ปัจจัยที่มีผลต่อราคา Notebook ** ไม่ใช่แค่ spec **

จะเอามาลงทั้งหลายทีแล้ว วันนี้ว่าง ๆ เลยเอามาลงซะเลย …….. จากกระทู้ ใน Pantip.com กล่าวไว้ได้น่าสนใจทีเีดยวหล่ะครับ
ปัจจัยที่มีผลต่อราคา Notebook ** ไม่ใช่แค่ spec **

ขอเสนอข้อมูลให้คนที่กำลังมองๆหา Notebook เพื่อใช้งานได้ดูประกอบการตัดสินใจครับ

จริงๆแล้วเห็นมีหลายกระทู้มากๆๆที่โพสถามว่าจะซื้อรุ่นนี้ดีมั้ย รุ่นไหนดีกว่า อะไรแบบนี้เยอะมาก ถ้าอยากได้คำตอบที่ตรงจริงๆคงต้องบอกความต้องการใช้งานประกอบด้วยละครับ ว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร ต้องการความสะดวกในการขนย้ายมั้ย, ต้องใช้งานข้องนอกโดยไม่มีปลั๊กเสียบบ่อยๆ, ใช้เล่นเกมส์เป็นหลัก, ใช้เก็บรูปเก็บเพลง, หรือต้องดูดีอวดชาวบ้านได้(สารภาพมานะ!) เพราะจริงๆแล้วเกณฑ์การตัดสินใจนี่คือ เปรียบเทียบ “สิ่งที่ Notebook ทำได้” มันเหมาะสมกับ “วัตถุประสงค์การใช้งาน” ต่างหากล่ะครับ

แต่อย่างแรกที่ต้องจำไว้เลยก็คือ ** ไม่มี Notebook ที่ดีที่สุด หรือว่าเลิศสมบูรณ์ทำได้ทุกอย่างครับ ** ยืนยันอีกที – No Best or Perfect Notebook ในโลก!! โดยเฉพาะถ้าจำกัดงบประมาณมายิ่งเป็นไปไม่ได้เลย แบบที่จะเอา Notebook จอปิ๊งๆ เล่นเกมส์ลื่นๆ แบตอึดๆ บริการดีๆ ทนทาน ประกันนาน แถมต้องเบาๆพกพาง่าย แต่ให้งบมา 40,000 !! จะหาจากไหนล่ะครับ…

ปัจจัยหลักๆที่จะมีผลต่อราคา จริงๆแล้วไม่ใช่ Spec นะครับ โดยเฉพาะความเร็ว CPU จะยิ่งมีผลน้อยมากๆ, Technology ของ Platform หรือ VGA อาจมีผลนิดหน่อย แต่ไม่เยอะขนาดปัจจัยที่จะพูดถึงต่อไปนี้

1. น้ำหนัก: ถ้าอยากได้ Notebook เบาๆพกพาง่ายคงต้องลงทุนหน่อยละครับ ยิ่งเล็กยิ่งเบาก็ยิ่งแพง แถมส่วนใหญ่พวกตัวเล็กนี่จะทำด้วยวัสดุชั้นดีทนทานเพื่อให้เหมาะสมกับ การใช้งานที่เน้นเอาไปไหนต่อไหนด้วยเลยยิ่งแพงใหญ่ ตัวอย่างชัดๆก็พวก Fujitsu, Sony หรือ X series ของ IBM ที่ต้องมี 70,000-80,000 เป็นอย่างน้อยละครับ
2. วัสดุ/ความทนทาน: ดูได้เลยครับ พวก Notebook ไต้หวัน spec สูงๆที่ทุบราคาลงมาได้ก็เพราะประหยัดโดยการใช้วัสดุเกรดธรรมดาๆทั้งนั้น ซึ่งอาจจะมีผลเรื่องความทนทานอย่างละ อีกอันที่เห็นชัดๆก็ความหรูหรานี่แหละ =)
3. การออกแบบ Ergonomic: เคยรู้สึกกันมั้ยครับ ว่า Notebook แพงๆมันมักจะ”เข้ามือ”มากกว่าพวกพื้นๆ โดยจะรู้สึกว่าพิมพ์ถนัดมือกว่า ปุ่มก็อยู่ตำแหน่งที่ถนัดไม่ขัดมือ อันนี้ก็มาจากเรื่องการออกแบบที่คำนึงถึง Ergonomic ให้สะดวกสบายในการใช้งานนี่แหละครับ และแน่นอนว่าเป็นต้นทุนที่ต้องบวกเข้าไปด้วย
4. ประกัน/บริการ: ต้นทุนของการประกันและบริการนี่ไม่ใช่ถูกๆนะครับ ซึ่งทำให้เห็นความแตกต่างของแต่ละยี่ห้อได้เลยเชียวแหละ ประกัน 1 ปีกับ 3 ปีนี่ผิดกันเกือบหมื่นนา
5. ยี่ห้อ: คงจะเถียงไม่ได้นะครับว่าชื่อเสียงของแต่ละยี่ห้อที่สร้างสมมานี่ก็เอามาบวกในราคาทั้งนั้น ส่วนที่คนใช้จะได้รับตรงนี้ก็คงจะเป็นการบ่งบอกฐานะของเจ้าของ และ credit เวลาไป present (มั้ง!)
6. Software: อย่าลืมเชียวนะครับว่า Software แต่ละตัวที่อยู่ใน Notebook ก็มีราคาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น OS (Windows XP Pro กับ XP Home หรือกับ DOS ราคาห่างกันอย่างละหลายพัน), หรือจะเป็น Software อำนวยความสะดวกต่างๆในเครื่อง เช่น Connection Manager, Multimedia Manager หรือ Rescue & Backup พวกนี้เป็นเงินที่เค้ามาเก็บกับเราทั้งนั้น คนไทยมักจะชอบลืมของพวกนี้เพราะแผ่นผีพันธุ์ทิพย์นี่ละ =/

ถ้าเราไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ ก็สามารถเลือก Notebook ยี่ห้อหรูๆดูดีมีทุกอย่างพร้อม พกพาสะดวก ไม่ต้องกังวลกับการจัดการในเครื่อง จะได้ใช้งานได้อย่างเต็มที่, แต่ทีนี้ ถ้าเรามีงบจำกัด ก็ยังมีทางเลือกที่จะใช้เครื่อง spec สูงๆเล่นเกมส์ลื่นๆได้ โดย trade off กับการที่อาจจะต้องยอมแบกเครื่องหนักหน่อย, รูปทรงหน้าตาบื้อๆดูไม่หรูแบบของเพื่อน, ต้องเพิ่มความระมัดระวังเวลาขนย้ายอีกนิดถ้าไม่อยากให้ NB จากไปก่อนวัย, ยอมวัดดวงว่า NB จะไม่มีปัญหาหลังจากใช้หมดปีแรก, ลง Software และจัดการเครื่องเองได้ อันนี้ก็คงไม่มีปัญหาอะไร อยู่ที่ “วัตถุประสงค์การใช้งาน” ของแต่ละคนที่จะเลือกแล้วละครับ

ขอให้มีความสุข ได้ใช้เครื่องถูกใจ Fit to Propose นะครับ ;)

การเซ็ตให้ Borland C++ Compiler 5.5 ทำงานร่วมกับ EditPlus เพื่อทำการ Compile ไฟล์ที่เขียนขึ้นด้วยภาษา C++

สิ่งที่ต้องมี

  • Borland C++ Compiler 5.5
  • EditPlus

1. ดาวน์โหลด Borland C++ Compiler 5.5 มาจากเว็บ Borland ที่ http://www.codegear.com/downloads/free/cppbuilder

2. ดาวน์โหลด EditPlus ได้จากที่นี่ http://www.editplus.com

3. เมื่อโหลดได้แล้วทำการติดตั้งดังภาพด้านล่างนี้ครับ


ภาพที่ 3-1


ภาพที่ 3-2


ภาพที่ 3-3


ภาพที่ 3-4


ภาพที่ 3-5

4. เปิด EditPlus ขึ้นมาแล้วไปที่ Tools ที่เมนูบาร์ แล้วไปที่ เมนู Configure User Tools


ภาพที่ 4-1

5. เข้ามาที่หน้าต่าง Preferences ตอนนี้เราจะอยู่ที่ Tools และหัวข้อย่อย User tools

  • ให้เราเลือกที่ Groups and tools items ไหนก็ได้ ในตัวอย่างเลือกอยู่ที่ Groups 4
  • กดปุ่ม Add Tool แล้วไปที่ Program


ภาพที่ 5-1

6. เราจะได้ New Program มา 1 อัน

  • เราสามารถเปลี่ยนชื่อได้โดยไปที่ Menu text ในที่นี้ให้เปลี่ยนเป็น “Borland C++ Compile
  • ในส่วนของ Command ให้ไป Browse ให้ชี้ไปที่ ไฟล์ bcc32.exe ซึ่งในที่นี้ถ้าติดตั้งตามแบบข้างต้น (ข้อที่ 3 ) จะได้ที่นี่ C:\Borland\BCC55\Bin\bcc32.exe
  • ในส่วนของ Argument ให้ใส่ตามข้างล่างนี้เลย ถ้าติดตั้งตามแบบข้างต้น (ข้อที่ 3 )
    -IC:\Borland\BCC55\Include -LC:\Borland\BCC55\Lib -n$(FileDir) $(FilePath)
  • จากข้อที่แล้วจะสังเกตที่ได้ขีดเส้นได้ว่าคือที่ ที่เราได้เซ็ตไว้ข้างต้นแล้วในตอนที่ติดตั้ง Borland C++ Compiler 5.5 ซึ่งในข้อที่ 3 เราได้กำหนดไว้ที่ C:\Borland\BCC55 นั้นเอง
  • ในส่วนของ Initial directory ให้กำหนดเป็น C:\Borland\BCC55\Bin
  • ให้ทำการทำเครื่องหมายถูกที่ Capture output ด้วย


ภาพที่ 6-1

7. ทำการกดปุ่ม Add Tool แล้วไปที่ Program เพื่อ New Program อีกหนึ่งอัน


ภาพที่ 7-1

8. ในขั้นตอนนี้เราจะทำ Menu Run กันในโปรแกรม EditPlus แต่มีข้อเสียอยู่อย่างเดียวคือ

เราจะไม่สามารถใช้กับโปรแกรมที่มีการรับ Argument ได้ ซึ่งทางผู้จัดทำเอกสารยังไม่ได้หาข้อมูลเพิ่มเติมแต่อย่างใด แต่สามาถ Compile ได้แต่จะมีวิธีการทำในภายหลังว่าจะทำยังไงให้สามารถ Run แล้ว สามารถให้โปรแกรมสามารถรับค่าได้

  • ที่ Menu text ให้เปลี่ยนจาก New Program เป็น Run
  • ที่ Command ให้ใส่ $(FileNameNoExt)
  • ที่ Initial directory ให้ใส่ $(FileDir)
  • ให้ทำการทำเครื่องหมายถูกที่ Capture output ด้วย


ภาพที่ 8-1

9. ต่อมาเรามาทำการเปลี่ยนชื่อ Groups 4 ให้เป็น C++ Compile ก่อนเพื่อจะได้ไม่สับสน

  • ไปที่ Group Name
  • แล้วทำการเปลี่ยนชื่อเป็น C++ Compile
  • กด OK เพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลง


ภาพที่ 9-1

10. แล้วกด OK ออกมาจาก หน้าต่าง Preferences

11. เขียนโปรแกรม ง่ายๆ ทดสอบกันว่ามันทำงานหรือเปล่า

  • แต่ก่อนทำการ Compile และ Run ต้องทำการ Save ก่อนเพื่อจะได้ Run ได้
  • การ Save ที่ถูกต้องและจะทำให้ Compile ผ่านได้และไม่ผิดพลาด นั้นควรตั้งชื่อไฟล์ และการเก็บไฟล์ไว้ที่ Folder ที่ไม่มีช่องว่างในการตั้งชื่อ และชื่อต้องที่ไม่มีช่องว่างในการตั้งชื่อด้วย (แต่สามารถใช้ _ ในการเว้นระยะแทนได้) เช่น
    • D:\Ford\MyProgramming
    • D:\cpp
    • D:\cpp\test.cpp
    • D:\cpp\test_input.cpp
  • ไม่ควร Save ไว้ที่ Folder หรือตั้งชื่อไฟล์ที่มีช่องว่างระหว่างชื่อ, ชื่อเป็นภาษาอื่นนอกจากภาษาอังกฤษ, ชื่อมีเครื่องหมายพิเศษหรือ มีสัญลักษณ์พิเศษ เช่น
    • D:\Ford\My Programming
    • D:\Ford\My OOP
    • D:\Ford\My Cpp
    • D:\Ford\My C(pp)
    • D:\cpp\tes#t.cpp
    • D:\cpp\test input.cpp
  • เราก็เขียนโปรแกรมง่ายๆ ดังภาพด้านล่างนี้ ……… และ Save ไว้ที่ D:\test.cpp


ภาพที่ 11-1

12. เมื่อเรา Save แล้ว ก็ไปที่ Tools ที่เมนูบาร์ ไปที่ User Tool Groups แล้วเลือกที่ C++ Compile ที่เราได้เซ็ตกันเมื่อกี้นี้


ภาพที่ 12-1

13. เราก็จะได้เมนูใหม่เข้ามาคือ Borland C++ Compile และ Run ที่เราเซ็ตไว้เมื่อกี้นี้

  • ให้เรากดที่เมนู Borland C++ Compile เพื่อทำการ Compile


ภาพที่ 13-1

14. เราจะได้ผลลัพธ์ตามภาพ


ภาพที่ 14-1

15. แล้วถ้าเราจะ Run ให้ใช้ เมนู Run ดังภาพ


ภาพที่ 15-1

16. เราจะได้ผลลัพธ์ตามภาพ


ภาพที่ 16-1

17. เรามาเขียนโปรแกรมรับค่าและ วิธีการแก้ปัญหาของ EditPlus ที่ทำการ Run แบบรับค่าไม่ได้ (ภาพที่ 17-2)

  • จากโปรแกรมนี้นั้น จะมีการรับค่ามาหนึ่งค่า เราจะรวบรัดขั้นตอนในบางตอนไปเลย ซึ่งเมื่อเขียนโปรแกรมนี้เสร็จแล้วให้ทำการ Compile ตามวิธีเดิมข้างต้นไปได้กล่าวไปแล้ว แต่ไม่ต้องทำการ Run แต่อย่างใด มิเช่นนั้นแล้วโปรแกรม EditPlus จะมี Process ค้างและทำให้เครื่องมีปัญหาได้
  • แต่ถ้าไปเผลอ Run แก้โดยให้ทำการ ปิดโปรแกรม EditPlus แต่จะมี Dial Box ขึ้นมาถามว่าเราจะ Stop Process หรือไม่ ดังภาพภาพที่ 17-1 ให้ตอบ Yes ไป

ภาพที่ 17-1


ภาพที่ 17-2

18. ทางแก้ในด้านนี้คือใช้ Command Prompt นั้นเอง

  • ให้ไปที่ Start > Run
  • พิมพ์ cmd


ภาพที่ 18-1

19. ไปที่ ที่อยู่ไฟล์ที่เราได้ Compile ไว้

  • ซึ่งในการ Compile นั้นโปรแกรม Borland C++ Compiler 5.5 จะทำการ Build ไฟล์ที่เรา Compile เป็น Execute File ( .exe ) ให้เราแล้ว
  • เราเพียงแต่เข้าไปหาไฟล์ที่เรา Compile ไว้แล้วพิมพ์ชื่อไฟล์นั้นๆ ลงไปให้ตรงเท่านั้น
  • ในขั้นตอนนี้ควรมีความสามารถในการใช้คำสั่ง DOS


ภาพที่ 19-1

20. จากทั้งหมดที่ได้กล่าวไปเป็นการเซ็ตและการประยุกต์ใช้ในด้านการทำงานครับ ขาดตกเนื้อหาตรงไหนเมล มาสอบถามได้นะครับ หวังว่าคงได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ

ทำให้ Mozilla Firefox ใช้ภาษาไทยอย่างสมบูรณ์

*ในการอธิบายนี้ใช้ Firefox Version 0.9.2 – 1.0.7

* สำหรับ Mozilla Firefox 1.5 นั้นอยู่ที่ ปรับแต่งให้ Mozilla Firefox 1.5 ใช้ภาษาไทยอย่างสมบูรณ์

Read more

แนะนำการทำเว็บ (ตอนที่ 2)

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ไอ้จริงๆ ผมมีโครงการจัดทำบทความไว้มากมายก็จะเอามาลงในเว็บแห่งนี้ครับ แต่ว่าด้วยเรื่องเหตุต่างๆ มากมายในการเรียนใน มหาวิทยาลัย ปีที่ 1 ครับทำให้ผมต้องเลื่อน บทความต่างๆ ที่ค้างคาอยู่มากมาย (ก็แบบว่าร่างๆ ไว้เต็มไปหมดแต่ก็ หมกไว้ไม่เสร็จเป็นชิ้นไปอันสักที) เลยเอามาลงไม่ได้เป็นเวลาเดือนกว่า สองเดือนได้ ไอ้จริงๆ บทความแนะนำด้านแนวทางทำเว็บนั้นที่ได้ผ่านสายตาไปก็ เป็นบทความเก่านะครับแต่ว่าเอามาปัดฝุ่นใหม่เท่านั้นเอง ทำให้ตอนนี้ก็มึนๆ กับบทความทั้งหลายว่าจะต่อมันยังไงดี (เขียนโครงสร้างไว้นะครับแต่ว่าด้วยเหตุที่ว่า วันเวลาผ่านไปข้อมูลบางอย่างมันเก่าเลยต้องปรับปรุงให้ทันสมัย) เลยตอนนี้ต้องมานั่งแก้บทความกันเล็กน้อยครับ


เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ จากที่ผมได้ค้างไว้ครั้งที่แล้วเรื่อง “แนวทางในการประชาสัมพันธ์เว็ปให้ได้ดี

ประชาสัมพันธ์ อย่างไรดีกับเรื่องนี้

ต้องบอกกันก่อนว่าเว็บไม่ใช่หนัง ที่จะประโคมงบลงทุนในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และจุดเด่นต่างๆ แต่เป็นการสร้างจุดเด่นและความเหมือนที่แตกต่างกันในเรื่องเนื้อหาและรวมไปถึงสาระต่างๆ จริงๆ อันนี้ได้พูดถึงกับไปแล้วในตอนที่ 1 ครับ (แต่ว่าหลายคนที่เมล์มาหาผมนั้นว่ายังไม่กระจ่างอธิบายเพิ่มได้ไหม ต้องบอกว่าได้ครับ แต่ว่าขอเอามาคิดก่อนว่าจะต่อยอดมันยังไง เพราะว่าบ้างส่วนนั้นลึกเหมือนกันครับ กลัวจะมึนกับมัน เลยต้องขอไว้ก่อนนะครับ) คือจริงๆ แล้ว เราต้องสร้างโครงข่ายของเพื่อนๆ หรือเรียกอีกอย่างว่าพันธ์มิตร โดยมากเค้าจะใช้การแลกลิ้งส์กัน ซึ่งผมจะพูดต่อไปว่าทำยังไง และได้ผลมากน้อยเพียงใด ซึ่งไม่ต้องเสียค่าโฆษณาแต่อย่างใด และทำให้เว็บของเราได้ติดอันดับต้นๆ ในการค้นหาของเว็บค้นหาข้อมูลต่างๆได้อย่างไม่ยาก (แต่ใช้เวลานานหน่อย) นั้นเอง


ทำไมต้องทำอย่างนี้ …….. ?

ผมจะไม่พูดถึงการประชาสัมพันธ์แบบเสียค่าใช้จ่ายเพราะคงไม่มีใครต้องการ (แต่ได้ผลเร็วมากๆ ) เพราะว่าในการเขียนบทความนี้นั้นเรายึดอันดับแรกคือ เราไม่มีงบ และหลายๆ คนที่ทำเว็บคงไม่มีงบกันเป็นทุนเดิม อยู่แล้ว (ในยุคของผม หรือใครหลายๆ คนคงเข้าใจดี) เพราะว่าการทำเว็บเพราะอยากทำ (มากกว่าการทำเพื่อได้เงิน) ทำให้เราไม่มีอะไรมาต่อกรกับเว็บที่มีทุนหนาและเงินทับตัวเองตาย (ไม่ต้องทำเว็บก็รวยแล้ว) แต่เนื่องจากว่าในตอนนี้ข้อมูลต่างๆ นั้นหลั่งไหลมาสู่โลกแห่งระบบสารสนเทศมากขึ้นทำให้คนเริ่มต้องเอาระบบต่างๆ และข้อมูลลงสู่เว็บมากขึ้น และรวมไปถึงความรู้ใหม่ๆ ที่ใครหลายๆ คนรู้กันมาแต่ว่าหาที่ถ่ายทอดได้ยากและสื่ออื่นๆ มีราคาที่แพงและยากแก่การเผยแพร่ให้ทั่วถึง ทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางของคนทุกชนชั้นได้อย่างไม่ยาก ซึ่งก็เป็นอย่างที่บอกไว้แล้วว่าทำให้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่อยู่ในโลกนี้ที่มีนับไม่ถ้วนอยู่ในโลกแห่งนี้มากมายจนล้น ทำให้ต้องมีระบบค้นหาออกมาเพื่อให้สามารถค้นหาได้ง่าย และรวดเร็วต่อการใช้งานอีกด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการค้นหาโดยใช้ระบบค้นหา Search Engines และ Web Directory นั้นเอง


ทั้งสองต่างกันอย่างไร …… ?

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าระบบทั้งสองอย่าง ต่างกัน และเหมือนกัน รวมถึงเกี่ยวข้องกันอย่างแยกกันไม่ออกแล้วในปัจจุบัน ก่อนที่จะไปพูดถึงตรงนั้นเรามาทำความรู้จักกับ Search Engines ก่อน

Search Engine ( จาก http://www.krumontree.com/search/ : 07/27/2003 06:16:53 ) แต่ละแห่งมีวิธีการและการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามประเภทของ Search Engine ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ดังนั้นการที่คุณจะเข้าไปหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ โดยวิธีการ Search นั้น อย่างน้อยคุณจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่คุณเข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป ที่นี้เราลองมาดูซิว่า Search Engine ประเภทใดที่เหมาะกับการค้นหาข้อมูลของคุณ

  • Keyword Index เป็นการค้นหาข้อมูล โดยการค้นจากข้อความในเว็บเพจที่ได้ผ่านการสำรวจมาแล้ว จะอ่านข้อความ ข้อมูล อย่างน้อยๆ ก็ประมาณ 200-300 ตัวอักษรแรกของเว็บเพจนั้นๆ โดยการอ่านนี้จะหมายรวมไปถึงอ่านข้อความที่อยู่ในโครงสร้างภาษา HTML ซึ่งอยู่ในรูปแบบของข้อความที่อยู่ในคำสั่ง alt ซึ่งเป็นคำสั่งภายใน TAG คำสังของรูปภาพ แต่จะไม่นำคำสั่งของ TAG อื่นๆ ในภาษา HTML และคำสั่งในภาษา JAVA มาใช้ในการค้นหา วิธีการค้นหาของ Search Engine ประเภทนี้จะให้ความสำคัญกับการเรียงลำดับข้อมูลก่อน-หลัง และความถี่ในการนำเสนอข้อมูลนั้น การค้นหาข้อมูล โดยวิธีการเช่นนี้จะมีความรวดเร็วมาก แต่มีความละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร แต่หากว่าคุณต้องการแนวทางด้านกว้างของข้อมูล และความรวดเร็วในการค้นหา วิธีการนี้ก็ใช้ได้ผลดี
  • Subject Directories การจำแนกหมวดหมู่ข้อมูล Search Engine ประเภทนี้ จะจัดแบ่งโดยการวิเคราะห์เนื้อหา รายละเอียด ของแต่ละเว็บเพจ ว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดยการจัดแบ่งแบบนี้จะใช้แรงงานคนในการพิจารณาเว็บเพจ ซึ่งทำให้การจัดหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนจัดหมวดหมู่แต่ละคนว่าจะจัดเก็บข้อมูลนั้นๆ อยู่ในเครือข่ายข้อมูลอะไร ดังนั้นฐานข้อมูลของ Search Engine ประเภทนี้จะถูกจัดแบ่งตามเนื้อหาก่อน แล้วจึงนำมาเป็นฐานข้อมูลในการค้นหาต่อไป การค้นหาค่อนข้างจะตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และมีความถูกต้องในการค้นหาสูง เป็นต้นว่า หากเราต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ Search Engine ก็จะประมวลผลรายชื่อเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ล้วนๆ มาให้คุณ
  • Metasearch Engines จุดเด่นของการค้นหาด้วยวิธีการนี้ คือ สามารถเชื่อมโยงไปยัง Search Engine ประเภทอื่นๆ และยังมีความหลากหลายของข้อมูล แต่การค้นหาด้วยวิธีนี้มีจุดด้อย คือ วิธีการนี้จะไม่ให้ความสำคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร และมักจะผ่านเลยคำประเภท Natural Language (ภาษาพูด) ดังนั้น หากคุณจะใช้ Search Engine แบบนี้ละก็ ขอให้ตระหนักถึงข้อบกพร่องเหล่านี้ด้วย

• การทำงานของ Search Engine •

การทำงานของ Search Engine จะประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ

  • Spider หรือ Web Robot จะเป็นตัวที่ทำหน้าที่เข้าสำรวจเว็บไซต์ต่างๆ แล้วดึงข้อมูลเหล่านั้นมาอัพเดทใส่ในรายการฐานข้อมูล ส่วนมาก Spider มักจะเข้าไปอัพเดทข้อมูลเป็นรายเดือน
  • ฐานข้อมูล (Database) เป็นส่วนที่เก็บรายการเว็บไซต์ ฐานข้อมูลที่ดีควรจะมีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะรองรับกับการเติบโตของเว็บไซต์ในปัจจุบัน การออกแบบฐานข้อมูลที่ดีก็เป็นส่วนสำคัญเพราะถ้าฐานข้อมูลออกแบบมาทำงานช้าก็ทำให้การรอผลนานและจะไม่ได้รับความนิยมไปในที่สุด โปรแกรม Search Engine มีหน้าที่รับคำหรือข้อความที่ผู้ใช้งานป้อนเข้ามา แล้วเข้าค้นหาตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่จัดเก็บไว้ในฐานข้อมูล จากนั้นก็จะรายงานผลเว็บไซต์ที่ค้นพบให้กับผู้ใช้ การสืบค้นด้วยวิธีนี้นอกจากจะต้องมีระบบการสืบค้นข้อมูลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพแล้ว การกลั่นกรองผลที่ได้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญของการสืบค้นข้อมูล ดังนั้น การเลือกใช้เครื่องมือในการค้นหาจะต้องเข้าใจว่า ข้อมูลที่ต้องการค้นหานั้นมีลักษณะอย่างไร มีขอบข่ายกว้างขวางหรือแคบขนาดไหน แล้วจึงเลือกใช้เว็บไซต์ค้นหาที่ให้บริการตรงกับความต้องการของเรา

Web Directory นั้นหลายๆ ความรู้หลายๆ แห่ง หรือหนังสือต่างๆ อาจจะรวมเอาเข้าไปกับ Search Engines ก็ได้แต่ว่าถ้าจริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียว เพราะว่าระบบค้นหาที่โด่งดังมากอย่าง yahoo ก็เป็น Web directory มาก่อนแล้วค่อยมาปรับเปลี่ยนเป็น Search Engine ที่หลังครับ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น คือจริงๆ ในอดีตนั้นระบบการจัดการเว็บลงในฐานข้อมูลนั้นยังใช้คนในการใส่ข้อมูลของเว็บซึ่งได้จาก Meta Tag หรือ Description Tag ซึ่งเค้าจะเอาข้อมูลในส่วนนั้นที่เราได้ใส่ไว้มาทำการปรับปรุงและเอามาลงในฐานข้อมูล ซึ่งอย่าง yahoo ในตอนแรกๆ นั้นมีคนทำระบบและจัดการกับการเอาข้อมูลเข้าสู่ระบบเพียง 20 คนเท่านั้นทำให้การปรับปรุงของฐานข้อมูลทำงานช้าแต่ที่ทำให้มีความนิยมเพราะชื่อที่จำง่ายและมีการจัดการของหมวดหมู่ของเว็บต่างๆ ใน Directory ที่เข้าใจง่ายประกอบกับระบบ Web Robot หรือ Spider ในยุดเริ่มต้นยังไม่ฉลาดพอและทำงานได้ไม่ดีเท่าคนทำจึงทำให้ yahoo ได้รับความนิยมมากกว่าเพราะ ให้เนื้อหาที่ตรงกลุ่มกว่าและไม่ผิดพลาดเพราะผู้ที่จัดระบบคือมนุษย์นั้นเอง ซึ่งก็ไม่แปลกทำไมในอดีตคนทำเว็บจึง ไผ่ฝันมากที่จะมีชื่อของตัวเองอยู่ใน yahoo เพราะระบบอย่างนี้เองซึ่งในตอนนั้นถ้าเว็บใครได้อยู่ใน yahoo บอกได้เลยว่าเว็บนั้นสุดยอดละดีจริงๆ และ sanook ก็เป็นเช่นนั้นด้วยครับ เพราะว่าในยุคแรกๆ ของเว็บ sanook นั้นยังไม่มีใครทำเว็บและโปรแกรมการจัดการระบบต่างๆ ยังไม่ได้รับความนิยมประกอบกับการสร้างเว็บยังไม่เป็นที่นิยมอย่างในปัจจุบัน ทำให้ใครๆ ในตอนนั้นที่ทำเว็บใช้ช่วงแรกๆ นั้นหากันยากมากสำหรับเว็บไทยๆ แต่ก็อย่างที่บอก sanook มาได้จังหวะ เอาหลักการเป็นเดียวกับ yahoo มาทำแต่ตอนนั้นคนทำทำแค่คนเดียวครับ ทำให้ระบบก็ช้าๆ ซึ่งต่อมาก็ปรับเปลี่ยนมาจนมาเป็นในปัจจุบันนี้ครับ แต่ในปัจจุบันระบบ Search ในตอนนี้ที่มาตีระบบเก่าๆ กระจุยคงไม่พ้น google นั้นเอง ด้วยระบบ Robot และ Spider ที่ฉลาดโคตรๆ จนแทบจะเรียกได้ว่าไม่ต่างไปจากคนทำให้มันได้รับความนิยมากมายจนถีบ yahoo ร่วงไปจากบรรลังแห่งเจ้าพ่อการค้นหาข้อมูลบนอินเตอ์เน็ต และอีกอย่างตอนนั้นก็มีอีกเว็บที่เป็น Web Directory แท้ๆ และเป็นแบบดั่งเดิม นั้นคือ Open Directory Project นั้นเอง ( http://dmoz.org/ ) เป็นแบบ yahoo ในช่วงต้นแต่ด้วยความร่วมมือกันของ google และ dmoz ทำให้เกิดสารระบบ Both Search ขึ้นครับ ทำให้ตอนนี้เป็นระบบ Search ที่สมบูรณ์มากๆ และมันทำให้เป็นผลดีอย่างไรน่ะหรือ เพราะว่าระบบ google จะทำการค้นหาด้วย spider จากนั้นก็ทำผนวกเอา dmoz มาแสดงผลเพื่อให้ได้ผลออกมาทั้งส่องทางในแบบเดียวกับ yahoo ในปัจจุบันครับ


อ้าว!!! แล้วเล่ามาทั้งหมดมันเกี่ยวกันยังไง

ก่อนอื่นต้องบอกว่าเอาพื้นๆมาให้อ่านแล้ว จะเริ่มเข้าใจหลักการทำงาน เมื่อเข้าใจก็เหมือนหนังกำลังภายใน “ที่ว่ารู้เค้ารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง”คือเมื่อเราเข้าใจแล้ว ด้วยเหตุที่ว่าในปัจจุบัน กว่า 50% ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลก นั้นใช้ google ซึ่งมันใช้โปรแกรม spider หรือ robot ให้การหาเว็บและเก็บข้อมูลต่างๆ มาทำให้เราก็ไม่ต้องไปลงฐานข้อมูลให้มัน เดี่ยวมันก็หาเจอเอง แต่ว่านานหน่อยซึ่งเรามีวิธีที่ง่ายๆ และได้ผล คือเราต้องพยายามหาเว็บที่เจ้า google นี้หาเจออยู่แล้ว แล้วทำการแลกลิ้งส์กับเค้าหรือติดต่อเค้าให้ลงลิงส์หรือ ทำยังไงก็ได้ให้ชื่อเว็บเราและที่อยู่เว็บเราอยู่ในเว็บนั้น แล้วเมื่อระบบ spider (ขอรวมไปถึง robot ด้วยจะได้ไม่เขียนบ่อยเมื่อย ครับ ^_^ ) กลับมาเพื่อปรับปรุงฐานข้อมูลให้ใหม่ ส่วนมากจะ 3 – 5 วันแล้วแต่การเขียนโปรแกรมและความสำคัญของเว็บนั้นๆ ก็จะดึงลิงส์ใหม่ๆ เข้าไปแล้วก็จะวิ่งไปตามลิงส์ใหม่ๆ เพื่อดูว่าเว็บที่เป็นลิงส์เหล่านั้นมีอะไรมั้ง และก็จะเทียบกับฐานข้อมูลตัวเองว่ามีเว็บนี้อยู่หรือไม่แล้วทำการบรรจุลงในฐานข้อมูลของระบบตนเอง นี่เป็นหลักการง่ายๆ แต่ว่าฉลาดมาก ทำให้ระบบ google นั้นทำงานบนระบบ Server อย่างน้อยๆ ก็ 6,000 (หกพัน) ตัวเป็นอย่างน้อย (ข้อมูลจาก pcworld ครับ )เพื่อเก็บฐานข้อมูลเว็บอันมหาศาลเหล่านั้นไว้ ซึ่งโดยส่วนมากในปัจจุบันนั้นระบบนี้ใช้กันแทบจะทุกๆ เว็บค้นหาข้อมูลชั้นนำอยู่แล้ว นั้นเอง ชึ่งเอาไปประยุกต์ใช้ได้ตลอดครับ


แต่ก็มีปัญหาอีกนั้นหล่ะว่าเว็บในไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ระบบนี้ ทำยังไงดีหล่ะ ?

นี่คือปัญหาใหญ่เลยทีเดียว อันนี้คงต้องตอบแบบกำปั้นทุบดินแล้วกันว่า เราต้องไปลงทะเบียนเองในเว็บนั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วปริมาณคนใช้งานนั้นเทียบกับตัวอื่นๆ ที่ได้กล่าวมานั้นยังคงน้อยอยู่ครับ …… ซึ่งถ้าเราใส่ Meta Tag และ Description Tag ไว้แล้วส่วนมากจะไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ ถ้าเว็บเรา ok เค้าจะใส่ให้เราเองโดยสมัครใจครับ …….

เป็นยังไงครับกับเรื่องนี้ หวังว่าคงได้ความรู้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ แต่สำหรับคนที่รู้แล้วก็คง ไม่ว่ากัน หรือถ้ามีผิดอะไรไปก็ อภัยไว้ให้ด้วยเพราะว่า บางส่วนอ้างอิงมาบางส่วนเอามาจากความรู้ที่ได้อ่านๆ มาตามนิตยสารคอมฯ และหนังสือต่างๆ ที่ได้เสนอมาแต่ในอดีตครับ

ขอค้างไว้นะครับ อีกเรื่องคือ “รูปแบบเว็บแบบใดเหมาะแก่การทำระบบเว็บธุรกิจ” ครับ แล้วตอนหน้าจะมาต่อครับ ส่วนตอนต่อจากเรื่อง “รูปแบบเว็บแบบใดเหมาะแก่การทำระบบเว็บธุรกิจ” คือ “การปรับแนวทางเว็บให้เข้าสมัยและ การจัดระบบข้อมูลให้ดูเรียบง่าย แต่ไม่เละ” ครับ

แนะนำการทำเว็บ (ตอนที่ 1)

ในสมัยก่อนนั้นการที่เราจะทำเว็บให้ออกมาสวยได้นั้นยากกว่าการพิมพ์งานบน MS. Word เสียอีกต้องมีการทำความเข้าใจในภาษา html ให้ดีเสียก่อน ซึ่งในตอนนั้นเหมือนกันหัดเขียนโปรแกรมโปรแกรมหนึ่งเลยทีเดียว แล้วถ้า ต้องการทำงานในลักษณะตอบโต้ได้ (CGI) มันทำได้ยากยิ่งเพราะว่ายังหาหนังสือที่เป็นภาษาไทยได้ยากมากและส่วนใหญ่ที่ทำกันตอนนั้นจะเป็นคนที่มุ่งมั่นอ่าน หนังสือภาษาอังกฤษ ซึ่งต้องขอบคุณอินเตอร์เน็ตที่ทำให้การอ่านหนังสือ พวก cgi และ html แบบภาษาอังกฤษทำได้ง่ายและฟรีโดยที่ไม่ต้องสั่งซื้อตามศูนย์หนังสือต่างๆ ในตอนนั้นมีคนกระโดดลงมาทำกันยังน้อย และส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ทำงานด้านนี้อื่นๆ ในแขนงคอมฯพิวเตอร์มาก่อนมากกว่า ซึ่งเว็ปในสมัยนั้น ที่ดังและทำให้เราๆ ได้รู้จักและทำให้เกิดเหล่านักทำเว็ปรุ่นใหม่ๆ คือ Sanook.com แต่ก่อนที่เราจะพูดถึงนั้นเรามาพูดถึงเว็ปรุ่นพี่ที่ทำมานานและยังไม่เปลี่ยนแปลงคือเว็ป Pantip.com ที่เป็นเหมือนศูนย์รวมเว็ปบอร์ดที่ใหญ่ที่สุดใน ประเทศไทยและยังเป็นที่ที่มีอัตราการเข้าใช้บริการมากสุดอีกด้วย เว็ป Pantip.com ยังรักษาลักษณะขอเว็ปตั้งแต่ อดีตจนปัจจุบันได้ดี

ทำไมเราต้องทำเว็ป

นี่คือคำถามที่เราต้องตอบให้ได้ก่อนการทำเว็ปทั้งหมด เพราะว่าไม่อย่างงั้นก็เหมือนการออกเดินเรือที่ไร้จุดหมายครับ

เราต้องรู้ก่อนครับว่าเราจะทำเว็ปมาเพื่ออะไร ทำเว็ปแนวอะไรบ้างและจะมีอะไรในเว็ปและทำให้ใครครับ เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายครับ และต่อมานั้นการที่เราจะทำเว็ปออกมานั้นเราจำเป็นต้องทำการสร้างโครงร่างก่อน หรือในภาษาของนักเขียนโปรแกรมที่เรียกว่า การออกแบบอัลกอริทึม หรือการร่าง FlowChart นั้นเอง มีคำถามตามมาหลังจากที่บอกไปนั้นคือทำออกมาทำไม ทำไมไม่ทำก่อน หรือทำไม ลองๆ ทำไปก่อนหล่ะ นั้นใช่ครับ หลายๆ คนอาจจำคิดว่าการทำอย่างนี้อาจจะไม่จำเป็นมากมายนัก ไม่ต้องเรื่องมาก แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเว็ปของเรานั้นใหญ่โตมากขึ้น กว่าว่างแผนที่ดีในตอนแรกจะเห็นผลอย่างแน่นอน อย่างเว็ปของผมในครั้งแรกๆ นั้น ทำในแบบ html ทั้งหมด เวลาจะแก้ไขแต่ละทีนั้นก็ต้องมาเปิด html editor เพื่อแก้ไข ซึ่งมีข้อดีที่ว่าเรากำหนดรูปแบบเว็ปได้หลากหลายแต่ว่าพอเว็ปเริ่มมีจำนวนหน้ามากขึ้นปัญหาในการปรับปรุงดูแลรักษาก็ตามมา คือการแก้ไข ลิ้งส์เมนูต่างๆ จะเปลี่ยนทีก็ต้องทำทุกหน้าหรือจะมีการแก้ไขระบบอื่นๆก็ต้องมาตามแก้กันใหม่อีก นี่หล่ะครับปัญหาที่เราจำเป็นต้องทำก่อนการทำเว็ป การดีไซด์เป็นสิ่งดีแต่ว่าการวางแผนการทำงานย่อมสำคัญกว่า ผมจะยกตัวอย่าง ว่าการวางแผนแบบใดที่ดีก่อนดีกว่าครับ

หลักการแรกคือกำหนดลักษณะการใช้งานก่อนว่าเราจะกำหนดว่าผู้ใช้เป็นกลุ่มผู้ใช้แบบใด จำใช้ เทคโนโลยี อะไรในการเขียน การจัดการเว็ป กำหนดรูปแบบการติดต่อกับผู้ใช้ กำหนดลักษณะการแก้ไข การเข้าถึงข้อมูลของผู้ดูแลเว็ปเอง ด้วย เพื่อการแก้ไขที่รวดเร็วและมีการผิดพลาดน้อยใช้เวลาในการดูแลน้อย เอาเวลาไปสร้างเนื้อหาแทน ครับ ยกตัวอย่างเว็ป แห่งหนึ่ง ทำเว็ปแนว Portal ITลักษณะคือการปรับปรุงเนื้อหาที่ทันที มีการตอบสนองได้ตลอดเวลา มีการปรับปรุง เนื้อหาได้จากหน้าเว็ปโดยไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากเวลาปรับปรุงเนื้อนอกจาก Browser และใช้ระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เพราะว่าเนื้อหาแนวนี้นั้นมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา และเร็วลักษณะเว็ปนั้นต้องมีการทำเมนูแบบตอบโต้ได้อย่าง ต่อเนื่องและมีระบบสมาชิกไว้ในการทำสถิติและบริการอื่นๆ ในอนาคตได้

เมื่อเราได้รูปแบบโดยรวมแล้ว เราก็มาดูว่าเราจะทำโดยใช้อะไร ถ้าใช้ html ธรรมดา ท่าทางจำไม่ได้แน่เพราะว่าการทำระบบข้อมูลลงเว็ปโดยผ่าน browser นั้นทำไม่ได้แน่ เราจึงต้องใช้ CGI (Common Gateway Interface) มาช่วยในที่นี้ ก็ต้องมาดูอีกหล่ะครับว่าเราจะใช้อะไรในภาษาเหล่านีเพราะว่ามีมากเหลือเกินไม่ว่าจะเป็น Perl , PHP , ASP , JSP , ฯลฯ แต่ในที่นี้เราใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ จะมาใช้ Perl + DBText คงไม่ได้ เพราะว่าเปลื้องการโปรแซสระบบมากเกินไป อาจทำให้ระบบล่มได้ง่าย หรือจะ Perl + MySQL ก็คงยากเพราะว่าต้องมีฝีมือในการทำและไม่เป็นที่นิยม ซึ่งถ้าระบบในการทำเว็ปคุณอิงในด้านของ Windows NT Family ก็คงจะเป็น ASP + ODBC (พวก MsSQL ในแนวๆ ของ Microsoft หรือ Oracle ครับ ) หรือถ้าเป็น UNIX (Linux , FreeBSD , Solaris) ก็คงจำเป็น PHP + MySQL ที่เป็นเหมือนของที่ทำมาคู่กันเลยทีเดียว เมื่อเราได้ลักษณะการทำงานของภาษาที่เขียนเว็ปแล้วก็มาถึงการออกแบบหล่ะครับ (ในที่นี้ผมจะไม่พูด ถึงการเขียนโปรแกรมเหล่านี้นะครับ เพราะว่าคงเข้าใจกันได้ถ้าศึกษาด้านนี้โดยตรงจากเว็ปหรือหนังสือครับ )

ต่อมาเราจะพูดถึงการออกแบบหน้าเว็ปกันสักนิด

การออกแบบหน้าเว็ปนั้นเราต้องคำนึงถึงการใช้งานที่สะดวกในการค้นหาข้อมุลภายในเว็ปต่างๆ ซึ่งเราควรไล่การทำระบบค้นหาจากส่วนที่มีความสำคัญมากกว่าลงมาแต่ว่า ในการทำเว็ปนั้นไม่ ควรที่จะมีการกระพริบเน้นมากจนเกินไปครับ ไม่งั้นมันจะดูลายตาและสับสนในการให้ความสำคัญของเนื้อหาครับ การออกแบบเมนูการใช้งานนั้นควรคำนึงถึงการไล้สัดส่วนการใช้งานครับไม่งั้นจะดูเละและที่ดีคือการจัดอันดับความสำคัญครับ และ การออกแบบควรใช้สีที่ดูสบายตาง่ายๆ แต่สื่อความหมายได้ดีในเนื้อหาของเว็ปนั้นๆครับ การออกแบบโลโก้นั้นควรทำออกมาให้มีเอกลักษณ์เฉพาะของเว็ปครับ ไม่งั้นมันจะไปเหมือนๆหรือคล้ายๆ ของชาวบ้านเค้าครับ แต่ว่าการออกแบบควรคำนึง ถึงความเป็นไปได้ในการใช้งานและการออกแบบระบบ CGI ด้วยเพราะบางครั้งข้อจำกัดในความเร็วในการโหลดข้อมูลของผู้ใช้ที่ต้องคำนึงถึงพอสมควรไม่งั้นจะกลายเป็นว่าโชว์ความสวยงานอลังการมากกว่าเนื้อหาความรุ้ของเว็ป ที่เราต้องการนำเสนอนะครับ

แนวทางการทำงานของเว็ปการทำระบบทีมงานก็มีความสำคัญไม่น้อย การแบ่งหน้าที่ในการดูแลส่วนต่างๆ ทำให้เว็ปดูมีการตอบสนองมากขึ้น มีการดูแลระบบต่างๆ ได้อย่างดีไม่มีข้อผิดพลาดต่างๆ ให้เห้นมากนัก การดูแลนั้นรวมไปถึงการดูแลหน้าตาเว็ป ระบบโปรแกรมต่างๆ ในเว็ป การปรับปรุงการใช้งานจากการที่ผู้ใช้เสนอแนะมาเพื่อปรับปรุงพัฒนาเพื่อทำให้ผู้ใช่พอใจและไม่ดูเป็นการคัดตาของผุ้ใช้ต่างๆ การรับทราบการตอบรับขอเสนอแนะของผู้ใช้มีดีที่เราไม่ต้องมาคอยตรวจสอบเองแต่ให้ผู้ใช้ติติงมาก อาจจะใช้เวลามากหน่อยแต่ว่าตรงจุดเป้าหมายมากกว่าที่เราคิดมากนัก ซึ่งในลักษณะนี้จะใช้ได้ดีคือเว็ปแนวการค้าและแนวบริการครับ

ครั้งต่อไปเราจะมาดูแนวทางในการประชาสัมพันธ์เว็ปให้ได้ดี และรวมถึงเว็ปแนวไหนที่ควรทำและรูปแบบเว็ปแบบใดเหมาะแก่การทำระบบเว็ปธุรกิจ