เลือก mouse ดีทำงานได้คล่องขึ้น !!!

หายไปนาน ไม่ได้ไปไหนหรอก แต่ว่าเน็ตที่หอ ทำการปรับเปลี่ยนระบบใหม่ต่าง Wireless (ไร้สาย) เป็น Wire (สาย) แทน ไม่รู้ว่า ปรับทำไม -_-”

ประกอบกับมีงาน project ที่ต้องส่งอาจารย์อีก แถมสอบ Final Exam วิชาที่เรียนอีกต่างหาก เลยหายไปเลย

จริง ๆ อยาก เขียน blog อ่ะนะ idea เพียบ แต่พอจะเขียนจริง ๆ แล้วมันหายหมด T_T

วันนี้ก็เรื่องของเรื่องคือ รุ่นน้องมันมาถามว่า “พี่ ๆ Mouse พี่ตัวนึง ๆ ทำไมแพงจัง บ้ายี่ห้อ เหรอ เห็นใช้แต่ Microsoft ทั้งนั้นเลย”

ก็ตอบมันตรงนี้เลยแล้วกันว่า ไม่ได้บ้ายี่ห้อหรอก แต่ว่าด้วยเหตุที่มันทำงานได้ดี มาตั้งแต่รุ่นพี่มันที่ได้ซื้อมา ตั้งแต่รุ่น Microsoft IntelliMouse รุ่นแรกแล้ว (ตอนนี้น่าจะเป็นรุ่น Classic ไปแล้วมั้ง) และ Microsoft IntelliMouse Optical ต่อมาก็ Wheel Mouse Optical และ Wireless IntelliMouse Explorer

ทั้งหมดทั้งปวง ทำงานได้ดีมาก แต่ว่า Wireless IntelliMouse Explorer เจ้าตัวนี้หน่วง ๆ นิด ๆ ไม่ค่อยเหมาะกับเรา ตอนนี้เลยปล่อยไว้เฉย ๆ ก่อน เพราะว่ามันเหมือนไม่ค่อยเข้ากับตัวเราเท่าไหร่ ตอนนี้เลยใช้ Wheel Mouse Optical แทน และที่ไม่ใช้ IntelliMouse Optical เพราะว่าใช้กับเครืองที่บ้านดีกว่า มันแก่ แล้ว จะ 5 ปีแล้ว ให้น้องคนกลาง ทำงานแทน ส่วนน้องสุดท้อง ไม่ได้ดั่งใจในด้านการทำงานหน่วงตามแบบฉบับของ Wireless เลยทิ้งไว้เฉย ๆ ก่อน

แต่ด้านความแม่นยำในการทำงาน นั้นถือว่าดี มาก ใครที่บอกว่ามันไม่ต่างกับ Mouse ราคา 350 ที่เป็น Optical เหมือนกัน ลองซื้อ หรือไปทดสอบที่ร้านค้าดู (ถ้าเค้าให้ลองนะ) ว่ามันต่างตรงไหน

งั้นบอกก่อนดีกว่า อย่างแรกคือการตอบสนองที่ดีกว่ามาก ๆ อย่างผมใช้งานต้องการตอบสนองที่รวดเร็ว ไม่กระตูก ทันใจ และมีความละเอียดในการควบคุม ด้วยแล้ว Mouse ราคาถูก ๆ ไม่ได้กินหรอก อย่างที่ใช้อยู่มัน 800DPI เห็นจะได้นะ

อย่างต่อมา ก็เรื่องความทนทานของ ปุ่มกด ที่กระหน่ำกด มันก็ไม่พัง ไม่ค้าง สักทีนึง … ทั้ง 4 ตัวที่ใช้งานอยู่ ยังคงใช้งานได้ดีีอยู่ ตัวที่แก่ที่สุดก็จะ 8 ปีแล้วมันก็ยังคงคลิ้ก ได้เสียงที่ Classic ตามแบบฉบับของมันอยู่ ไม่เสื่อมคลาย

การเลื่อน Scroll ที่แม่นยำ และไม่เลื่อนไปมากกว่าที่เราต้องการมากด้วยดิ อันนี้ก็อีกปัจจัยนึงเลยหล่ะ

สายสัญญาต่าง ๆ พวกสายอ่อน ๆ นี่อย่าไปซื้อ เพราะว่ามันจะงอ และขาดง่ายมากเลยหล่ะ แนะนำพวกสายแข็งๆ หน่อย ซึ่งมันก็แพงอีกหล่ะ …… -_-”

รูปทรงของ Mouse นั้น ส่วนมาก ถ้าเป็นรุ่นที่มีราคาแพงจะมีความเข้ากันได้กับมือ หรือลักษณะทางร่างกายของมนุษย์ ที่ทำให้เราทำงานกับมันแล้วไม่เมื่อย หรือเกิดอาการของโรคทางข้อกระดูก หรือเส้นเอ็นต่าง ๆ

พวก Mouse แพง ๆ จะมี Software ที่แถมมาที่ทำงานได้ดีกว่า และ Driver ที่ตรงตามรุ่นของมันด้วย แถมปรับแต่งได้ละเอียดกว่าด้วยดิ อันนี้สำคัญมากสำหรับเรา เพราะว่าบางครั้งปุ่มบางอันเราไม่อยากใช้เป็นไปตามค่่า Default ของ OS เราก็ปรับแต่งได้ อันนี้ถือว่าเป็นจุดหนึ่งในเรื่องของราคา

เห็นถึงข้อแตกต่างของความสามารถ ,ความทดทาน และการสนับสนุนของตัว Mouse ในรุ่นแพงหรือยังหล่ะคัรบ

เรื่องของ Mouse และ Keyboard เนี่ย น่าจะลงทุนซื้อของดี ๆ กันหน่อยนะ เพราะว่ามันเป็นอุปกรณ์ที่เราต้องสัมผัสกับมันตลอดเวลา และส่งผลกับเราพอๆ กับ Monitor เลยทีเดียว น่าจะเลือกให้มันดี ๆ หน่อยนะ …….

[PANTIP.COM] – สำหรับผู้ที่คิดจะซื้อ Computer ใหม่หรือ Upgrade อ่านตรงนี้สักนิดนะครับ

เอามาจากบอร์ดเขียวอีกรอบ ไม่รู้ดิเดี่ยวนี้เจออะไรดีๆ เยอะหุๆๆ

สำหรับผู้ที่คิดจะซื้อ Computer ใหม่หรือ Upgrade อ่านตรงนี้สักนิดนะครับ

จริง ๆ แล้วหัวข้อนี้ผมเขียนมาครั้งนึงแล้วแต่ว่าเน้นในเรื่องของการเลือกประกัน แต่ว่าวันนี้จะขอพูดถึงการเลือกในส่วนของ Hardware สักหน่อยแล้วกัน

เริ่มแรกขอออกตัวก่อนว่าผมเองนั้นไม่ได้เก่งอะไร ไปกว่าเซียน ๆ ในห้องนี้เลยนะครับ และก็ต้องขอบคุณทุกคนที่ให้ความรู้ผมทุกครั้งเวลาเข้ามาในที่นี้นะครับ

การเลือกซื้อ Computer นั้นบางคนบางท่านอาจจะสงสัยว่า มีหลักการเลือกซื้ออย่างไร ผมขออธิบายง่ายๆ แบบชาวบ้าน ๆ ให้ฟังดังนี้แล้วกันนะครับ คือปัจจุบันนี้เนี่ย computer ที่เราใช้กันอยู่โดยหลัก ๆ ก็คือ CPU จาก 2 ค่าย ก็คือ Intel และ AMD ในด้านของยอดขายนั้นเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า Intel นั้นเป็นผู้นำทางด้านของ CPU เพราะว่าตัวเลขส่วนแบ่งทางการตลอดนั้นเยอะกว่า AMD อย่างเห็นได้ชัดนั่นอาจเป็นเพราะว่า Intel นั้นมีการใช้ต้นทุนทางด้านการตลาดค่อนข้างสูงกว่า AMD แต่ส่วนของคุณภาพนั้นผมไม่ขอพูดถึง เพราะว่าถ้ามัวมาเถียงในเรื่องประสิทธิภาพนั้น เดวสาวกของค่ายนั้น ๆ จะมาทะเลาะกันอีก แต่ทั้ง 2 ค่ายก็ได้แบ่ง CPU เป็น 2 ระดับก็คือ ระดับบน กับระดับล่าง เอาพูดง่ายๆ อย่างงี้แล้วกันนะครับ ของ Intel ก็จะมี Pentium 4 เป็น CPUระดับบน และ มี Celeron เป็น CPU ระดับล่างหรือพูดให้ดูดีหน่อยก็คือราคาประหยัด ส่วน AMD ในตอนนี้ก็คือ AMD 64 เป็นตลาดระดับบนและ Sempron เป็นตลาดระดับล่าง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า CPU ทั้ง 2 ค่ายนั้นมีให้ลูกค้าเลือกซื้อดังแต่ CPU ที่ราคาสูง ถึงราคาประหยัด ถ้าทำให้เห็นภาพก็คือ

Intel Pentium4 VS AMD 64
Intel Celeron VS AMD Sempron

ส่วนใครจะตัดสินใจใช้ตัวไหนก็แล้วแต่นะครับ คราวนี้มาดูในส่วนของตัวที่จะมารองรับ การทำงานของ CPU กัน ก็คือ Mainboard นั่นเอง เนื่องจากว่า ทั้ง 2 ค่ายนั้นเป็นคู่ต่อกรอย่างชนิดว่า แทบจะมองหน้ากันไม่ติดเลยก็ว่าได้ เพราะว่า ตัว mainboard นั่นก็ไม่สามารถที่จะใช้ด้วยกันได้แต่เติมสมัยที่การแข่งขันยังไม่สูงมากAMD และ Intel ใช้ mainboard ที่ใช้สถาปัตยกรรมบน mainboard เป็นตัวเดียวกัน ถ้าจำไม่ผิด สถาปัตกรรมสุดท้ายที่ AMD ใช้ร่วมกับ Intel น่าจะเป็น Socket 7 ในสมัยที่ AMD เป็น K6 III
และ Intel เป็น Pentium แต่หลังจากนั้นมาทั้ง 2 ค่ายก็แยกกันใช้สถาปัจยกรรมบน mainboard เป็นคนละตัวกัน เพราะฉะนั้นผู้ซื้อที่เป็นมือใหม่ หรือมือเก่า ต้องศึกษาตรงนี้ให้ดีนะครับ ไม่ใช่ว่า อยากใช้ CPU AMD64 แต่ดันไปซื้อ Mainboard ที่ทำมาใส่ Pentium 4 จะเสียเงินไปฟรี ๆ ส่วนการเลือกซื้อ mainboard นั้น ก็ควรที่จะอ่านหาความรู้ใน board นี้ละครับว่าส่วนใหญ่เค้าใช้ยี่ห้ออะไรกัน และความจำเป็นของเราอยู่ในขั้นไหน อย่างเช่น ถ้าอยากเอาไปเพิ่มความสามารถโดยการ Overclock ก็ต้องเลือก Mainboard ที่ทำมาให้ Overclock ได้หน่อย ไม่ใช่เลือก Mainboard ที่เค้าทำมาเพื่อให้เหมาะสมกับงานระดับธรรมดาเป็น mainboard ราคาประหยัดแล้วพอเอามา Overclock ไม่ได้ ก็มาบ่นมาว่า ว่า Mainboard นั้นไม่ดีมั่งไม่ได้มาตราฐานมั่ง เราซื้อมาให้เพียงพอต่อการใช้งานดีกว่าครับ ผมขอยกตัวอย่างนิดนึง อย่างเช่นถ้าเราใช้ CPU AMD Atlhon 2500+ ถ้าเราต้องการเอามา Overclock ก็อาจจะใช้ Abit AN7 Guru ซึ่งราคาประมาณ 3000 กว่า ๆ แต่ถ้าจะเอาไปใช้งานจริงๆ ไม่ได้จะเอาไป Overclock อะไร เราก็อาจจะใช้ Aslock K7VTA 4 Pro ซึ่งราคาประมาณ พันปลาย ๆ แค่นี้คุณก็ประหยัดไป พันกว่าบาทแล้วนะครับ ถ้าหลาย ๆ ชิ้นรวมกันอาจจะประหยัดไปได้ถึง 4-5000 บาท การประกันก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่คุณขาดไปไม่ได้นะ บางร้าน Ram ถูกกว่าร้านอื่น 100-200 บาท ซึ่งคุณเดินดูมานานแสนนานแล้วเห็นร้านนี้ถูกกว่า ก็เลยซื้อที่ร้านนี้ แต่ปรากฏว่ามารู้ทีหลังว่าเป็น Ram ปลอม อย่างงี้มันช้ำใจมั๊ยครับ เดินก็เมื่อย ถูกกว่าแค่ 100-200 แต่ว่าดันเป็น Ram ปลอมเพราะฉะนั้นก็ต้องศึกษาอีกละครับว่า ตัวไหนปลอมตัวไหนจริง หลักง่ายๆ แบบไม่ต้องคิด ก็คือพยายามซื้อ Ram ที่มีประกันกับบริษัทดัง ๆ รับรองว่า เป็นRam แท้แน่นอนครับ แพงกว่า 100-200 แต่ ทำให้คุณสบายใจ และเวลาเสีย ไม่มีปัญหาอีกด้วย ส่วนตัวอื่นๆ ก็ลองศึกษาดูแล้วกันนะครับว่า ควรจะซื้อให้เหมาะกับการใช้งานของตัวเองอย่างไร เช่นใช้เล่นเกมส์ยิงไข่ หรือว่า เล่น Net ดูหนังโดยแทบที่จะไม่ได้เล่นเกมส์ที่ใช้ความสามารถของการ์ดจอ เยอะๆ เลย ก็ซื้อ VGA ซักประมาณ พันกว่าบาทก็พอ แต่ถ้าจะใช้เล่นเกมส์ที่ใช้ความสามารถของ VGA เยอะ ๆ อันนี้ก็ต้องลงทุนกันอีกก้อนนึงละครับ

ฝากข้อคิดไว้อีกนิดนึง

เราไม่ควรตามกระแสให้มากไปเพราะว่าความต้องการและฐานะของแต่ละคนไม่เท่ากันครับ บางคนพอมีพอกิน เครื่องประมาณสัก 20000 ก็ทำให้มีความสุขได้แล้วครบตามความต้องการ แต่ถ้าเป็นพวกไม่รู้จักพอ อะไรเค้าว่าดี เค้าว่าเจ๋ง ก็ต้องไปไขว่คว้ามา โดยที่ตัวเองไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองนั้นใช้ Computer ไปแค่ 20-30 % ของความสามารถที่เครื่องให้ได้ คนพวกนี้มีแสนก็หมดแสนครับ แล้วอีกอย่างสำหรับมือใหม่ ตราบใดที่คุณยังไม่รู้ว่า Hardware ที่คุณใช้แต่ละตัวนั้นมีประกันของที่ใด การที่จะไปเดินเช็คทุกร้านว่าอันไหนถูกที่สุดแล้วซื้อมาให้คนรู้จักประกอบ เวลาคอมมีปัญหาทีรู้มั๊ยครับว่าอะไรจะตามคุณมาในกรณีที่ มันเสีย แล้วคนที่ประกอบหรือซื้อให้คุณไม่ว่างมาทำให้ เพราะฉะนั้น ศึกษาร้านที่ซื้อสักนิดนึงว่าร้านไหนดีพอจะให้ คำปรึกษาแก่คุณได้ ของเค้าอาจแพงกว่าชิ้นละ 100 หรือ 200 แต่ว่าเวลาคอมคุณมีปัญหาเค้าเต็มใจและพร้อมที่จะตอบปัญหาของคุณ ดีกว่า ร้านที่ของถูกกว่าแล้วเวลาคุณมีปัญหาแล้วบ่ายเบี่ยงไม่ให้ความช่วยเหลืออะไรคุณเลยแล้วเวลานั้นคุณจะมานั่งเสียใจทีหลังนะครับ

สุดท้ายครับ บอร์ดนี้เหมาะกับทุกคนทุกเพศและทุกวัยที่กำลังศึกษาในเรื่องของ computer ทุกคนที่มีความรู้เค้าพร้อมที่จะตอบคำถามของคุณทั้งนั้นแหละครับถ้าเค้ารู้ถ้าเค้าช่วยได้ สำหรับมือใหม่ที่ต้องการซื้อคอมพิวเตอร์ ก่อนซื้อเสียเวลามานั่งอ่านที่บอร์ดนี้สักวันละ 15 นาที ประมาณสัก 1 อาทิตย์ผมรับรองว่า คุณจะไม่โดนหลอกแน่ ๆ เวลาที่ไปซื้อของที่พันทิพย์ ฝากข้อคิดไว้แค่นี้นะครับ

http://www.pantip.com/tech/hardware/topic/HP1831341/HP1831341.html

[PANTIP.COM] – อะไรๆก็หันเข้าหามือถือกันหมด

อ่านเจอในเว็บบอร์ดเขียวเลยเอามาให้อ่านกัน http://www.pantip.com/tech/nonpc/topic/NM1811535/NM1811535.html

กล้องดิจิตอล ตอนนี้ก็เอามารวมกับมือถือ ถึงความละเอียดของภาพจะยังต่ำ แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ มือถือบางรุ่น ถึงขนาดถ่ายวิดีโอได้ด้วย

pocket PC เดี๋ยวนี้ก็มารวมกับมือถือ กลายเป็น smartphone เก็บได้หมด ทั้ง contact, note, calendar, to do list ดูหนังฟังเพลงได้ด้วย พวก PDA ก็เริ่มหดหายไปทีละน้อยๆ

MP3 player เดี๋ยวนี้มือถือก็เล่นเพลง MP3 กันได้ตั้งหลายรุ่นแล้ว ความจุก็แล้วแต่แผ่น RSD ผมเห็นในตลาดมีขายถึง 512 Mb แล้ว แข่งกับ พวกแฟลชได้สบายๆ อีกเดี๋ยวก็มีแผ่น 1 GB มาขาย

สรุปว่าอีกหน่อยก็คงทำทุกอย่างได้หมดบนมือถือเครื่องเดียว ราคาก็คงถูกกว่าไปซื้ออุปกรณ์แต่ละประเภทมาต่างหาก แต่จะมีใครนึกถึงข้อเสียกันบ้างไหมครับ

ข้อเสียข้อแรก ถึงมือถือจะทำได้ทุกอย่างในอนาคตอันใกล้ แต่ก็คงจะทำหน้าที่แต่ละอย่างได้ไม่ดีนัก อย่างกล้องถ่ายรูป ถึงจะเพิ่มความละเีอียดขึ้นได้เรื่อยๆ แต่ซูมก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ ส่วนมากก็จะได้แต่ซูมดิจิตอล ซึ่งไม่ใช่ซูมจริง จะเอาซูมจริงๆมาใส่ ขนาดกล้องก็ต้องใหญ่ขึ้น ก็คงจะพกไม่สะดวก แฟลชที่มากับกล้อง ส่วนมากก็ตัวเล็ก ระยะที่จะใช้แฟลชได้ดีอย่างมากก็ไม่เกิน 2-3 ฟุต ซึ่งว่ากันจริงๆก็ใช้ในที่มืดได้ไม่ค่อยดี จะเอาแฟลชดี มีประสิทธิภาพ ก็ต้องหาแบบตัวใหญ่หน่อย ก็เอามาใส่ในกล้องไม่ไหว สรุปว่ากล้องในมือถือมีประโยชน์แค่เป็น snapshot จะเอารูปดีๆ สวยๆ เหมือนกล้องจริงก็คงเป็นไปไม่ได้

Pocket PC ก็เหมือนกัน ถึง smart phone จะทำได้สารพัดยังไง จอก็ยังเล็กอยู่มาก รุ่นที่จอใหญ่ๆ ดูรูป ดูหนัง ได้ง่ายๆ อย่าง O2 หรือ O2 Mini ถ้าต้องพกตลอดเวลาเหมือนมือถือทั่วๆไป ก็จะรู้สึกว่าเทอะทะ ไม่คล่องตัว แล้วถ้าจะเอามาใช้งานจริงๆ อย่าง word excel ฯลฯ ก็จะเห็นว่าจอเล็กเกินกว่าที่จะทำงานได้ง่ายๆเหมือนอย่างในคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ smartphone ส่วนมาก ยังไม่ได้ใช้ stylus ในการใส่ข้อมูล ต้องมาคอยนั่งจิ้มแป้นกด ซึ่งถ้าใช้เป็นเวลานาน ก็จะรู้สึกรำคาญมากเหมือนกัน

ส่วนเครื่องเล่น MP3 นั้น แน่นอน ก็ต้องดูที่คุณภาพเสียงและปริมาณความจุ เรื่องของความจุนี่ ซักวันมือถือก็อาจจะมีความจุเยอะๆได้เหมือน iPod แต่คุณภาพเสียงจะเป็นยังไง คงต้องดูกันต่อไป

ข้อเสียข้อที่สอง ของการรวมอุปกรณ์ต่างๆไว้ในมือถือเพียงอย่างเดียว คือความปลอดภัยของข้อมูล ลองคิดดูว่า ถ้าคุณเอา address book, เพลง, รูป, ตารางนัดหมาย, ฯลฯ ใส่ไว้ในโทรศัพท์เครื่องเดียวหมด เกิดโทรศัพท์หายขึ้นมา จะทำยังไงกัน บางคนอาจจะบอกว่า ก็ back up ข้อมูลใส่คอมพ์ไว้แล้ว จะต้องกลัวอะไร แต่ในความเป็นจริงนะครับ คนส่วนมากไม่ได้ back up ข้อมูลกันตลอดเวลาอย่างที่ควรจะทำกันหรอก นึกได้เมื่อไหร่ก็ทำเสียทีหนึ่ง เกิดคุณเอาอะไรต่ออะไรใส่ในโทรศัพท์ แล้วลืม back up ซักอาทิตย์นึง แล้วบังเอิญโทรศัพท์หายขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้น และถึงคุณจะ back up ข้อมูลแล้ว แต่คนที่เอาโทรศัพท์คุณไป ก็จะได้ข้อมูลที่อยู่ในนั้นสารพัด ซึ่งก็มีผลต่อความปลอดภัยของคุณและครอบครัวได้อยู่ดี ในขณะที่ถ้าคุณแยกประเภทของข้อมูลและชนิดของอุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลนั้นออกจากกัน คุณจะไม่มีปัญหาปวดหัวแบบนี้ เพราะถ้า MP3 player คุณหาย คุณก็เสียแต่เพลง ถ้าโทรศัพท์คุณหาย คุณก็เสียแต่ address book ถ้า pocket pc คุณหาย คุณก็หายแต่ตารางนัดหมาย (หรืออะไรก็ตามที่อยู่ในนั้น) แต่อย่างน้อย คุณก็ยังมีเบอร์โทรที่คุณจะติดต่อใครต่อใครได้อยู่

ข้อเสียข้อสุดท้ายที่ผมจะพูดถึง (จริงๆมีอีกหลายข้อ) คือจุดอ่อนสำคัญที่สุดของโทรศัพท์ (และอุปกรณ์อิเลคโทรนิคแบบพกพาทั้งหลาย) นั่นก็คือ อายุของแบตเตอรี่ ทุกวันนี้ โทรศัพท์มือถือ ถ้า standby เฉยๆก็อาจจะอยู่ได้หลายวัน แต่ถ้าเริ่มคุย ส่วนมากก็จะอยู่ได้แค่ 5-6 ชั่วโมงเท่านั้น ลองคิดดูว่า ถ้าคุณเอาไปดูหนัง ฟังเพลงด้วย แบตโทรศัพท์ของคุณจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ Pocket PC ส่วนมาก ดูหนัง่ได้ 4-6 ชั่วโมง แต่นั่นคือ ไม่ได้เปิด standby ไว้ ถ้าต้อง standby เหมือนโทรศัพท์ ก็คงจะอยู่ไม่ได้นานอย่างนั้น เครื่องเล่น MP3 ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ตราบใดที่บริษัททั้งหลาย ยังคิดค้นแบตที่ใช้งานติดต่อกัน ทั้งดูหนัง ฟังเพลง คุยโทรศัพท์ แล้วยังอยู่ไ้ด้เป็นวันๆละก็ ผมว่าการเอาอุปกรณ์ทั้งหมดนี้มารวมกันก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอกครับ มีแต่จะรำคาญเปล่าๆ เพราะต้องคอยชาร์จแบตอยู่เรื่อยๆ อาจจะวันละสองสามครั้ง

ก็ฝากไปคิดดูครับ

My iPod Shuffle

วันนี้ได้ iPod Suhffle มาแล้ว หลังจากเก็บสะสมเงินมานาน ซื้อมาในความจุ 512MB ที่ซื้อมาแค่นี้เพราะว่ามี KingMax FlashDrive 256MB อยู่แล้ว ก็เก็บข้อมูลได้เพียงพออยู่ เลยเอามาใช้เพียงเท่านี้พอ จริงๆ 512MB สำหรับผมในการเก็บเพลงก็ถือว่าเยอะมาก เพราะว่าก่อนหน้านี้ใช้ Sony CD-WalkMan ที่เก่าแก่มานานเกือบๆ 2 ปีได้ ซึ่งเจ้าตัว Cd-WalkMan มันอ่าน CD-R/RW ได้เลยชินๆ กับการเอาเพลงเข้าออกจากเครื่องคอมฯ อยู่แล้ว เลยไม่ค่อยคิดมากเท่าไหร่

จากที่ได้อ่านคู่มือแล้วก็ค่อยข้างละเอียดดีมาก ทีเดียว ถึงจะเป็นภาษาอังกฤษ ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม หุๆๆ ทำการชาร์จ และทำการ Register เจ้า iPod ตัวนี้เรียบร้อย ก็ทำการตั้งค่า และใส่เพลงลงไป โดย Enable disk use ไว้สัก 33MB เผื่อต้องใส่ไฟล์อะไรฉุกเฉิน บ้างบางครั้ง แต่ก็มีพื้นที่เหลือพอในการใส่เพลงได้อีกประมาณ 98 – 100 เพลง แค่นี้ก็ฟังกันอ่วมแล้ว ก็กะๆ ว่าประมาณ 5 – 6 ชั่วโมง น่ะครับ

หลังจากทดสอบและ ฟังก็ถือว่าเสียงของลำโพงที่ยังไม่ได้ผ่านการ Burn-in ก็ใช้ได้ดีทีเดียวเสียงนี่ผมว่าหูฟังชั้นดีหลายๆ ยี่ห้อยังอายเลยครับ

ส่วนการใช้งานนั้น ถือว่าง่าย ผมแทบไม่ต้องอ่านจากคู่มือก็ใช้งานเป็นได้ไม่ยากครับ ส่วนการทิป และเทคนิค ในการใช้ก็ต้องลองอ่านๆ ดูก็พบว่ามีบางส่วนที่เป็นเสริมเพิ่มประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดีครับ

ส่วน Shuffle หรือการสุ่มเพลงออกมาเล่นนั้นผมถือว่าเป็น Idea ที่ดีครับ จริงๆ ผมชินกับการ Shuffle อยู่แล้วเลยแทบไม่ต้องปรับตัวมากนักครับ สบายๆ เลยหล่ะ

ส่วนในด้านตัวปุ่มปรับระดับเสียงนั้น จะว่าใช้งานยากก็ไม่ใช่ หรือว่าจะง่ายก็ไม่เชิงครับ ถือว่า ok แล้วกันในความคิดของผมครับ คือมันชิดกันปุ่ม Play/Puase และปุ่ม Next/Previous Track เลยกดพลาดไปหลายครั้ง แต่การรวมศูนย์การควบคุมเป็น Idea ที่ดีครับ แต่มันพลาดนี่ดิ ผมคงต้องปรับตัวอีกสักนิด -_-”

ในด้านอื่นๆ ในการใช้งานทั่วๆ ไปก็ในขั้นดี จริงๆ ไม่มีจอ หรือมีจอ ไม่ตางกันมากเท่าไหร่ครับ ในความคิดเห็นของผมเนี่ย ผมลองใช้เครื่องเล่น MP3 มาหลายเครื่อง เนี่ยไม่ค่อยได้เลือกเพลงเท่าไหร่ เพราะว่ามันเล็ก และมันคงไม่ได้เลือกได้สะดวกเท่าในเครื่องคอมฯ เท่าไหร่ และการทำตัวเครื่องให้เล็ก และถ้ายัดใส่ จอ LCD ลงไปมันทำให้ตัวเครื่องนั้นใหญ่ และหนักมากขึ้น แล้วยิ่งเป็น Flash Drive Memory แล้วนี่ มันแทบจะไม่จำเป็นเลย เพราะคนส่วนใหญ่ก็ใช้แต่ Next/Previous Track, Play/Pause และ ปุ่มปรับระดับเสียงซะมากกว่า (หรือว่าไม่จริง) นี่คือข้อสังเกตุครับผม

ไปดีกว่าไปสนุกต่อหล่ะครับ ………….

จะซื้อคอมฯ ทั้งทีตอบคำถามนี้ก่อนซื้อครับ

หลักส่วนใหญ่ที่ถามก็มี 3 ข้อ คือ

1. ซื้อไปใช้งาน หรือทำอะไร บ้าง ?
    นี่เป็นสิ่งที่ผมถามคนที่มาถาม spec คอมฯ ผมทุกคน ก่อนเสมอครับ แล้วส่วนใหญ่จะตอบกันไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้ศึกษามาก่อน หรือประมาณว่าอยากซื้อมาใช้เลย เหมือนกับไปซื้อข้าวแกง เห็นๆ ว่าอร่อยก็ซื้อมาเลย ไม่สนใจว่ามันจะสะอาด หรืออร่อยหรือเปล่า ดูแค่มันสีสัน กลินที่ ok ก็ซื้อเหมือนกับ เรื่องนี้ที่โฆษณามาก่อน ดูดี ลงหนังสือดัง แล้วก็ตัดสินใจเลย ไม่ได้ศึกษาว่ามีข้อดีข้อเสียในด้านใดบ้าง แล้วคำตอบส่วนใหญ่ก็คือ "ก็เอาที่มันใช้งานได้ดีๆ แล้วอยู่นานๆ ไม่ตกรุ่น" ซึ่งผมก็ปวดหัวและ ตอบกลับไปว่า ไอ้ไม่ตกรุ่นไม่มีครับ บอกไปเลยว่า ยกจากร้านก็ตกรุ่นและ ราคาตกไปเกือบครึ่งแล้ว ซึ่งก็เป็นไม่ว่าจะ Desktop, Laptop หรือ Server ผมอยากจะบอกแบบนี้ว่า งานแต่ละอย่างนั้น spec ในแต่ละแบบนั้นไม่ได้ตอบสนองงาน หรือสิ่งที่ทำได้ทุกๆ อย่างเสมอไปครับ ผมว่าควรดูงานที่คุณเอาไปใช้งานก่อนเสมอครับ แต่พวกดูหนัง/ฟังเพลงนี่ ในปัจจุบันมันทำได้อยู่แล้วครับไม่ต้องมาถามครับ spec ICT เครื่องละหมื่นก็ดูหนัง/ฟังเพลง ได้ครับ

2. ซื้อเผื่ออนาคตมากไหม ?
    นี่เป็นสิ่งที่ผมจะถามและ บอกเพื่อนๆ พี่ๆ หรือคนที่มาถามผมตลอด ซื้อเผื่อแล้วไม่ได้ใช้เสียดายเงินครับ บางคนแย้งว่าก็อาจจะได้ใช้ นี่ผมแนะนำไปส่วนใหญ่ไอ้เผื่อๆ ได้ใช้กัน 10 % ของคนที่มาถามทั้งนั้น ส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้กันหรอก เสียดายเงินครับ แล้วเรื่องจะ upgrade ไม่ต้องคิดครับ เดี่ยวนี้เปลี่ยนรุ่น CPU ทีเปลี่ยน m/b ทีครับ เลิกหวังจะ upgrade ได้สูงๆ ได้เลย หรือบางครั้ง upgrade กับซื้อใหม่ยกชุดราคาๆ พอๆ กันครับ ในปัจจุบันอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไอทีนั้นส่วนใหญ่อยู่ที่ 3 ปีเสียส่วนมากครับ ใช้เต็มที่ก็ 5 – 6 ปีครับ (ถ้าทนใช้ได้นะ)

3. spec ที่ใส่ลงไปในการซื้อ
    ผมอยากให้ระบุชัดๆ ก่อนว่าไปใช้ทำงานอะไรในข้อที่ 1 ครับ แล้วจะเผื่ออะไรบางในบางส่วน ดังข้อที่ 2 ครับ เช่นพวก RAM หรือ Hard Drive ก็พอครับ ส่วนพวก VGA Card หรือ CPU อะไรพวกนี้ก็ตามกำลังที่จะซื้อดีกว่าครับ บางคนซื้อมาพิมพ์งาน ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งไม่ต้องใช้ความสามารถมากก็เอาแค่ Intel Celeron หรือ AMD Sempron ก็พอครับ ผมว่าเร็วพอแล้ว บางครั้งขนาดเล่นเกมส์ก็ยังพอเลย แต่ส่วนใหญ่ยัด Intel Pentium 4 หรือ  AMD Athlon XP ให้แพงเข้าไปเหอะ แต่ไม่ได้ใช้ความสามารถของมันมากเท่าไหร่นัก เสียดายเงินครับ แถมเสียดุลการค้าเข้าไปอีก นี่ยกตัวอย่างแค่ CPU ครับ ส่วนอื่นก็คงตัดสินใจหาข้อมูลดูนะครับ (ส่วนถ้ามีเงินซื้อก็ตามใจครับไม่ว่ากัน)

    ทิ้งท้ายไว้ครับ เรื่องที่ซื้อกันมาแต่ง หรือทำให้เครื่องแรงด้วยการ OverClock ผมไม่ได้ต่อต้าน หรือสนับสนุน นะครับ แต่นี่เป็นสิ่งที่อยากให้พินิจพิเคราะห์ว่า คนบางคน หรือบางกลุ่มนั้นมาแต่งครับ หวังแรง หวังแข่งประชันกัน เหมือนคนซื้อรถครับ แล้วเอามาแต่งความแรงแข่งกัน เดี่ยวนี้พวกอุปกรณ์ไอที ก็เป็นแบบนั้นแทบไม่ต่างกันแล้วครับ ซื้อหวังแข่งความไฮเทค แล้วมาทดสอบความแรง ความเร็วจากโปรแกรม Benchmark กันครับ ผมเสียดายประสิทธิภาพที่ซื้อมาแต่เอาทำคุณประโยชน์เพียงน้อยนิดครับ แต่บางคนแต่งให้สวยงามแล้ว ยังเอามาทำงาน ทำมาหากินด้วยนี่ น่ายกย่องครับ แต่ถ้าซื้อมาประชัดขันต่อกันเพียงเพื่อความซะใจอย่างเดียวนี่ผมก็ไม่สนับสนุนครับ อยากให้ซื้อ spec ที่คุณคิดว่าเหมาะสม และทำงานได้กับคุณในราคาที่เหมาะสมดีกว่าครับ เงินทองยิ่งหายากๆ อยู่ครับผม

ซื้อให้เหมาะสมกับตัวเอง และงานที่ทำครับ มองที่ประสิทธิภาพในการทำงานมากกว่า ภาพลักษณ์ของตัวเองครับ ค่าของเครื่องมือจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับคนใช้ครับว่าจะใช้มันสร้างผลงานได้ดีเพียงใดครับ เหมือนกับจอมยุทธมีกระบี่ดี แต่เพลงกระบี่ และฝีมือปลายแถว ก็ไม่ต่างจากคนมีอุปกรณ์ไอที ดีๆ รุ่นใหม่ๆ แต่ใช้ไม่เป็นครับ

แต่ผมก็คงวิภาควิจารณ์มากไม่ได้ครับ เพราะบางคนซื้อเพราะความสุขทางใจ จริงแมะ ;-)

ด้านล่างนี่ผมเจอในเว็บบอร์ดดังแห่งหนึ่งครับ กล่าวไว้ได้น่าสนใจดีมากครับว่า

"เทคโนโลยีก็เหมือนศาสนาถ้าใครไม่เชื่อก็จะถูกหาว่านอกรีต intel กับ AMD ก็เหมือน 2 นิกายใหญ่ที่ ผู้นับถือแต่ละสำนักก็ออกมาเชียร์ว่าอาจารย์/สำนักตนดีกว่า (ค่ายอื่นก็เหมือนนับถือผีมั้ง^^) การซื้อ Computer ทุกวันนี้จึงใกล้เคียงกับการซื้อวัตถุมงคลเข้าไปทุกที CPU ต้องทนร้อน ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ อีกหน่อยคงต้องไปหาเหล็กไหลมาทำ RAM ต้องดูรุ่นดูค่าย เช่นเดียวกันต้องทนร้อน ดูใครเป็นคนนำบูชาบริษัทอะไรทำ เนื้ออะไร รหัสอะไร เดี๋ยวนี้ต้องบูชาพร้อมกันเป็นคู่ เดี๋ยวจะไม่ขลังหากบูชาไม่พร้อมกันจะทำให้พลานุภาพลดลงได้ การ์ดจอต้องเร็ว ดูว่าเปิดท่อได้เท่าไหร่ เหมือนกับจะนำไปแสดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ ยิงฟันไม่เข้า การที่จะนำวัตถุมงคลทั้งหลายนั้นมารวมกันเป็นชุดต้องระวังว่าจะขัดกันหรือไม่เพราะเดี๋ยวจะเป็นขึด จะนำมารวมกันเฉยๆนั้นไม่ได้ต้อง อาศัยหลวงพี่ enermax ในการเสริมความขลัง อีกหน่อยคอมพิวเตอร์ต้องเอาไปเลี่ยมทอง เพราะราคาพอๆกับเคส การที่จะนำไปบูชาควรวางไว้ในที่ที่เป็นมงคล หันหน้าไปทางทิศที่เหมาะสมเข้ากับราศีเกิดของผู้บูชา เพื่อให้รับลมได้ดี เดี๋ยวจะไม่เข้าหลัก Air flow อาจเกิดอาการร้อนในได้ คงไม่แปลกอะไรถ้าจะมีคนบูชาคอมเครื่องละเป็นแสน และ ไม่แปลกที่จะมี Spec เทพเบญจภาคี เช่น A_D 64 x000+ ,Cosair,Raptor,ASUS,6800 Ultra

ดังนั้นศาสนิกชนแต่ละท่านจึงควรพึงที่จะรับฟังอย่างมีวิจารณญาณ"