7 สิ่งมหัศจรรย์ แห่ง 7 – ตอนที่ 3 สิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 5-7 – Native VHD boot, XP Mode และ UAC

ห่างจาก "7 สิ่งมหัศจรรย์ แห่ง 7 – ตอนที่ 2 สิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 4” มา 8 เดือน!!! แต่ยังเขียนต่อนะครับ ;P

Native VHD boot

คุณสมบัตินี้ มีอยู่ใน Windows 7 และ Windows Server 2008 R2 ซึ่งเจ้า Native VHD boot นี้จะใช้ได้ใน Edition ของ Windows 7 คือ Enterprise และ Ultimate edition เท่านั้นครับ

โดยเจ้า VHD นั้นเป็นชนิดของไฟล์ที่คิดค้นโดยบริษัท Connectix ผู้เป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ชื่อดังอย่าง Virtual PC และต่อมา Microsoft ได้เข้าซื้อกิจการจนเปลี่ยนชื่อเป็น Microsoft Virtual PC ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา เมื่อซื้อมาแล้วก็ปล่อย Microsoft Virtual PC ออกมาเพื่อให้ทำงานได้บน Windows XP และ Windows 2000 เป็นต้นมา โดยเพื่อให้สามารถรองรับการใช้งานกับ Operating System ที่เก่ากว่าให้ทำงานแบบ Operating System แบบ Guest OS ได้อีกทีนึง

โดยเจ้า VHD นั้นทาง Microsoft ได้ให้ข้อกำหนดตัว VHD Image Format Specification ไว้เป็นสัญญาอณุญาติแบบ Microsoft Open Specification Promise ทำให้เราสามารถใช้เจ้าไฟล์ VHD กับซอฟต์แวร์จากผู้ผลิตค่ายอื่นๆ ได้เช่นกัน

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ VHD กันก่อน เจ้า VHD นี่ย่อมาจาก Virtual Hard Disk ซึ่งเป็นรูปแบบไฟล์เสมือนที่ทำตัวคล้าย Hard Drive ตัวนึงเมื่อเราทำการเปิดขึ้นด้วยวิธีการ Mount ตัวไฟล์ดังกล่าวขึ้นมา โดยการทำงานภายใน Virtual Hard Disk นั้นทำได้ทุกๆ อย่างเหมือนกับ Hard Drive ตัวนึงเลย

ทีนี้เมื่อมันทำงานได้แบบนี้แล้ว เราก็สามารถติดตั้งตัว Software ใดๆ ลงไปก็ได้ และเมื่อเอามาใช้งานร่วมกับ Microsoft Virtual PC  เราก็สามารถติดตั้ง Operating System ใดๆ ลงไปก็ได้ภายใน VHD ได้เลย ทำให้เราสามารถสั่งให้ Operating System (Guest OS) ตัวอื่นๆ ทำงานบน Operating System หลักได้ (Host OS) ได้เลย ซึ่งการทำแบบนี้นั้น มันเรื่องปรกติครับ ยี่ห้อไหนก็ทำได้

* การใช้งาน Microsoft Virtual PC ขอไม่ผู้ถึงแล้วกันครับ

เมื่อเราสามารถติดตั้ง Operating System ใดๆ ลงไปใน VHD เพื่อทำ Guest OS ได้ ทำไมเราจะ Boot เป็น Host OS ไม่ได้ ซึ่งใน Windows 7 นั้นสามารถใช้ความสามารถนี้ได้เลย โดยเพียงแค่ติดตั้ง Windows Virtual PC for Windows 7 ลงไปและทำการ Attach/Create VHD ตัวไฟล์ครับ

ซึ่งการทำ Native VHD Boot มีข้อดีคือ

  • สามารถสามารถ Copy ไฟล์ OS เพียงไฟล์เดียวก็สามารถนำไปเปิดเครื่องไหนก็ได้ ที่มีเสปคเดียวกัน แล้วทำงานได้ทันที
  • สามารถลดขนาดของ VHD ไฟล์ได้ง่ายๆ เลย
  • สามารถแยกการ Deployment ตัว Application บางชนิดที่อาจทำให้ระบบ OS มีปัญหาทั้งระบบได้ การแยกออกมาแล้วทดสอบต่างหากบนระบบที่ Call HW Native จริงๆ ทำให้ทราบถึงข้อผิดพลาดได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งลองทดสอบเล่นเกมส์ด้วย Native VHD Boot แล้วทำงานได้ราบรื่นดีมากครับ

แต่ก็มีข้อควรจำไว้ก็คือ

  • VHD นั้นทำงานได้กับ Windows 7 และ Windows Server 2008 R2
  • ประสิทธิภาพของระบบจะลดลงประมาณ 3-5%,
  • Hibernate และ BitLocker อาจจะทำงานได้
  • ระบบ Windows Experience index  ไม่ทำงาน
  • ไฟล์ VHD มีขนาดได้ไม่เกิน 2 TB ต่อ 1 ไฟล์

วิธีการใช้งานก็ตาม VDO – How Do I: Windows 7 VHD Boot Demonstration? (WMV) ครับ 

XP Mode

ซึ่งต้องใช้กับ Windows 7 รุ่น Professional, Enterprise และ Ultimate เท่านั้น

ซึ่งต้องไปดาวน์โหลดที่ http://www.microsoft.com/windows/virtual-pc/download.aspx โดยเลือกตาม edition ที่ตัวเองมีอยู่
โดยไฟล์ที่เกี่ยวข้องจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ส่วนคือ

  1. Windows XP Mode
  2. Windows Virtual PC
  3. Windows XP Mode update

เมื่อติดตั้งพร้อมเราก็จะได้ Windows XP Mode ซึ่งก็คือ Windows XP Service Pack 3 ที่ทำงานบน Windows 7 อีกทีนึง ถ้าคุณใช้ CPU ที่ลองรับ Virtualization จะทำให้สามารถทำงานได้รวดเร็วมากขึ้นด้วย

ซึ่งจากที่ผมใช้งานแล้วนั้นสามารถนำไปใช้งานเพื่อเปิดโปรแกรม หรือใช้งานอุปกรณ์เก่าๆ ที่ driver ไม่รองรับ Windows 7 ได้อย่างดีครับ อย่างของผมที่เจอคือ Scanner USB ตัวเก่า ผมทำงานผ่าน USB Simulator Mode เข้าไปที่ XP Mode แล้วทำการ Scan ได้เลย และทำงานได้อย่างดีเลย แถมบนโปรแกรมทำ Seamless Virtual Machine ได้ด้วย ที่ใช้บ่อยๆ ก็คือเปิดใช้งาน IE6 เพื่อทดสอบเว็บที่ทำงานส่งลูกค้านั้นเองครับ

UAC (User Account Control)

หลายคนอาจจะรำคาญเจ้าตัวนนี้ เพราะทุกครั้งที่ติดตั้งโปรแกรมหรือทำงานที่ยุ่งกับส่วนหลักของระบบจะเด้งขึ้นมาให้เรากด Yes/No ใน Windows 7 นี่ลดจำนวณความถี่ลงและมีส่วนที่ปรับลดควมเข้มงวดลงได้ง่ายขึ้นเยอะเลย เลยรู้สึกว่ามันทำงานได้ดี และช่วยลดการติดไวรัสหรือโปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์ได้เยอะมากๆ เลย

image

อ้างอิงจาก

สุดท้ายก็ Nikon AF Nikkor 85mm f/1.8D

พอดีกำลังจะซื้อ Nikon AF Nikkor 85mm f/1.8D อยู่แล้ว เหตุเพราะโดนพี่เดชให้ยืม Nikkor  AF-S 17-55mm f/2.8 G IF-ED DX ยืมเมื่อตอน Motor Expo 2009 ปลายปีก่อน แล้วพี่เค้าบอกว่า เอา 85mm f/1.8D ไปด้วยเลยแล้วกัน สุดท้ายแล้ววว ติดใจ 85mm f/1.8D มากกว่า ประกอบกับเมื่อหลายวันก่อน เพิ่งเอา 85mm f/1.8D ไปคืนพี่เค้า (17-55mm f/2.8 ไปคืนนานแล้วหลังงาน Motor Expo 2009 จบไม่กี่วันเอง) ก็เลยคงต้องซื้อเป็นของตัวเองซะแล้ว ไม่ได้ๆๆ ทนไม่ได้ ภาพที่ได้มันดีมากจริงๆ กะว่าไป Fotofile แน่ๆ ด้วยความที่ไม่อยากซื้อสดเท่าไหร่ เพราะเอาเงินไปหมุนดีกว่า เลยกำลังคิดว่ากำลังหาโปร ผ่อนแบบ 0% อะไรแนวนั้น แต่เหมือนฟ้ามีตา ดันมีงาน Power Buy Photo Fest 2010 ที่ CTW พอดีเลย โปรก็ตามที่อยากได้ คือผ่อน 0% กับบัตรเครดิตหลายๆ ค่ายๆ ด้วยความที่ผมมีบัตรของ K-Bank อยู่ เลยจัดมาเลย 0% ในจำนวน 10 เดือน แถมด้วยซื้อของในราคานี้ของโปรในงาน ลดให้อีก 5% จากราคาปรกติ 15,900 บาท ซึ่งราคานี้เป็นราคาประกันของ niksthailand ด้วยนะครับ สุดท้ายก็ได้ของแถมเพิ่มมาอีกหน่อยก็ลูกยางเป่าลมของ GIOTTOS และบัตรปริ้นรูป Digital Photo Center อีก 200 บาท โดยรวมก็ถือว่าโอเคเลย

ระหว่าง รอของ รอใบเสร็จก็ลอง D300s แล้วก็อืมมมม อย่าเล้ยยย วางๆๆๆ ;P

แนวทางในการถ่ายรูปในงาน Event ต่างๆ แนวๆ Motor Expo/Motor Show ที่ถ่ายมาในรอบปี

เป็นแนวทางเฉยๆ ผมไม่ได้เก่งมาจากไหนหรอก แต่อยากมาแบ่งปันความรู้ประสบการณ์ตัวเองเท่านั้นเอง แรกๆ ผมก็ถ่ายห่วย ถ่ายไม่ดี โฟกัสพลาด ภาพเบลอ แสงมืด แฟลชแรง โทนสีผิด สุดแสนจะห่วยแตก ทุกอย่างต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น คำแนะนำจากรุ่นพี่ อ่านหนังสือประกอบ ศึกษาจากเว็บต่างๆ แนวคิดด้านมุมมองภาพ การมองทิศทางแสง การโพสเซสไฟล์ภาพ มุกการถ่ายมุมต่างๆ อารมณ์ภาพช่วยให้เราพัฒนาการถ่ายรูปได้เยอะ

เรามาเริ่มกันเลย

  • เน้นโทนภาพไปทางสว่างและสีผิวสาวๆ ให้ออกไปทางขาวอมชมพู ไม่ใช่มาเหลืองๆ ฉากมืดๆ หม่นๆ แบบนั้นสาวๆ น่ารักๆ ดับหมด –_-‘
  • ถ่ายให้ฉากหลังสว่าง หรือมืดก็แล้วแต่ชอบ แล้วแต่งานด้วย แต่คนต้องไม่มืดต้องเด่น แต่ถ้าสว่างทั้งฉากหลังและคนก็แนะให้ฟิลแฟลชเข้าไปนิดนึง -0.7 หรือ + 0.7EV แล้วแต่สภาพแสง ไม่ยิงแฟลชเข้าไปตรงๆ แรงๆ (ตาสาวๆ จะพังเอา) พยายามให้หันหัวแฟลชขึ้นเพดานแล้วใส่ diffuse ครอบช่วยฟิลแสงมากกว่าเป็นแสงหลัก บางบูทสว่างอยู่แล้วหาทิศทางแสงให้เค้าหันหน้าไปทางแหล่งกำเนิดแสงแทนแค่นั้นก็ไม่ต้องใช้แฟลชแล้ว ก่อนถ่ายให้เดินๆ ดูก่อนว่ามีแหล่งกำเนิดแสงตรงไหนยังไงมั่ง จะได้ไม่เสียเที่ยว เสียภาพที่ถ่ายมา
  • ไม่ใช้ค่า F กว้างเกินไป เพราะตาจะชัดข้างเดียว หรือหูเบลอ ผมไม่ชัดทั้งหมด ใช้ F ประมาณ 2.8 – 6.3 แล้วแต่ภาพ (F 1.8 – 2.5 มันกว้างไปแสงเข้าเยอะจริง แต่ภาพนุ่มไม่คมชัด หรือถ้าใช้แฟลชหรือมีความต่างของสีมากจะเกิดขอบม่วง ขอบฟ้าได้) ซึ่งสำหรับการถ่ายรูปคนเดี่ยวๆ ก็ F 2.8 – 4 ขึ้นกับระยะห่าง แต่ถ้าถ่ายรูปคู่หรือเป็นหมู่ก็ F 5 – 6.3 อันนี้ต้องกะระยะชัดให้ดีไม่งั้นถ่ายรูปหมู่คนด้านหลัง หรือด้านข้างจะเบลอ กลายเป็นเรารักคนตรงกลางมากกว่าคนด้านข้าง
  • สำหรับค่า speed shutter ก็ใช้เท่ากับทางยาวโฟกัสสำหรับเลนส์ที่ไม่มี VR แต่ถ้ามี VR ก็คำนวณเอาให้พอๆ กับทางยาวโฟกัสที่ VR ช่วยได้แต่การถ่ายแนวนี้นั้น speed shutter อาจจะสูงขึ้นตามความล้าของแขน บางคนตอนเช้าสามารถถ่ายระยะ 85mm ได้ที่ speed 50 แต่ตอนเย็นอาจต้องเป็น 80 – 100 แทนครับ
  • สำหรับค่า ISO ก็ประมาณ 200 – 400 โดยประมาณ ตามความสามารถกล้อง แต่สำหรับกล้องผม Nikon D80 ใช้ที่ 320 – 400 ในฮอลปรกติสภาพแสงดีๆ แต่ถ้าไม่ไหวก็ใช้แฟลชเอา แต่ถ้ากล้างแจ้งก็ 100 ไปเลย …
  • WB ก็ดูว่าแสงที่บูทนี่สีอะไร แนะนำว่าตั้ง Auto ก็ได้ ถ้ามั่นใจว่าไม่โดนหลอก แต่ถ้าตั้ง K ได้ก็ลองดูก่อน ก็ได้เรื่อง WB ตรงนี้ต้องค่อยๆ ดูครับ อันนี้ตอบลำบาก ผมก็ยังไม่แม่นเท่าไหร่เหมือนกัน แต่ปรกติผมใช้ประมาณ 4,200K – 4,700K นะ ค่า K เยอะภาพยิ่งโทนร้อน ค่า K น้อยยิ่งออกโทนเย็น ถ้าเจอแสงออกขาวๆ ก็เอาค่า K ที่ 4,700 แต่ถ้าแสงมาโทนอื่นๆ ก็เอามาหักลบกันเองเช่นแหล่งกำเนิดแสงให้แสงโทรร้อนก็ตั้ง WB ในกล้องไว้ที่ K ต่ำๆ จะได้แสงที่เข้าใกล้แสงปรกติ (daylight) แต่ก็แล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์นะ บางครั้งเราอาจจะได้ภาพในโทนสีต่างๆ กันก็ได้ อันนี้ลองกันเอาครับบอกไม่ถูก ;P
  • สำหรับใครที่ใช้ mode A (Aperture ของ Nikon) และ Av (ของ Canon) เวลาวัดแสงให้วัดที่แก้มฝั่งที่มืดกว่า และโฟกัสที่ตา ถ้ามีเวลาปั้นเยอะๆ ก็ค่อยๆ วัด  แต่ถ้าไม่มีก็ส่องแล้ววัดแสงให้เรียบร้อยดูว่าประมาณเท่าไหร่ แล้วปรับไปที่ mode M (Manual) แทน แล้วดูว่าแสงมืดลงหรือสว่างขึ้นก็บวกลบ EV ขึ้นลงเอาแทน จะได้ไม่ต้องมาวัดแสงหลายรอบ ทำให้ถ่ายรูปได้เร็วและง่ายขึ้น เพราะตามบูทต่างๆ แสงไม่มีการวูบวาบมากหรือเปลี่ยนบ่อย วัดในพื้นที่รอบเดียวก็จบแหละ และอยากได้ภาพสว่างๆ แนะนำให้ +0.3EV ถึง +0.7EV เพิ่มเข้าไปเพื่อให้ภาพสว่างกว่าปรกตินิดนึง เพราะธรรมชาติของกล้องระบบ digital นั้นดึงแสงขึ้นมาภาพจะเสียความคมชัดและน้อยส์เยอะขึ้น แต่การดึงแสงลงให้ภาพที่ใสกว่า แต่รายละเอียดอาจจะหายไปบ้าง แต่สำหรับการถ่ายภาพบุคคลตามงานแนวนี้นั้น เน้นความใสของภาพมากกว่ารายละเอียดความชัดทั้งหมดของคนในภาพ (อยากคมชัดทั้งหมดอาจจะต้องจัดแสงและควบคุมแบบเองทั้งหมด ซึ่งไปถ่ายในสตูดิโอน่าจะง่ายกว่านะแบบนั้น)
  • RAW หรือ JPEG แล้วแต่ถนัดงานนี้ขึ้นอยู่กับความซีเรียสของคนถ่ายเองแล้วหล่ะว่าจะเอาภาพไปทำอะไร บางคนอาจจะยังไม่แม่น WB หรือการวัดแสงที่อาจจะมืดไปนิดๆ หน่อยๆ แนะนำถ่าย RAW มาศึกษาก่อนก็ได้ เพราะช่วยเรื่อง WB ที่ปรับแต่งได้โดยที่คุณภาพของภาพไม่เสียและการเร่ง Exposure ของภาพได้มากกว่า JPEG อยู่พอสมควร ตรงนี้ช่วยท่านได้ ซึ่งผมก็ถ่าย RAW เพื่อศึกษา WB และแก้ไขการถ่ายภาพของเราในอนาคตได้ครับ เช่นเจอแสงแบบนี้น่าจะเพิ่มจากที่วัดแสงอีกนิดหน่อยนะ หรือเจอทิศทางแสงแบบนี้แฟลชควรลดลง ตรงนี้สำคัญสำหรับการพัฒนาตัวเองครับ

วิธีการเข้าทำในการถ่ายรูปในงาน Event ก็คือหามุมที่ทำให้ pretty หันหน้าเข้าหาแหล่งกำหนดแสง ที่สว่างๆ จะได้ไม่ต้องใช้แฟลช แล้วพยายามหามุมที่ฉากหลังไม่มีคนเดินหรือคนเดินน้อย ถ้ามีคนเดินผ่านด้านหลัง ไม่ต้องไปรีบถ่าย รอให้คนเดินไปก่อน แล้วค่อยถ่าย สาวๆ เค้ารอได้ ;P ที่ให้รอคนเดินออกไปเพราะ ถึงถ่ายมาภาพก็ไม่สวยหรอกครับ ถ่ายมาก็ลบทิ้ง เสียของเปล่าๆ … บางคนอาจจะเสียดายกลัวเค้าจะไปมองกล้องอื่นก่อน ผมแนะนำว่าให้อดทนรอ คิดซะว่า "ไม่เป็นไร รอสักพักเดี่ยวเค้าก็หันมาทางเราใหม่" จำไว้ว่า ภาพที่ดี 2 รูปดีกว่าภาพที่เสีย 10 รูป!!! (แม้ภาพที่เสียมันจะเป็นครูสอนเรา แต่เราก็ไม่ควรทำผิดซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง ผิดแล้วต้องจำ) ถ่ายรูปงานพวกนี้ต้องใจเย็น ค่อยๆ เข้าทำ หามุม เบียดๆ หน่อยช่างมัน ต้องอดทนรอ เหมือนแสงสว่างยามเช้าที่สวยงามเวลาไปถ่ายรูปวิวนั้นแหละ

ถ่ายรูปแล้วก็ให้สาวๆ เค้าเช็คบ้าง จะไปกลัวอะไร เราไม่ได้ไปถ่ายใต้กระโปรงเค้านิ แล้วพอเจอกันหลายๆ งาน เค้าจะมองกล้องเราเยอะกว่าปรกติ แถมยิ่งเราไปปริ้นรูปให้เค้า เขียน cd ส่งให้เค้าด้วย เค้ายิ่งมองกล้องเรามากขึ้น เพราะเค้าก็ได้รูปจากเราไปส่งงานได้ในอนาคตด้วย

ที่เล่าๆ มาเป็นสิ่งที่รวบรวมสิ่งที่ได้ลองผิดลองถูกมาครับ บางอย่างอาจจะไม่ตรงกับทฤษฎีมากนักแต่ก็เป็นการทดลองจากการถ่ายรูปจริงๆ มาครับ

ทำไมถึงใช้ BlackBerry

ขอทำเป็นข้อๆ แล้วกันนะ เป็นเหตุผลที่ตัดสินใจซื้อ BlackBerry เลยแหละ

  1. ได้เวลาเปลี่ยนมือถือแล้ว มือถือนี่ผมใช้ประมาณปีครึ่งต่อเครื่องโดยเฉลี่ย ก็เลยได้เวลามองหามือถือใหม่สักที
  2. อยากได้แนวใหม่ๆ แต่ยังลงโปรแกรมเพิ่มเติมได้ มีอนาคตในการพัฒนาโปรแกรมใส่ไปได้ด้วย ซึ่งตอนนี้ฝึกเขียนโปรแกรมบน BlackBerry บ้างแล้ว แต่ยากอิบอ้ายยย –_-‘ ยากกว่า Windows Mobile เยอะมาก T_T ประเด็นไม่ใช่ Java แต่เป็น IDE Tools ที่ห่างชั้นกันเยอะมาก ต้องใช้กำลังภายในเยอะกว่าปรกติ
  3. ราคาเครื่องโอเคสำหรับรุ่นถูกสุด BlackBerry Curve 8520 ราคามันก็ไม่ได้แพงอะไรมาก หมื่นต้นๆ และยังถูกกว่า HTC Pharos เครื่องเก่าตอนผมซื้อใหม่ๆ อีก อีกทั้งมันทำได้เกือบทุกอย่างที่ BlackBerry Bold 9700 รุ่น Top มีด้วย ที่แตกต่างกันก็แค่  มี GPS, มี Flash ของกล้อง, รองรับ 3G และ CPU ที่แรงกว่าหน่อย ซึ่งผมก็ว่ามันก็โอเคดีสำหรับการใช้งานของผมนะสำหรับ BlackBerry Curve 8520
  4. โปรโมชั่น internet unlimited ในราคา 650 บาท/เดือนของ DTAC ที่ถือว่าถูกสำหรับคนเคยใช้ data plan 1GB/เดือน ราคา 650 บาท !!! ซึ่งถ้าใช้มือถือยี่ห้ออื่นมันไม่มีให้!!!
  5. push service สำหรับ รับ-ส่งอีเมล นี่แหละที่ชอบ เพราะผมมันพวกบ้าอีเมล คือระบบ direct push ของ Windows Mobile มันก็โอเคนะ ใช้แล้วประทับใจในระดับพอใจ แต่ข้อเสียคือมันไม่ประหยัดแบตเท่า push service ของ BlackBerry แฮะ … แปลกดี อีกอย่างคือ direct push ของ Windows Mobile มันใช้กับอีเมลได้ account เดียว -_-‘ แต่ push service ของ BlackBerry ยัดไปเลย 5 account แถมยังใส่เพิ่มได้อีก (ไม่รู้ว่ามากสุดเท่าไหร่) ทำให้ไม่ต้องมาทำ forward mail เข้า account หลักอีกต่อไปสะดวกโคตร แถมยังควบคุม account ต่างๆ ผ่านหน้าเว็บได้ด้วย ไม่ต้องมานั่งกรอกบนมือถือให้เสียเวลา
  6. BlackBerry Pin … และแน่นอน BlackBerry Messenger ครับ โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง … BlackBerry Messenger คือตอนแรกที่ไม่ใช้ก็งงๆ ใช้ Windows Live Messenger แทนไม่ได้เหรอ พอไปลองเล่นของคนที่เค้าใช้อยู่ แล้วให้เค้าแนะนำแล้ว อืมมม ระบบ group มันเทพได้ใจ คือ มันไม่ได้ใช้แค่คุยอย่างเดียว ไอ้แบบนั้น Windows Live Messenger มันก็ทำได้ Google Talk ฯลฯ มันก็ทำได้ แต่นี่มันสร้าง group แล้วมันใช้แชร์รูป ใน group แชร์ปฎิทินต่างๆ ได้ ส่ง PIN ยก group ให้ไปแอดได้เลย แถมตอนคุยกันยังส่ง clip เสียงขนาดเล็กไปได้ด้วย หมดปัญหาค่าโทรศัพท์ ส่ง clip เสียงเล็กๆ ไปๆ กลับๆ ดูน่ารักดี ไม่เชื่อลองใช้ดู อิๆๆ ;P
  7. Keyboard เฮ้ยยย นี่แหละสุดยอดการพิมพ์ข้อความบนมือถือ ทำไมเราเพิ่งมาเจอ !!! คือผมเข้าใจนะว่า Touch มันโอเค แต่ผมทำยังไงก็ไม่ชินกับ Touch Screen แฮะ ให้ตายเหอะ

สุดท้าย …. มันคือความพอใจส่วนตัว บางคนอาจจะชอบอีกอย่าง ผมอาจจะชอบอีกอย่าง ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแล้วกันครับ

อะไรคือความนิรันดร์?

สิ่งที่ตาเห็น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่สมองและหัวใจเรารับรู้

กล้องก็เช่นกัน สิ่งที่กล้องบันทึกอาจจะไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ค่าสี bit/byte และข้อมูลจำนวนหนึ่ง

เพราะกล้องไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีจิตใจ มันทำหน้าที่แค่บันทึกภาพ ตามที่คนบันทึกภาพสั่งมันเท่านั้น

กล้องมันไม่ได้ใส่ความรู้สึกลงไปในภาพ แต่คนต่างหากที่จะใส่มันลงไป

แต่ก็คนอีกนั้นแหละ ที่มองภาพเหล่านั้นแตกต่างกัน

ความรู้สึกในภาพแตกต่างกันไปตามแต่ประสบการณ์การรับรู้ของคนคนนั้นที่มีต่อโลกใบนี้

สิ่งที่ตาเห็น แม้คงที่ แต่การเห็นของคนเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

เช่นเดียวกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องปรับเปลี่ยนค่าต่างๆ อยู่ตลอดเวลา

แต่ ณ. ชั่วขณะแห่งเวลาบันทึกภาพ  ความรู้สึกของผู้บันทึกภาพที่ถ่ายทอดลงไปในภาพจะอยู่ชั่วนิรันดร์

แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เห็น ความรู้สึกของผู้บันทึกภาพแม้คงที่อยู่ชั่วนิรันดร์

แต่การรับรู้ภาพนั้นๆ ของคนอื่นๆ ก็ยังคงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเป็นนิรันดร์เช่นกัน

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เห็น ที่รับรู้ ไม่เคยคงที่ ไม่เคยแน่นอน ไม่ว่าจะในตาคู่เดิม กล้องตัวเดิม คนคนเดิม สภาวะแวดล้อมเดิมๆ หรือ ในตาคู่ใหม่ คนคนใหม่ กล้องตัวใหม่ สภาวะแวดล้อมใหม่ก็ตามที

สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่อยู่ชั่วนิรันดร์ได้อย่างแท้จริงหรอก ทำใจและยอมรับมันซะ …