7 สิ่งมหัศจรรย์ แห่ง 7 – ตอนที่ 3 สิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 5-7 – Native VHD boot, XP Mode และ UAC

ห่างจาก "7 สิ่งมหัศจรรย์ แห่ง 7 – ตอนที่ 2 สิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 4” มา 8 เดือน!!! แต่ยังเขียนต่อนะครับ ;P

Native VHD boot

คุณสมบัตินี้ มีอยู่ใน Windows 7 และ Windows Server 2008 R2 ซึ่งเจ้า Native VHD boot นี้จะใช้ได้ใน Edition ของ Windows 7 คือ Enterprise และ Ultimate edition เท่านั้นครับ

โดยเจ้า VHD นั้นเป็นชนิดของไฟล์ที่คิดค้นโดยบริษัท Connectix ผู้เป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ชื่อดังอย่าง Virtual PC และต่อมา Microsoft ได้เข้าซื้อกิจการจนเปลี่ยนชื่อเป็น Microsoft Virtual PC ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา เมื่อซื้อมาแล้วก็ปล่อย Microsoft Virtual PC ออกมาเพื่อให้ทำงานได้บน Windows XP และ Windows 2000 เป็นต้นมา โดยเพื่อให้สามารถรองรับการใช้งานกับ Operating System ที่เก่ากว่าให้ทำงานแบบ Operating System แบบ Guest OS ได้อีกทีนึง

โดยเจ้า VHD นั้นทาง Microsoft ได้ให้ข้อกำหนดตัว VHD Image Format Specification ไว้เป็นสัญญาอณุญาติแบบ Microsoft Open Specification Promise ทำให้เราสามารถใช้เจ้าไฟล์ VHD กับซอฟต์แวร์จากผู้ผลิตค่ายอื่นๆ ได้เช่นกัน

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ VHD กันก่อน เจ้า VHD นี่ย่อมาจาก Virtual Hard Disk ซึ่งเป็นรูปแบบไฟล์เสมือนที่ทำตัวคล้าย Hard Drive ตัวนึงเมื่อเราทำการเปิดขึ้นด้วยวิธีการ Mount ตัวไฟล์ดังกล่าวขึ้นมา โดยการทำงานภายใน Virtual Hard Disk นั้นทำได้ทุกๆ อย่างเหมือนกับ Hard Drive ตัวนึงเลย

ทีนี้เมื่อมันทำงานได้แบบนี้แล้ว เราก็สามารถติดตั้งตัว Software ใดๆ ลงไปก็ได้ และเมื่อเอามาใช้งานร่วมกับ Microsoft Virtual PC  เราก็สามารถติดตั้ง Operating System ใดๆ ลงไปก็ได้ภายใน VHD ได้เลย ทำให้เราสามารถสั่งให้ Operating System (Guest OS) ตัวอื่นๆ ทำงานบน Operating System หลักได้ (Host OS) ได้เลย ซึ่งการทำแบบนี้นั้น มันเรื่องปรกติครับ ยี่ห้อไหนก็ทำได้

* การใช้งาน Microsoft Virtual PC ขอไม่ผู้ถึงแล้วกันครับ

เมื่อเราสามารถติดตั้ง Operating System ใดๆ ลงไปใน VHD เพื่อทำ Guest OS ได้ ทำไมเราจะ Boot เป็น Host OS ไม่ได้ ซึ่งใน Windows 7 นั้นสามารถใช้ความสามารถนี้ได้เลย โดยเพียงแค่ติดตั้ง Windows Virtual PC for Windows 7 ลงไปและทำการ Attach/Create VHD ตัวไฟล์ครับ

ซึ่งการทำ Native VHD Boot มีข้อดีคือ

  • สามารถสามารถ Copy ไฟล์ OS เพียงไฟล์เดียวก็สามารถนำไปเปิดเครื่องไหนก็ได้ ที่มีเสปคเดียวกัน แล้วทำงานได้ทันที
  • สามารถลดขนาดของ VHD ไฟล์ได้ง่ายๆ เลย
  • สามารถแยกการ Deployment ตัว Application บางชนิดที่อาจทำให้ระบบ OS มีปัญหาทั้งระบบได้ การแยกออกมาแล้วทดสอบต่างหากบนระบบที่ Call HW Native จริงๆ ทำให้ทราบถึงข้อผิดพลาดได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งลองทดสอบเล่นเกมส์ด้วย Native VHD Boot แล้วทำงานได้ราบรื่นดีมากครับ

แต่ก็มีข้อควรจำไว้ก็คือ

  • VHD นั้นทำงานได้กับ Windows 7 และ Windows Server 2008 R2
  • ประสิทธิภาพของระบบจะลดลงประมาณ 3-5%,
  • Hibernate และ BitLocker อาจจะทำงานได้
  • ระบบ Windows Experience index  ไม่ทำงาน
  • ไฟล์ VHD มีขนาดได้ไม่เกิน 2 TB ต่อ 1 ไฟล์

วิธีการใช้งานก็ตาม VDO – How Do I: Windows 7 VHD Boot Demonstration? (WMV) ครับ 

XP Mode

ซึ่งต้องใช้กับ Windows 7 รุ่น Professional, Enterprise และ Ultimate เท่านั้น

ซึ่งต้องไปดาวน์โหลดที่ http://www.microsoft.com/windows/virtual-pc/download.aspx โดยเลือกตาม edition ที่ตัวเองมีอยู่
โดยไฟล์ที่เกี่ยวข้องจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ส่วนคือ

  1. Windows XP Mode
  2. Windows Virtual PC
  3. Windows XP Mode update

เมื่อติดตั้งพร้อมเราก็จะได้ Windows XP Mode ซึ่งก็คือ Windows XP Service Pack 3 ที่ทำงานบน Windows 7 อีกทีนึง ถ้าคุณใช้ CPU ที่ลองรับ Virtualization จะทำให้สามารถทำงานได้รวดเร็วมากขึ้นด้วย

ซึ่งจากที่ผมใช้งานแล้วนั้นสามารถนำไปใช้งานเพื่อเปิดโปรแกรม หรือใช้งานอุปกรณ์เก่าๆ ที่ driver ไม่รองรับ Windows 7 ได้อย่างดีครับ อย่างของผมที่เจอคือ Scanner USB ตัวเก่า ผมทำงานผ่าน USB Simulator Mode เข้าไปที่ XP Mode แล้วทำการ Scan ได้เลย และทำงานได้อย่างดีเลย แถมบนโปรแกรมทำ Seamless Virtual Machine ได้ด้วย ที่ใช้บ่อยๆ ก็คือเปิดใช้งาน IE6 เพื่อทดสอบเว็บที่ทำงานส่งลูกค้านั้นเองครับ

UAC (User Account Control)

หลายคนอาจจะรำคาญเจ้าตัวนนี้ เพราะทุกครั้งที่ติดตั้งโปรแกรมหรือทำงานที่ยุ่งกับส่วนหลักของระบบจะเด้งขึ้นมาให้เรากด Yes/No ใน Windows 7 นี่ลดจำนวณความถี่ลงและมีส่วนที่ปรับลดควมเข้มงวดลงได้ง่ายขึ้นเยอะเลย เลยรู้สึกว่ามันทำงานได้ดี และช่วยลดการติดไวรัสหรือโปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์ได้เยอะมากๆ เลย

image

อ้างอิงจาก

7 สิ่งมหัศจรรย์ แห่ง 7 – ตอนที่ 2 สิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 4

ห่างจาก "7 สิ่งมหัศจรรย์ แห่ง 7 – ตอนที่ 1 สิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 1-3” มาหลายอาทิตย์ แต่ยังเขียนต่อนะครับ ;P

4. Network Connection และ Default Printer ที่แปรผันตาม Network Connection

เป็นสิ่งที่ได้รับการปรับปรุงจาก Vista พอสมควรครับ คลิ้กไม่กี่ทีก็สามารถ Connect หรือ Disconnect ได้ทัน และสิ่งที่น่าจะดีขึ้นจาก Vista คือการเข้าถึง Connection Propperties ที่ใช้การคลิ้กลดลงครับ

2009-10-13_203955 2009-10-13_204042

ส่วนต่อมานั้นหน้าตาของ Network and Sharing Center ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจาก Vista มากนัก แต่ส่วนที่น่าสนใจคือ Network Location ครับ เป็นลักษณะของ Profile ด้านความปลอดภัย

image

  1. Home network – สำหรับ Network ที่ใช้ภายในบ้านที่จะเปิดใช้งาน HomeGroup และ Network discovery เพื่อให้เครื่องอื่นๆ และเราเห็นว่ามีใครใน Network ของบ้างเป็นค่าเริ่มต้น (จะปิดก็ได้)
  2. Work network – คล้ายๆ กับ Home network แต่จะปิด  Network discovery ก็ได้ และจะไม่สามารถสร้าง หรือเข้าไปใช้งาน HomeGroup ได้
  3. Public network – เป็น location ที่เหมาะมากสำหรับคนที่มักไปเล่นนอกสถานที่โดยจะปิดการใช้งาน HomeGroup และ Network discovery ออกไปทำให้คุณไม่โดนโจมตีหรือเห็นในระบบ Network (ในเบื้องต้น) และยังปิดการ Share พวก Folder ต่างๆ โดยอัตโนมัติครับ (แต่ปรับแต่งภายหลังได้ในระบบ Advanced Settings)
  4. Domain – เป็น option เล็กๆ สำหรับ Enterprise ครับ อันนี้คงไม่ขอพูดถึงรายละเอียด

ซึ่งตัว HomeGroup นั้นจะอยู่ใน Home Premium, Professional และ Ultimate ที่ทำให้เราสามารถปรับแต่ง Sharing Profile และตั้งรหัสผ่านสำหรับ Join เข้ามาใน HomeGroup เพื่อเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ใน HomeGroup ได้ทันที จากทีเมื่อก่อนมี Workgroup แต่ค่อนข้าง Public มากๆ เพราะแค่เสียบสาย Ethernet หรือเข้าถึงผ่าน WiFi ก็สามารถเข้า Workgroup ได้ทันที แต่ตอนนี้เรามี HomeGroup เข้ามาร่วมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลที่เราทำการ share กันได้มากขึ้น เพราะถ้าไม่มีรหัสผ่านก็ไม่สามารถเข้า HomeGroup ของเราได้ โดยข้อมูลที่ share กันนั้นจะสื่อสารกันด้วยการเข้ารหัส 128-bit ในการสื่อสารกันผ่านระบบ Network ครับ

โดยที่ 1.-3. นั้นจะเหมาะกับผู้ใช้ตามบ้าน และสำหรับ Power User เราสามารถปรับแต่งได้ที่ “Choose homegroup and sharing options”

image

โดยด้านในนั้นจะมีให้เลือกว่าเราจะให้ default libraries ตัวใดบ้างใมนการ Share ออกไปได้ ซึ่งเราถ้าเข้าไปที่ Change advanced sharing settings เราจะสามารถตั้งค่าของ Home or Work Network และ Public Networkได้ว่าเราจะเปิดและปิดอะไรบ้าง ซึ่งในงานของผมแล้วเนี่ย Home และ Work Network นั้นต่างกันแค่ต้องตั้งค่า Homegroup แยกออกมาจาก option ข้างต้นเท่านั้นครับ นอกนั้นเหมือนกันหมด แต่ Public จะแยกออกาชัดเจนเลย

image

ซึ่งในส่วนของ Network นี้จะมี option รวมเข้ากับ Windows Firewall with Advanced Security ด้วยครับ

image

ซึ่งในส่วนนี้จะ Advanced มากๆ ซึ่งยก option ต่างๆ มาจาก Windows Server เยอะเหมือนกัน

2009-10-13_212824

image

ซึ่งสามารถ filter ตัว rule ได้ผ่านทางรูปแบบ Program, Port หรือ Predefined ที่เป็นตัวอย่างมาให้แล้ว หรือจะ custom ก็ได้เช่นกัน โดยเมื่อเราเลือกตัว Rule type ได้แล้วนั้นที่ Action เราก็กำหนดได้ว่าจะ Allow หรือ Block ได้ ซึ่งผมบอกไปแล้วว่าเราสามารถใช้ Rule เหล่านี้ที่เรากำหนดไว้ตาม Network locaton ได้

image

ซึ่งเมื่อเรากำหนดว่า Rule ที่เรากำหนดเองเหล่านี้ทำงานบน Network location ตามที่เราต้องการได้เลย ทำให้เวลาเราปรับ Network connetion เราก็ไม่ต้องมานั่งเปิด-ปิด Rule ต่างๆ ของ Firewall เอง (จะเห็นได้ว่าไม่มีคำว่า Home or Work เพราะโดนรวมเป็น Private profile ลงไปทั้งหมด ซึ่งผมคิดว่าถ้าปรับคำให้ตรงกัน น่าจะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นนะครับ)

สำหรับส่วน Network ตัวหลัก ๆ ผมชอบก็ประมาณนี้ และส่วนที่ชอบพอๆ กันและมารวมกันในข้อนี้คือ Default Printer ที่แปรผันตาม Network Connection ครับ ซึ่งเข้าไปที่ Devices and Printers แล้วเลือกที่ Printers ตัวไหนก็ได้จะเจอเมนู Manage default printers ขึ้นมาครับ

image

แล้วเราก็ทำการจับคู่ระหว่าง Network กับ Printer ได้เลยครับ เช่น Network ที่บ้านอาจจะใช้ default printer ตัวนึง ที่ทำงานมี Network อีก profile ก็ใช้ default printer อีกตัวนึงโดยระบบจะสลับให้ทันทีครับ อันนี้ช่วยได้เยอะเลยสำหรับคนใช้ Netbook ทำงานหลายๆ ที่ครับ

image 

โดยรวมผมคิดว่าเป็นส่วนเพิ่มเติมที่ได้รับการปรับปรุงจาก Vista มาเป็นอย่างดีครับ หลายๆ จุดน่าสนใจมากๆ โดยเฉพาะเรื่องของ Network location และ HomeGroup ครับ

สำหรับ preview ในส่วนนี้ยังมีรายละเอียดเยอะครับ อันนี้ต้องลองเล่นดูผมขอนำเสนอส่วนที่คิดว่าน่าสนใจครับ จริงๆ มี Streaming Media อีกตัวนะเนี่ย แต่ว่ายกไว้ตอนหน้าครับ ;P ผมเกี่ยวเนื่องกันแต่ผมคิดว่าควรยกไปต่อในส่วนของสิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 5 แทนน่าจะเห็นภาพมากกว่า ;)

7 สิ่งมหัศจรรย์ แห่ง 7 – ตอนที่ 1 สิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 1-3

พอดีว่า @ipats ตั้ง entry ใน blog ของเค้าที่ http://ipats.exteen.com/20090928/entry เลยคิดว่าน่าจะมา tag กันคงสนุกดี หัวข้อง่ายๆ “7 สิ่งมหัศจรรย์ แห่ง 7” คนที่โดน tag ต่อไปคือ @9aum ครับ ;P

ผมเริ่มเลยแล้วกันนะ ;) ผมไม่ได้เรียงตามความสำคัญหรือความชอบนะครับ

1. Libraries

เป็นคุณสมบัติที่ชอบมากตัวหนึ่งครับ ผมมองว่ามันคือ Virtual Folder ครับ ลองคิดดูนะ ผมมี H/D อยู่ 5 ตัว ซึ่งมี Internal H/D อยู่ 2 ตัวตัวหลักแบ่ง Partition เป็น C และ D ตัวที่ Ultrabay เป็น E ส่วน External HDD อีก 3 ตัวต่อผ่าน USB ทุกๆ Drive นั้นมีไฟล์ข้อมูลที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เช่นรูปภาพ เพลง หรือวิดีโอ

2009-09-28_212900

ตัวอย่างคือไฟล์รูปภาพของผมนั้นผมใส่ไว้ที่ Drive D: และ G: โดย D นี่เป็น Drive Internal ครับ ผมจะพกไปไหนมาไหนตลอด และ Drive G: นั้นเป็นไฟล์ที่ผมไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่นัก เลยแบ่งออกมาจะได้ไม่ต้องแบกไฟล์เยอะๆ ไปไหนมาไหนให้เสียพื้นที่
ผมเลยเอามารวมกันใน Libraries ซะเลยในชื่อ Photo Albums

2009-09-28_212259

วิธีการคือทำการ Include a folder เข้าไปใน Libraries ที่เราตั้งไว้ ซึ่งเราตั้ง default ได้ด้วยว่าจะให้ Folder ไหนเป็นตัวหลักของ Library นี้ ทำให้ Folder ต่างๆ ที่เรา include เข้ามานั้นมากองรวมกันใน Library ทั้งหมดนั้นเอง

ซึ่งถ้าเป็นไปได้ควรตั้ง Optimize ให้เข้ากับรูปแบบที่จัดเก็บ เพราะมันเกี่ยวกับการ Sorting และการทำ Index ของ Desktop Search ของ Windows ครับ

2009-09-28_212346

ตัวอย่างถ้าเราทำ “Optimize this library for” แล้วตั้งเป็น Picture ใน Libraries ที่ใช้จัดเก็บไฟล์รูป เราสามารถทำ Arrange by ตาม Month, Day, Rating และ Tag ได้ ทำให้เราค้นหาได้ง่ายมากขึ้น

2009-09-28_213742

แต่ถ้าเป็นไฟล์เพลงก็จะไล่ลำดับตาม Album หรือ Artist อะไรพวกนี้ได้เช่นกัน แถมด้วย Artwrk ของเพลงในตัวเลยทีเดียว ทำให้เราค้นหาได้ง่ายมากขึ้น

2009-09-28_213812

ซึ่งการเอามากองรวมๆ กันแบบนี้เหมาะสมมากครับ สำหรับคนที่ต้องการรวบรวมไฟล์จากที่ต่างๆ มารวมกัน แต่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง โยกย้ายที่ที่จัดเก็บไฟล์นั้นๆ ทำให้

2. Superbar

ระบบ Taskbar แบบใหม่ที่ไม่มีการตัวอักษรในการบอกชื่อโปรแกรมแต่ใช้สัญลักษณ์ในการสื่อว่าคือโปรแกรมอะไรแทนนั้นเอง

image

สิ่งที่ Superbar ให้กับเรานั้นคือสัญลักษณ์ของโปรแกรมที่ใหญ่มากขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานกับระบบ Touch Screen ได้ทันทีไม่ต้องมาตั้งค่าให้สัญลักษณ์นั้นใหญ่และเพียงพอต่อการให้นิ้วมือของเรานั้นสัมผัสได้ และสิ่งที่ผมคิดว่าควรจะมีตั้งนานแล้วคือการ Sort ตัว Object บน Taskbar ซึ่งใน Superbar นี้เราสามารถทำการ sort สัญลักษณ์ต่างๆ ได้แล้ว แถมทำได้ง่ายเพียงแค่ drag-drop เท่านั้นแถมดูดีด้วย และที่มาพร้อมกับ Superbar ก็คือ Thumbnail Preview, Jumplist, Pinning และ Aero Peak ด้วย เมื่อนำมารวมกันทำให้การใช้ Superbar นั้นทำงานได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น

3. Thumbnail Preview และ Aero Peak

เป็นลักษณะของการนำเอา Mouse ไปคลิ้กบนสัญลักษณ์บน Superbar ในกรณีที่มีหลายๆ หน้าต่างเปิดพร้อมๆ กันในกลุ่มโปรแกรมเดียวกับ เจ้าตัว Thumbnail Preview จะขึ้นมา เมื่อเอา Mouse ไป ที่ตัว Thumbnail จะทำการ Preview หน้าต่างนั้นๆ ในแบบ Aero Peak ขึ้นมา ทำให้เราเลือกหน้าต่างได้ตรงตามที่เราต้องการมากขึ้น และอาจจะเอา Moouse ไป over บน Superbar เฉยๆ ก็ได้เหมือนกันนะ อันนี้ลองเล่นกันดูครับ

image