได้จากผลงานแรกๆ ที่ผมนำขึ้น Multiply และผลงานล่าสุดที่นำขึ้นจะเห็นความแตกต่างในการทำงานส่วนนี้ครับ

เมื่อ ทำการ Process ภาพจบแล้วไฟล์ทุกไฟล์จะถูกทำ Daily Backup ทุกวันตอน 23:55น. และไฟล์ภาพทั้งหมดจะ Duplicate/Mirror Backup อยู่ใน HDD อยู่ 2 ตัวกันพลาดอีกทีนึง ;P

จาก http://fordantitrust.multiply.com/journal/item/19/19

กรี๊ดดดด ได้ Zend Studio version 7.0 มาใช้ฟรี

ไม่รู้ไปทำบุญที่ไหนมา ได้ใช้ Zend Studio version 7.0 พร้อม support ฟรีอีก 36 เดือน (3 ปี) ราคา Zend Studio – 3 years of upgrade and support ก็ $ 717.00 ครับ

อาจจะเพราะผมไปร่วมด้วยช่วยกันทดสอบ Zend Web Application Server ที่ชื่อ “Zenith” เมื่อกลางปีที่แล้วก็ได้มั้ง ก่อนที่จะออกมาเป็น Zend Server ตัวล่าสุดนี้ (มี Version CE ด้วยนะ ไปลองโหลดมาใช้ดู ลองแล้วปรับแต่งและรวดเร็วใช้ได้เลย)

2009-08-19_065757

image

กำลังบ้าถ่ายรูปครับ

ไม่มีอะไรแค่จะมาบอกว่าตอนนี้ผมบ้าถ่ายรูป อยากติดตามผลงานเข้าไปได้ที่ Photo Blog ผมที่ http://fordantitrust.multiply.com/ ได้ครับ

ส่วนที่นี่ก็พยายามจะ update เรื่อยๆ เมื่อเวลาอำนวยหลังจากนั่งทำงาน และนั่งแต่งรูปแล้ว (จะเหลือเวลาไหมเนี่ย –_-‘)

ตอนนี้ใช้ Nikon D80 อยู่ครับ ส่วนอื่นๆ ก็

  • Nikon MB-D80
  • Nikon Speedlight SB-900
  • Nikon AF-S DX Nikkor 18-135mm F/3.5-5.6G IF-ED
  • Nikon AF Micro Nikkor 60mm F/2.8D
  • Nikon AF ED Nikkor 80-200 F2.8D

ติดตามผลงานได้เรื่อยๆ ที่ http://fordantitrust.multiply.com/ ครับ สำหรับภาพถ่าย ;P

DSC_3984 DSC_4539 
DSC_4423 DSC_4220

DSC_1914

DSC_2915 DSC_3830

DSC_2786 DSC_3273