มันก็แค่นั้นเอง …

ในบางครั้งผมรู้สึกว่า เฮ้ยยย ทำไมเค้าไม่เข้าใจเราบ้างนะ หรือช่วยคิดให้ตรงกันหน่อยได้ไหม แต่สุดท้ายก็ได้แค่คาดหวัง แล้วก็มานั่งเก็บมาคิดให้จิตตกอยู่คนเดียว แล้วไง คนที่เค้าไม่เข้าใจ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเราเท่าไหร่เลย เค้าก็คงไม่ได้ทุกข์ใจอะไรกับเราหรอก สุดท้ายเราเนี่ยแหละที่มานั่งทุกข์ใจอยู่คนเดียว

ตอนช่วงเรียน ป.ตรี เป็นบ่อยมากๆ แต่หลังๆ ตั้งแต่ทำงานมา เริ่มปรับตัวได้ เค้าจะไปว่าอะไร หรือบอกอะไรในตัวเรากับใครก็ปล่อยไป สุดท้ายก็ให้ "เวลา" เป็นตัวบอกเหตุการณ์และตัวบุคคลเองแล้วกัน

วันนี้อ่าน tweet ใน twitter ของพี่ Ton Santipong ที่รู้จักกันใน etcfoto.com แบบห่างๆ ได้ tweet ว่า "หมาที่ไม่เห่า ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่กัด คนที่ไม่สู้ ไม่ได้หมายความว่าต่อยไม่เป็น" เลยนึกอะไรออกว่า บางครั้งบางคนเลือกที่จะเงียบ ไม่ใช่เพราะเค้าไม่สนใจ แต่เค้าไม่อยากยุ่ง บางครั้งคนเราทำผิดซ้ำๆ ซากๆ ผิดต่อตัวเค้าเองไม่เท่าไหร่ ผิดต่อคนอื่นๆ คนที่เคารพหรือคนใกล้ต้วเค้า บางครั้งก็ต้องออกมาพูดกันบ้าง

เหตุการณ์นี้ผมเจอกับตัวเองมาหลายครั้งในตอนที่ทำเว็บ ThaiThinkPad หรือแม้แต่ ThaiHi5 เองก็ตามที

ตอน ThaiHi5 เด็กๆ ในเว็บทะเลาะกันเรื่องลอกผลงานของคนอื่น แต่สุดท้ายก็ออกมาขอโทษ ออกมาเคลียร์ ทุกคนเข้าใจ ตอนนี้ก็อยู่กันอย่างสงบลง แม้ว่าบางคนจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ทุกคนก็ลดกำแพงในใจของตัวเองลงมาเพื่อรับฟังคนอื่น ผมว่าเด็กๆ เค้าไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรเท่าไหร่ประมาณว่ายอมรับผิดซะ ก็จบๆ เรื่องกันไป คำว่า" “ขอโทษ” สำหรับน้องๆ เค้าคือสิ่งที่เค้าต้องการ เค้าไม่ได้ต้องอะไรมากกว่านั้นจริงๆ

แต่เจอหนักก็ตอน ThaiThinkPad ที่คนนำสินค้าที่มีปัญหาด้านประกันและให้ข้อมูลไม่ครบมาขายในเว็บ ผมทราบข่าวนี้แล้ว ก็ลองไปนั่งคุยสิ่งที่ผมทำคือกันคนที่เสียหาย (คนที่ซื้อของนั้น) ออกมาก่อน แล้วผมเข้าไปรับหน้าแทน โพสและให้ข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ทุกอย่างเพื่อให้ทำคนระวังโดยไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้เสียหายและใครเป็นผู้กระทำ แต่สุดท้ายแล้วผู้กระทำผิดก็เผยตัวเองออกมา และโดนซัดด้วยข้อความว่า "คุณไม่ได้เสียหายอะไร จะมาเดือดร้อนอะไรด้วย คนซื้อไปเค้ายังไม่เดือดร้อนด้วยเลย" จริงๆ อยากจะบอกว่า ถ้าเค้าไม่เดือดร้อนจริงๆ เค้าคงไม่มานั่งคุยกับผม มาปรับทุกข์กับเพื่อนๆ ในบอร์ดหรอก เค้าแค่ไม่อยากมีเรื่องกับคุณก็เท่านั้นเอง สุดท้ายก็คือแนะนำให้ติดต่อขอรับเงินคืนกันไป และแจ้งเตือนทุกคนในบอร์ดในกรณีนี้ไป โดยไม่ระบุว่าใครเป็นผู้เสียหาย แต่เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้นเมื่อพี่ผู้เป็นผู้เสียหายกล้าที่จะร่วมด้วยช่วยกันในตอนหลัง เลยทำให้กรณีนี้จบไปด้วยการเชิญคนขายผู้นั้นออกจากเว็บไป ตอนนั้นผมไม่ได้สู้ตัวคนเดียว อย่างน้อยๆ พี่ๆ หลายคนให้กำลังใจผ่านทาง PM, Twitter, E-mail และโทรศัพท์มาแนะนำต่างๆ มากมาย คือตอนนั้นกลัวโดนกระสุนปืนมาก ฮาๆๆ คือในเน็ตเนี่ยหาข้อมูลผมไม่ยากหรอก มีเพียบเต็มไปหมด -_-‘ แต่ก็เอาวะ มาจนจะสุดทางแล้ว แต่ก็มีบางอย่างทำพลาดไป อาจเพราะอ่อนต่อการเผชิญหน้าแบบนี้ก็ได้มั้ง เลยรู้สึกว่ามันแรงไป แต่สุดท้ายแล้วก็ เออ เราน่าจะทำนะ เสียดายและเสียใจจนทุกวันนี้

ถึงแม้จะเป็นชุมชนที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็อยากให้ทุกอย่างขาวสะอาดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยๆ ก็เรื่องการซื้อขาย หรือแม้แต่เรื่องซอฟต์แวร์ละเมิดต่างๆ แม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องปรกติ คนทำผิด ถ้าคุยกันรู้เรื่องมันก็จบ แต่ถ้าไม่ ยังทำผิดซ้ำซาก มีคนเจ็บ มีคนเสียหายไปเรื่อยๆ ผมก็ต้องออกมาพูดบ้าง อย่างน้อยๆ ก็รักษาและทำให้อยู่ในมาตรฐานที่ดีอยู่เสมอๆ อย่างน้อยๆ คนในชุมชนผมแห่งนี้ก็คือเพื่อน พี่ และน้อง ที่เราก็ร่วมด้วยช่วยกันสร้างมา ดีกว่าที่ผมมานั่งพยายามทำใจแล้วปล่อยให้มันพังไปต่อหน้าต่อตา

แต่สุดท้ายแล้ว สำหรับผู้ใหญ่หลายๆ โตกันมาขนาดนี้แล้ว บางคนก็บวชกันไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ปรับปรุงตัวกัน ผมถึงเริ่มเข้าใจว่า “ถ้าคำขอโทษมันใช้ได้ผลคงไม่มีตำรวจ” เริ่มจริงแฮะ … กรณีของน้องๆ ใน ThaiHi5 ดูไม่ได้ร้ายแรงอะไรในความรู้สึกของเราผู้ใหญ่ที่ชินชากับปัญหาของเด็กๆ เค้า แต่สำหรับเค้าแล้วมันเรื่องใหญ่ เช่นเดียวกับเรื่องที่ผมเจอใน ThaiThinkPad ที่บางคนก็บอกว่า “จะไปยุ่งทำไม” ก็ได้แต่ เออ …. เรื่องบางเรื่อง เราต้องใช้คำว่า "ทำใจ" มากกว่าที่จะพยายามที่จะไป "เข้าใจ" คนบางคน จริงๆ แฮะ …. เพราะถ้าเราเข้าใจเค้า เราก็อาจจะเป็นแบบเค้าก็ได้ สุดท้ายให้สังคม ให้คนรอบข้างตัดสิน ถ้าเค้าคิดว่าทางนั้นดีกว่า ผมก็ได้แต่ "ทำใจ" ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป

ผมเชื่อว่า เรามีคนที่คุยได้ทุกๆ เรื่อง เข้าใจเรา ดีกว่ามีคนที่ไม่รู้ว่าในใจเค้าคิดอะไร พูดกับเราอีกอย่าง บอกกับคนอื่นอีกอย่าง พูดบอกต่อน่ะไม่ว่า แต่บอกให้หมดบอกให้ครบ บอกแต่ความจริง อย่าเสริมแต่งให้ความจริงกลายเป็นความเท็จแค่นั้นพอ แล้วอันไหน "ความลับก็คือความลับ" ด้วย อย่างน้อยๆ ผมก็ไว้ใจเล่าให้คุณฟัง ก็ควรตอบสนองต่อความไว้ใจกันด้วย ไม่ใช่มีแต่ปากที่มีแต่ลมที่ไร้ซึ่งสัจจะ

External Hard Drive ลาโลก !!!

ที่ลาโลกไปคือ Western Digital 320GB My Book Premium ES Edition 3.5" ที่ซื้อมาประมาณ 2 ปีกับอีก 3-4 เดือนมั้ง ซึ่งได้ลาโลกไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม 53 ที่ผ่านมา ไม่ได้เขียนตอนนั้นเพราะยังเซง และทำใจเขียนไม่ได้สักทีซิน่า –_-‘

คือที่ผมใช้ External Hard Drive นี่ผมมี

  • Western Digital 320GB My Book Premium ES Edition 3.5"
  • Western Digital 500GB My Book Home Edition 3.5"
  • Western Digital 1TB My Book Home Edition 3.5"

ที่พังไปคือ Western Digital 320GB My Book Premium ES Edition 3.5" ตัวแรกนั้นครับ ซื้อตัวแรกก่อนชาวบ้านเค้า เลยพังก่อนชาวช้านเค้าเลย T_T

เหตุที่ทำไมผมถึงใช้ External Hard Drive เยอะ เพราะผมใช้ Hard Drive ตัวนี้ไปกับการ Backup ข้อมูลทุกๆ วันครับ โดยเฉพาะรูปและข้อมูลสำคัญพวกไฟล์งานผมจะมีการ Backup อย่างน้อย 1 copy เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหาย หรือเครื่อง Notebook โดนขโมยครับ อยางน้อยๆ ก็ยังเหลือข้อมูลที่จำเป็นไว้เสมอๆ ซึ่งไอ้วิธีแบบนี้เนี่ยแหละ งานหลายๆ อย่างของผมราบรื่นขึ้นเพราะมีวิธีนี้ ไฟล์หลายๆ อย่างผมเผลอลบ หรือแก้ไขไป ผมยังกลับมาห้องแล้วดึงข้อมูลเก่าของเมื่อวานกลับมาได้เสมอๆ ผมใช้แนวทางนี้มาหลายรอบ และช่วยผมหลายงานแล้ว

ส่วนอีกสองตัวนั้นผมจะเก็บรูปที่เป็นไฟล์ RAW ที่ถ่ายๆ มาทั้งหมดครับ แล้วมีพวกไฟล์งาน หนังต่างๆ ที่ผม Rip จากแผ่นที่ผมซื้อเก็บไว้อยู่ในนั้นเยอะพอสมควรเลยครับ เลยทำให้เก็บไฟล์เยอะใช้ได้เลย (มี SNSD MV อีกเกือบ 100GB ;P)

รูปเก่าลำลึกความหลังก่อน เดี่ยวจะเล่าให้ฟังว่าพังยังไง

P1040745[1] image

คือเมื่อวันที่ 23 มกราคม 53 ตอนเช้าๆ ผมก็ตื่นมาตามปรกตินั้นแหละ วันเสาร์สบายๆ ตื่นมางัวเงียเปิดจอ Notebook ก็ไม่ได้อะไร ดูที่ Task bar ผมว่าตัว Acronis True Image สำหรับ Backup มันขึ้น Error บอกว่ามัน copy ตัวไฟล์ไป Hard Drive ปลายทางไม่ได้ ผมก็เออ อาการเดิมมั้ง Hard Drive ดับ คือเจ้าตัวนี้มันเป็นบ่อยที่จู่ๆ มันก็ดับไปเองบางครั้ง แต่ว่าไม่ได้คิดอะไรคงประมาณว่า เออ มันส่งข้อมูลหรือมีอะไรผิดพลาดมั้งมันเลยดับไป แต่ทุก ๆ ครั้งมันก็เปิดติดกลับมาเช่นเดิม แต่คราวนี้ไม่ใช่แบบนั้น คราวนี้มันไม่ตื่น กดปุ่มเปิดมันก็ไม่ตื่น ทำยังไงก็ไม่ตื่น –_-‘ เฮ้ยย งานเข้าแล้วดิเรา เอาไงดีวะ ตอนนั้นอาการงัวเงียหายไป ทุกอย่างมาคุ บรรยากาศตรึงเครียดมาก แต่ไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะตัวที่มีปัญหาผมเอามาใช้ Backup ข้อมูลเสียมากกว่า ดังนั้นข้อมูลด้านในจึงเป็นข้อมูลที่พังและเสียหายไปก็ไม่เสียดายเพราะมันมีตัวไฟล์ต้นฉบับอยู่ แต่ด้วยความที่คิดว่ามันน่าจะเสียที่แผงวงจรมากกว่า ผมเลยรีบจัดการธุระส่วนตัวและบึ่งออกจากห้องไปซื้อ Hard Drive Enclosure มาต่อทันที แล้วก็ทำการแกะตัว Hard Drive ออกมาครับ ไม่สนใจประกันใด ๆ ทั้งนั้น ช่างมัน ออกแนว “กูจะเอาข้อมูลเว้ย” เลยรีบกระชากซีลยางและแกะออกมาทุกอย่างก็เป็นตามภาพด้านล่าง

DSC_9138

แผงวงจรทุกอย่างโอเคครับ ไม่มีอะไรไหม้ ทุกอย่างดูดีมากๆ

DSC_9126

DSC_9135

แต่เจ้าตัวที่มีปัญหาคือ …. !!! …. T_T ….

Hard Drive Western Digital WD3200AAJS ครับ มันได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ (แต่ผมไม่สงบกับมันด้วย) เพราะต่อกับ Exclosure ก็ไม่ตื่น ทุกอย่างเงียบสนิท ไม่ยอมหมุนใดๆ ทั้งสิ้น T_T

DSC_9137

ตอนนี้สภาพของมันก็ยังกองอยู่ที่โต๊ะอย่างในภาพตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ แผงวงจรยังใช้งานได้ เพราะต่อกับ Hard Drive 2.5” ก็ยังทำงานได้ปรกติมากๆ แต่ตัว Hard Drive พังไปแล้ว ส่วนตัว Enclosure ตอนนี้ก็ยังกองอยู่ ไม่ได้ใช้อะไรอีก (เสียดายเงิน) รอเวลาและเงินไปซื้อ Hard Drive ตัวใหม่มาใส่แทน ตอนนี้เลยเหลือแต่  Western Digital 500GB My Book Home Edition 3.5" และWestern Digital 1TB My Book Home Edition 3.5" เท่านั้นเอง

งานนี้ทำให้ได้ข้อคิดว่าควรสำรองข้อมูลอยู่เสมอๆ ครับ และสังเกตอยู่ต่อเนื่องว่า External Hard Drive ของเราทำงานเป็นปรกติดีอยู่หรือไม่ด้วยครับ สุดท้ายมันน่าจะพังเพราะอะไรนี่ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ เรื่องไฟกระชากของไม่ใช่แน่นอน เพราะผมต่อ External Hard Drive ผ่าน UPS ทุกตัวครับ ไม่มีอาการไฟกระชากแล้วทำให้มันพังแน่นอนครับ ;)

ไว้อาลัยกับมันอีกสักพัก T_T ….

การแอบอ้างหรือนำรูปไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาติ

เกรินนำก่อนเลยว่าตาม พ.ร.บ ลิขสิทธ์ ให้บอกไว้ว่า ”ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้สร้างสรรค์ ก็คือ ผู้แต่ง ผู้วาด ผู้เขียน ผู้ถ่าย ใครสร้างสรรค์ขึ้นมา ลิขสิทธิ์ก็จะเป็นของผู้นั้นโดยทันที โดยไม่ต้องจดลิขสิทธ์ แต่ประการใด” แตกต่างจากสิทธิบัตรอย่างชัดเจน (แต่ปรกติแล้วจดสิทธิบัตรมักจะจดมีลิขสิทธิ์พ่วงมาด้วยบ้างในบางงาน) เนื้อหาในข้อกฎหมายอ่านเพิ่มเติมที่ http://www.moc.go.th/opscenter/cr/lic1.htm

งานสร้างสรรค์ต่างๆ ซึ่งในที่นี้ผมจะมุ่งไปที่การสร้างสรรค์ในการถ่ายภาพนิ่งเป็นหลักเพื่อให้เหมาะกับสิ่งที่ผมจะพูด การถ่ายภาพนั้นถ้าเป็นการถ่ายรูปธรรมชาติ ทั่วๆ ไปหรือภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่ไม่มีคนมาเกี่ยวข้องอันนี้ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่นัก

แต่เมื่อใดก็ตามที่ถ่ายรูปมาติดหน้าคนเมื่อไหร่ อันนี้งานเข้าครับ เพราะมันมีเรื่องของกฎหมายสิทธิ์ส่วนบุคคลมาเกี่ยวข้อง ซึ่งในบางประเทศติดคนในภาพได้ถ้าไม่ชัดเจน หรือเห็นหน้าไม่ชัด แต่บ้างที่ก็ไม่ได้เลย ต้องให้เซ็น Model Release (ใบยินยอมให้เป็นแบบ) ที่ต้องเซ็นเพราะเป็นการบ่งบอกว่าการถ่ายรูปในครั้งนี้อาจนำมาซึ่งความไม่เป็นส่วนตัวได้ นั้นเอง

ที่นี้เมื่อใดก็ตามที่เป็นลักษณะของภาพบุคคลก็มักจะมีข้อกฎหมายที่เดี่ยวข้องแบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ

  1. ลิขสิทธิ์ในตัวภาพถ่าย
  2. สิทธิส่วนบุคคลของผู้เป็นแบบ

ซึ่งต้องแยกกันให้ออก ปรกติแล้วในบ้านเราเวลาถ่ายรูป ออกทริปต่างๆ ไม่ว่าจะทริปใหญ่ ทริปเล็ก ไม่ค่อยมีใครเซ็น Model Release กันสักเท่าไหร่ เพราะทุกคนก็คิดว่ามันดูจริงจังเกินไป ถ่ายเป็นงานอดิเรกจะอะไรกันนักหนา อันนี้พอเข้าใจได้ เว้นนะครับ เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี อันนี้แนะนำให้เซ็นทุกกรณี (พร้อมรายเซ็นผู้ปกครองด้วย) ยิ่งโพสลงเว็บแล้วถ้าไม่ใช่พ่อ-แม่นี่อาจโดนลบทิ้งหรือยกเลิก account ของเว็บโพสรูปต่างๆ ได้ครับ เพราะในเมืองนอกนี่รูปเด็กๆ นี่เค้าถือเรื่องนี้กันมากครับ เพื่อนผมโดนยกเลิก account ของ SkyDrive ของ Microsoft มาแล้วเพราะมีรูปของน้องตัวเองอายุไม่ถึง 18 อยู่ กว่าจะเคลียร์กันได้ ไม่รู้ไปวัดอายุด้วยอะไรเหมือนกัน –_-‘

แต่เมื่อใดก็ตามที่เป็นการเป็นงาน ถ่ายในสตู เอาภาพไปใช้งานจริงๆ จังๆ ลงในเว็บ ลงหนังสือ สิ่งพิมพ์เป็นเรื่องเป็นราว บริษัทเอาไปใช้งานต่างๆ แล้วนั้นผมแนะนำให้เซ็นซะ จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง โหลดได้ที่ http://www.arcurs.com/what-is-a-model-release อันนี้จัดเต็มหาให้เลย (ภาษาอังกฤษไปเลย จะได้ใช้ได้หลายงานดี) ประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหละ เมื่อเราถ่ายรูปบุคคลมา เอามาโพสลงเว็บรูปก็ของเรา คนในรูปก็คนที่เราก็รู้จัก (หรือเรารู้จัก แต่เค้าไม่รู้จักเรา แต่เค้าโพสให้เราถ่ายรูปก็ตาม) ยังไงก็ควรเคารพสิทธิส่วนบุคคลผู้อยู่ภาพเสมอ ว่าภาพที่ลงนั้นจะไปสร้างความเสื่อมเสียต่อบุคคลนั้นหรือเปล่า ตรงนี้นางแบบหลายๆ คนจะได้ค่าจ้างเพิ่มจากการเซ็นตรงนี้ด้วยซ้ำ เพราะรูปภาพพวกนี้อาจจะถูกนำไปขายต่อได้ในอนาคต เพราะใน Model Release (ส่วนใหญ่) จะระบุเรื่องการโอนย้ายลิขสิทธิ์ของภาพนั้นๆ ด้วยตรงนี้ต้องอ่านดีๆ ครับ เพราะมันเกี่ยวกับความไม่เป็นส่วนตัวของคุณมากๆ

ต่อมาก็คืองานที่เป็นลักษณะจ้างวานอีกต่อหนึ่งในงานต่างๆ นั้น อาจจะมีการเซ็นหรือตกลงกันว่าภาพนี้จะเป็นลิขสิทธิ์ของผู้จ้างวานทั้งหมดหรือลิขสิทธิ์ร่วมก็แล้วแต่จะตกลงกันในเนื้องานไป ไม่เช่นนั้นจะเข้าข่ายตาม พ.ร.บ ลิขสิทธ์ ที่ผลงานเป็นของผู้สร้างสรรค์คนแรกทันที

ทำไมผมถึงมาพูดเรื่องพวกนี้ ต้องบอกว่าเมื่อเดือนก่อนผมได้รับ FWD Mail แล้วมีคนเอารูปที่ผมถ่ายเนี่ยแหละ ไปลง FWD Mail -_-‘ ได้รับเมลแล้วก็นะ คนแรกที่ส่งเท่าที่สาวได้ก็คนในองค์ใหญ่ใช้ได้เลย จริงๆ ผมก็ไม่ได้อะไรหรอก อยากเอาไป FWD Mail ก็น่าจะแจ้งกันสักหน่อย เพราะบางครั้งผมได้รับ FWD Mail หลายๆ ฉบับมักมีข้อความล่อแหลมพ่วงตามมาในเมลฉบับที่ FWD ต่อตอนท้ายๆ อันนี้เห็นแล้วได้แต่เซงๆ ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่บ่นในใจ อยากจะด่ากลับเหมือนกัน แต่ด่าไปก็ได้แต่ท้ายๆ พวกได้รับแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วไอ้คนแรกที่ส่งตามที่เราเห็น ก็ไม่แน่ใจว่าจะใช่คนแรกจริงๆ หรือเปล่าอีก เฮ้อ ….

แล้วต่อมาเร็วๆ นี้ก็มีเว็บหลายๆ เว็บ พวกโมเดลลิ่ง เว็บจัดทริปบางเว็บ เอารูปของพี่ๆ ที่รู้จักกันในมัลติพลายไปลง โดยไม่ได้แจ้งให้ทราบ แถม hot link อีกต่างหาก logo มัลติพลายและลายน้ำชัดเจนมาก ซึ่งผมคิดว่าถ้าทำเว็บเป็นการเป็นงาน ทำธุรกิจเป็นเรื่องเป็นราวน่าจะติดต่อนางแบบมาเคส หรือติดต่อขอซื้อภาพไปเลยน่าจะดีกว่าไหม จะได้ดูน่าเชื่อถือ และดูเป็นมืออาชีพมากกว่านี้มากๆ ซึ่งคงไม่ต้องต่อว่าอะไรอีก เพราะผลงานเด่นชัดขนาดนั้นสังคมลงโทษกันเอาเองหล่ะครับ

ซึ่งแน่นอนว่าอีกประเด็นที่ร้อนไม่แพ้กันคือการนำรูปไปแอบอ้างเพื่อหวังประโยชน์ทางใดทางหนึ่ง เช่น ประกาศทริป/เคสงานแล้วนางแบบยังไม่รู้เรื่องเลย อยู่ๆ ก็ประกาศ แถมนำรูปไปใช้ก่อนด้วยนะ คนรู้จักนางแบบคนนั้นก็ไปถาม นางแบบก็งงๆ ว่าอ้าว ไปจัดอะไรกันตอนไหน คนจะเป็นนางแบบยังงงๆ อยู่เลย ออกแนวมัดมือชกหรือเปล่า ประกาศไปแล้ว นางแบบไม่มา กลายเป็นนางแบบเบี้ยวงาน ไปแทน เสียชื่อเสียงอีกต่างหาก อันนี้น่าคิดครับ ซึ่งในความคิดของผมเนี่ย ผมมองว่าถ้าจะทำธุรกิจอะไร ผมก็แนะนำให้ตรงไปตรงมาครับ ไม่ใช่ทำเป็นพวก มัดมือชก บอกความจริงไม่หมด บอกครึ่งเดียว หรือแอบอ้าง อันนี้ผมว่าไม่เหมาะสมเท่าใดนัก

สุดท้ายต้องมีคนมาแสดงคามคิดเห็นเรื่องการใช้ซอฟท์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ในการตกแต่งภาพแล้วนำมาใช้แล้วถูกละเมิดเช่นกัน แล้วที่นี้เราจะไปฟ้องคนที่ละเมิดแล้ว ซึ่งภาพนั้นเราเองก็ละเมิดลิขสิทธิ์ซอพแวร์คนอื่นมาเหมือนกัน ซึ่งถ้าโดนฟ้องกลับตรงนี้ เป็นความผิดในเรื่องของ "ต่างกรรม ต่างวาระ" และไม่ใช่คนที่เค้าละเมิดลูกภาพเราจะมาฟ้องกลับได้ เพราะผู้ที่จะฟ้องเราได้ ต้องเป็นเจ้าของซอฟท์แวร์หรือผู้ได้รับอำนาจอย่างถูกต้องเท่านั้น แต่ฟ้องได้แต่ในเรื่องของการใช้ซอฟท์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ในการตกแต่งภาพเท่านั้น แต่ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ของภาพที่เราใช้โปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์นั้นก็ไม่ได้หมดไปเช่นกัน ยังไงลิขสิทธิ์ของภาพก็ยังเป็นของเราอยู่ครับ

ซึ่งผมมองว่าการเรียกร้องการถูกละเมิดในขณะที่ตัวเราเองก็ละเมิดนั้น ผมว่ามันก็แล้วแต่บุคคล แต่ที่แน่ๆ "มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างในการทำให้บุคคลอีกฝ่ายจะมาละเมิดลิขสิทธิ์ได้เช่นกัน"

ผมหวังว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อย และอยากให้คนที่ถ่ายรูปทุกท่านระลึกไว้เสมอๆ ครับในเรื่องพวกนี้