iTunes Store Thailand ซื้อเพลงได้แล้ว!!!

ไม่มีอะไรมาก ได้ข่าวว่า iTunes Store Thailand ซื้อเพลงได้แล้ว เลยกดๆ เข้าไปดู แล้วก็เห็นว่ามันซื้อได้เลยพุ่งตัวเข้าไป T-Pop สรุปมีอยู่ 3 Single!!! ><”

แล้วก็เห็นว่ามี K-Pop แล้วก็เห็น Girls’ Generation – TTS: Twinkle และ f(x): Electric Shock – EP เลยลองกดซื้อดูในราคาที่พอสมควร ซึ่งเป็นการทดสอบที่ลงทุนพอสมควร สรุปซื้อได้ ฮา…..

2012-06-27_012037

กำลังโหลดเข้า Playlist อย่างเมามัน!!!

2012-06-27_014643

สำหรับคุณภาพไฟล์ก็ตามภาพครับ Winking smile

2012-06-27_014918

สำหรับไฟล์ภาพยนต์ยังไม่มีโอกาสโหลด เดี่ยวลองหาลองสักเรื่องดูมีหลายเรื่องน่าสนใจมากๆ

เมื่อ Web/Windows Developer จะกระแดะไปทำ iOS App ชีวิตมันก็ไม่ง่าย

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาไปงาน Bangkok Adobe Camp ได้พบทางอีกทางที่น่าจะโอเคสำหรับคนใช้ Windows แต่อยากทำ App บน iOS แน่นอนว่ามันต้องทำด้วย HTML5 + jQuery Mobile สิ่งที่ต้องการไม่มีอะไรมากมาย ให้มันทำงานได้บนนั้นและ call พวก native api ทั่วๆ ไปได้ เช่นพวกกล้องถ่ายรูป ฯลฯ พวก sync data ต่างๆ

ซึ่งผมก็รู้จักกับ Build.PhoneGap.com มาได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ไม่ทราบว่ามัน Compile in the Cloud ได้ เพราะจำได้ตอนที่ได้ลอง PhoneGap ตอนแรกผิดหวังมารอบแล้ว เพราะว่ามันไม่สามารถ build บน Windows ให้เป็น ipa ได้ เพราะขาด SDK ของ iOS นั้นเอง

แต่เมื่อวันเสาร์พอทราบ ผมก็นั่งๆ ลองๆ หาข้อมูลต่อไป ซึ่งสุดท้ายแล้วการจะ Build ตัว iOS App บน Build.PhoneGap.com ต้องใช้ Signature Certificates ของ Apple ด้วย สุดท้ายวันอาทิตย์ตอนดึกๆ ก็เลยสมัคร Apple iOS Developer ไปซะเลย หมดไป $99 ซะอย่างงั้น (นี่มันลองของจริง เสียเงินแพงมาก!!!)

พอสมัครเสร็จรอ confirm อีเมล ตอนเช้ามาก็ได้ลองของ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ขั้นตอนการสร้าง Certificates บางตัว ต้องใช้ Keychain Access บนเครื่อง Mac …. T_T

ผมก็เลยไปยืมเครื่องพี่ที่ทำงานเค้าทำให้แทน ขั้นตอนมันก็มีประมาณนี้

  • ไป generate ตัว Certificate Signing Request จาก Keychain Access บนเครื่อง Mac ก่อน เสร็จแล้วไป submit ในเว็บ Apple ที่ iOS Provisioning Portal เมนู Certificates
  • รอสักพักจะได้ developer_identity.cer ออกมา แล้วให้ import cert ตอนนี้เข้าเข้า Keychain Access แล้ว Export เป็น Certificates .P12
  • เสร็จแล้วกลับไปที่ เว็บ Apple ที่ iOS Provisioning Portal ก่อนหน้านี้
  • สร้าง Profile ของ Devices
  • สร้าง App ID จาก App IDs
  • สุดท้ายสร้าง Provisioning Profiles เพื่อให้ได้ mobileprovision ออกมา
  • แล้วเอาทั้ง Certificates .P12 และ mobileprovision จากเว็บ Apple ที่ iOS Provisioning Portal มา submit ที่ Build.Phonegap.com

พอได้ Certificates .P12 และ mobileprovision แล้วอะไรก็ไม่ยากแล้วครับ ^^/

เดี่ยวขอเวลาไปลองเล่นสักแป็บ ^^

ไวอาลัยกับการจากไปของ Steve Jobs…

Apple Special Event October 2011 : "Let's talk iPhone"

From Apple Keynotes : Apple Special Event October 2011 : "Let’s talk iPhone"

เมื่อวานดูใน Keynotes ก็คิดแค่ว่า เออ คงเป็นที่นั่งของคนที่พูดบน Keynote มากกว่า แต่วันนี้มานั่งคิดๆ ดู อาจจะจงใจเว้นที่ไว้เพื่อ Steve Jobs ก็ได้ ….

ไวอาลัยกับการจากไปของ Steve Jobs … สิ่งที่คุณทำ ทำให้โลกไอทีนี้ง่ายขึ้น…

 

2011-10-06_155056

ลองเล่นๆ แงะ Backup ของ iOS 4 เพื่อดึงการเก็บข้อมูลพิกัดของผู้ใช้งาน

จากข่าว iOS 4 เก็บข้อมูลพิกัดทุกคนไว้โดยตั้งใจ ก็เลยรู้สึกคันไม้คันมือลองของ เนื้อหาตอนนี้เขียนขึ้นเพื่อเตือนและให้ระมัดระวังตัว เพราะฉะนั้นหวังว่าจะมีประโยชน์กับคนที่อ่าน แน่นอน อุปกรณ์และตัวอย่างทั้งหมด ไม่ได้ jailbreak หรือ hack/crack แต่อย่างใด เพราะส่วนตัวแล้วนั้นผมใช้ iPod Touch 4 อยู่แล้ว และไม่ได้ jailbreak ใดๆ Apps ทุกตัวซื้อทั้งหมด และใช้งานตาม EULA ของ Apple ซึ่งตัว iOS ที่ใช้ก็ือ 4.3.2 ตัวล่าสุด! แน่นอนว่ามันมีข่าว ผมก็ต้องจัดสักหน่อย ดูว่าเป็นอย่างที่เค้าว่ากันว่าไหม

จากแหล่งข้อมูลอ้างอิง ผมใช้ข้อมูลตัวอย่างจากการ Backup เป็นหลักแล้วกัน ถ้าจะให้เข้าไปเอาจากในเครื่องเลย ดูจะเสียเวลาและดูยุ่งยาก ซึ่งแน่นอนว่าเป็นข้อมูลที่เข้าถึงง่ายที่สุดและไม่ได้อยู่ติดตัวผู้ใช้ตลอด ทำให้โดนเอาไปใช้งานได้ทันที!!!! รหัสผ่านไม่ต้องกรอก แต่สามารถเข้าถึงเครื่องที่ iPhone/iPod Touch รุ่นนั้นๆ เคย Sync ไว้กับเครื่องของไว้ ก็จะสามารถนำข้อมูลส่วนนี้และนำไปใช้งานได้ทันที

เพราะฉะนั้นถ้าคิดว่าเอาไปให้ร้านมือถือ upgrade ให้ก็จงระวังให้หนักสำหรับเรื่องตรงนี้ครับ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงทั้งหลาย เพราะมันลากไส้มาตั้งแต่คุณ activate เครื่องในการซื้อครั้งแรกเลย เพราะงั้น ถ้าเราเอาข้อมูลพวกนี้มาทำสถิติก็จะพอบอกได้ว่าบ้านและสถานที่ที่ไปบ่อยๆ นั้นอยู่ที่ไหนบ้าง

เรามาเริ่มกันเลย การเข้าถึงแหล่งข้อมูล Backup นั้นผมอ้างอิง path ของระบบผ่าน Microsoft Windows 7

C:\Users\[Windows's User Name]\AppData\Roaming\Apple Computer\MobileSync\Backup\xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx-yyyymmdd-hhmmss

[Windows’s User Name]
ชื่อ User Name ของ Windows ที่ใช้งานอยู่

xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
คือรหัส 40 ตัวอักษรที่ hash ไว้

yyyymmdd-hhmmss
วันและเวลาที่ backup

ใน directory ปลายทาง หาไฟล์ที่ชื่อ

4096c9ec676f2847dc283405900e284a7c815836
เป็นไฟล์ฐานข้อมูลของ SQLite และ “ไม่ได้เข้ารหัส”

ใช้ SQLite Manager ที่เป็น Extension ของ Mozilla Firefox เปิดเอาก็ได้แบบนี้!

Table ในฐานข้อมูลที่ต้องสนใจคือ CellLocation และ WifiLocation ครับ

จะได้ข้อมูลเวลา สถานที่ที่เป็น lat/long ชัดเจนมาก โชคดีที่ผมใช้เป็น Wifi แต่ถ้าเป็นมือถืออย่าง iPhone ก็จะอยู่ที่ CellLocation โครงสร้างก็ไม่แตกต่างกันครับ เอาข้อมูลไป lat/long ไปค้นหาใน Google Maps ได้ทันที จะเขียนโปรแกรม ฯลฯ ก็น่าจะยากสำหรับคนที่ต้องการติดตามตัวครับ!!!

เนื้อหาตอนนี้เป็นการตีแผ่และหวังว่าในอนาคต Apple จะปรับปรุงการเก็บข้อมูลส่วนนี้ให้มีความปลอดภัยมากขึ้น และแจ้งผู้ใช้งานก่อนไม่ใช่อยากจะเก็บก็เก็บโดยไม่ได้บอกผู้ใช้ก่อนแบบนี้

ปล. เนื้อหาบทความนี้อาจจะอายุไม่ยืน ถ้ามีการแจ้งให้ลบบทความจากหน่วยราชการคงต้องลบนะครับ ;P

อ้างอิงจาก http://petewarden.github.com/iPhoneTracker/

หมายเหตุ : วิธีนี้จะใช้ได้ผลใน iOS รุ่นที่ต่ำกว่า iOS 4.3.3 ลงมา

Ratina Display กับ iPad 2 ที่ยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่จำเป็น)

จริงๆ กะเขียนเกี่ยวกับ iPad 2 เรื่องจอของตัวมันสักหน่อยว่าในความคิดผมจำเป็นแค่ไหนที่จะเป็น Ratina Display แต่คิดๆ แล้ว ออกแนวบ่นๆ มากไปดูจะไม่ได้ (ถ้าใครตาม twitter ผมจะทราบ)

ประเด็นคือในตอนนี้ผมคิดว่าผมจะยืนพื้น iPad 2 เป็นหลักซะ (เอาไปอ้างอิงถึง Tablet อื่นๆ หรือ Notebook ด้วยก็ได้มั้ง)

อย่างแรกก่อน Ratina Display เป็นคำเรียกของ Apple ที่เรียกจอภาพความละเอียดสูงที่ใช้กับ iPhone 4 เป็นครั้งแรก และใช้ใน iPod Touch 4 ในคราวต่อมา ซึ่งมีความละเอียดต่อนิ้วในระดับที่สายตาคนซึ่งคนเราสามารถแยกแยะพื้นที่ 1 ตารางนิ้วได้ประมาณ 300 จุด (dot per inch หรือ dpi) ซึ่งจอภาพดังกล่าวที่ Apple เรียกนั้นสามารถทำได้ถึง 326dpi ที่ขนาดจอ 3.5″ ทำให้ได้ Resolution ของจอภาพดังกล่าวนั้นแสดงผลถึง 960×640 pixel ซึ่งสูงมากสำหรับจอภาพระดับ 3.5″

แต่ประเด็นคือในการเปิดตัว iPad 2 ที่ผ่านมานั้น มีการคาดการณ์ว่า ตัว iPad 2 จะใช้ Ratina Display ซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่ได้ใช้ (หลายคนผิดหวัง) แต่ผมมองว่า ถ้า iPad 2 จะใช้ Ratina Display จะต้องใช้ resolution เท่าไหร่?

เพราะขนาด iPhone 4 ยังใช้ที่ 960×640 pixel ที่ 3.5″ แล้วจอ 9.7″ หล่ะ คิดว่า CPU/GPU ต้องใช้ขนาดไหนถึงจะสามารถประมวลผลภาพออกมาแสดงผลได้ในระดับสูงขึ้นเกือบ 3 เท่า!!

หลายคนอาจจะบอกว่า CPU/GPU แรงขึ้นมาก น่าจะไหวนะ แต่ลองเทียบง่ายๆ แค่จอภาพ 7″ แล้วให้เป็น Ratina Display ซึ่งผมยกตัวอย่างว่าให้ยัดใส่ใน Samsung Galaxy Tab ก็จะได้ Resolution ถึง 1920×1280 pixel ถึงจะได้ความละเอียดระดับ Ratina Display ที่ 326 dpi เท่าๆ กับ iPhone 4 จากตัวอย่างที่บอกมา จะเห็นว่านี่มันมากกว่าจอ Full HD 23″ อีกนะครับ และนี่ไม่ต้องมองไปถึงจอ 9.7″ ของ iPad 2 เลยด้วยซ้ำ ถ้าเทียบว่า CPU ของ iPad 2 เร็วขึ้น 2 เท่านะ เอาง่ายๆ คิดเร็วๆ ไม่ต้องเยอะ แต่แน่นอนเอาเข้าจริงมันเยอะกว่านั้นมากๆ ซึ่งถ้า 9.7″ นี่ผมคิดว่าระดับ Resolution ของภาพน่าจะเกือบๆ ได้จอแสดงผล Super Full HD ไปแล้วมั้ง (ผมย้ำว่าคิดเร็วๆ)

คือแค่ CPU A5 ผมยังคิดว่าการแสดงผล Full HD ที่ระดับ 1080p นั้นยังทำได้ดีในระดับที่ทำงานได้แต่ถ้าทำ multi-tasking มากๆ อาจจะมีปัญหาได้ การใช้ Ratina Display มาทำให้กินแรง CPU/GPU เพิ่มขึ้น ผมเกรงว่าแค่สร้างภาพให้แสดงและทำงานทั่วไปก็เต็มที่ของมันแล้วมั้งครับ ถ้าเอาการแสดงผลของ Super Full HD มาใส่ ผมว่าลำพังแค่ CPU/GPU ของอุปกรณ์ขนาดเล็กในตอนนี้คงยังไม่ไหว (ในอนาคตไม่แน่) เพราะแค่ CPU High-End ยังแสดงผล Super Full HD ยังเต็มกลืนเลยในตอนนี้

ที่น่าคิดมากๆ ต่อมาคือ มีจอความละเอียดสูงๆ แต่เนื้อหาและสื่อต่างๆ (Content) ของ Apple มีตัวไหนบ้างที่แสดงผลได้ในระดับ 1280p (หรือสูงกว่า) ในตอนนี้ เพราะตอนนี้ใน Apple Store ก็มีไฟล์หนังระดับ Full HD ระดับ 1080p เท่านั้นเอง ถ้าเอา Full HD มาแสดงบน Ratina Display ขนาด 7″ ยังแตกและไม่เนียน อย่าหวัง 9.7″ ใน iPad 2 เลยครับ!!!

ประเด็นสุดท้าย ซึ่งผมมองว่าเป็นความพอดี ที่ต้องเข้าใจ คือบางคนไม่ได้คิดถึงระยะทางการมองเห็น (Viewing Distance, ยังไงลองไปหาอ่านเพิ่มนะครับ ไม่อธิบายเพิ่มเดี่ยวยาว) ของสิ่งที่ตัวเองใช้งานเลยว่าความเหมาะสมอยู่ที่ตรงไหน การเพิ่มขึ้นของ dpi เท่ากับการประมวลผลมหาศาลอย่างที่บอกไปแล้วนั้น ความเหมาะสมในการใช้งานของ iPhone 4 และ iPad นั้นแตกต่างกัน ระยะการมองเห็นของดวงตาถึงจอภาพไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นการใส่ Ratina Display ลงบน iPad 2 จึงเป็นการสิ้นเปลืองและเพิ่มต้นทุนของจอภาพโดยใช่เหตุ ลองคิดๆ ว่าจอภาพของ iPhone 4 กับจอของ iPad ที่ใช้ๆ กัน จอแบบไหนแพงกว่ากัน ในมุมผมแล้วนั้นจอ iPhone 4 มีราคาแพงกว่าแน่นอน เพราะฉะนั้นยิ่งทำจอ Ratina Display ใหญ่มากเท่าไหร่ยิ่งเป็นการทำให้ iPad มีราคาสูงขึ้นมากเท่านั้น และด้วยสงครามราคาในตอนนี้ด้วยแล้ว Apple คงต้องการทำให้ราคาถูกที่สุดเพื่อชิงพื้นที่ส่วนแบ่งให้มากๆ เป็นหลักก่อน