ทดสอบ WD My Book/Passport บน USB 3.0 เทียบกับ eSATA 3Gbps

เอาผลการทดสอบของปะทะกันของคู่ความแรงในอดีตและความแรงในปัจจุบันของ External HDD ที่คนทั่วไปมักซื้อใช้กัน มาลองทดสอบกันเล็กๆ

อดีตของแรงพกความสามารถในการรองรับ port ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่ยังคงแรงอยู่อย่าง WD My Book Home Edition 1TB ที่เชื่อมต่อได้ 3 แบบคือ USB 2.0 (480Mbps), Firewire 400 (400Mbps) และ eSATA (1.5/3Gpbs) ท้าสู้กับมวยสดใหม่อย่าง WD My Passport Essential 500GB และ WD My Book Essential 2TB ที่มี port ความเร็วสูงอย่าง USB 3.0 (5Gbps)

Bang Na-20120212-00555

ทดสอบ USB 3.0 ผ่าน Express Card/34 USB 3.0 แบบ 2 port ใช้ USB 3.0 Controller ของ NEC/Renesas รุ่น uPD720202

Bang Na-20120212-00554

ผลการทดสอบนี้อาจจะไม่ถึงที่สุดหรือบทสรุป เป็นการนำค่าผลการทดสอบที่ดีที่สุด 3 ครั้งของ HDD External ทั้ง 3 ตัว

ลองดูกันได้เลย

WD My Book Home Edition 1TB via eSATA

2012-02-21_204608

WD My Passport Essential 500GB via USB 3.0

2012-02-21_204129

WD My Book Essential 2TB via USB 3.0

2012-02-21_203736

มาทดสอบปิดท้ายกันสักนิดกับการ copy ไฟล์แข่งกัน

ไฟล์คือ SNSD 120218 KBS2 MUSIC BANK IN PARIS SNSD All Cut Moonlight.ts

ขนาดประมาณ 3.16GB

WD My Book Home Edition 1TB via eSATA

ผลการทดสอบ

  • Copy File 46MB/s
  • Test File 98MB/s

2012-02-21_211740

WD My Passport Essential 500GB via USB 3.0

ผลการทดสอบ

  • Copy File 44MB/s
  • Test File 67MB/s

2012-02-21_210948

WD My Book Essential 2TB via USB 3.0

ผลการทดสอบ

  • Copy File 45MB/s
  • Test File 85MB/s

2012-02-21_211207

จากผลการทดสอบทั้ง 3 ผลจะเห็นว่า eSATA นั้นทำงานได้เร็วพอๆ กับ Internal SATA ปรกติอยู่แล้ว แต่ผลของการทำงาน USB 3.0 ก็ดีไม่แพ้กันมากมายนัก ถ้าในด้านการทำงานถือว่าใกล้เคียงกันอย่างมาก เพราะฉะนั้นการนำ USB 3.0 มาใช้ทำงานบน External แทน SATA 3Gbps จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป หลังๆ ผมทำงานไฟล์รูปภาพใหญ่ๆ แบบ TIFF ขนาด 50-100MB บน USB 3.0 อยู่พอสมควร ยังไม่เคยมีปัญหา Interface หลุดตอนทำงานแต่อย่างใด ซึ่งตรงนี้อาจจะต้องดูที่ตัว Chip USB 3.0 Controller ควบคู่กันไปด้วย เพราะในผลการทดสอบต่างประเทศ Chip USB 3.0 Controller บางตัว โดยเฉพาะรุ่นเก่าๆ หรืออกมารุ่นแรกๆ จะมีความไม่นิ่งอยู่บ้าง แต่แก้ไขได้ด้วยการ update ตัว Driver ก็หายครับ (เหนื่อยหน่อยตอนแรก แต่พอนิ่งแล้วสบายเลย) เพราะฉะนั้นถ้าสรุปง่ายๆ ก็คือ USB 3.0 ในตอนนี้ถือว่าทำงานได้ให้ความเร็วเต็มเพดานของความเร็วของ HDD ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

Review – OCZ Nocti Series mSATA SSD 60GB

เรามาทำความรู้จักกับ mSATA กันก่อนดีกว่า โดยเจ้า mSATA หรือในชื่อ Mini-Serial ATA ในปัจจุบัน (ณ.เดือน ก.พ. 2012) ยังเป็นการใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อของสล็อต mini PCIe connector (Mini PCI Express) บนตัว M/B ของตัว Notebook ที่ปรกติจะใส่ WiFi Card อยู่แล้ว ซึ่งใน Notebook มักจะมี 1 สล็อตเป็นปรกติเพื่อใส่ WiFi Card และในบางรุ่นจะมี 2 สล็อตเผื่อใส่ Card มาตรฐาน mini PCIe ซึ่งมักจะใส่พวก WWAN ที่เป็นการ์ดที่เพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อกับเครือข่าย 2G/3G หรือแม้แต่ WiMax (มีไว้เผื่ออนาคต) ซึ่งการทำแบบนี้ต้องมีมาตรฐานต่างหากจาก PCIe ก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้น Mini PCIe รุ่นเก่าจะไม่สามารถใช้งานได้

mSATA นั้นเพิ่งเริ่มต้นมีและประกาศเป็นทางการประมาณเดือนกันยายน 2009 โดยได้มีการเพิ่มเติมมาตรฐานใหม่ให้ใช้การสื่อสารข้อมูลแบบ Serial ATA ลงบนรูปแบบและสล็อตขนาดเล็กซึ่งผู้ผลิตเห็นตรงกันว่า mini PCIe เป็นคำตอบ ซึ่งก่อนหน้านี้มีมาตรฐานนี้อยู่บน Full PCIe อยู่ก่อนแล้ว โดยได้ประกาศลงใน Press Release ที่ 503.619.0563 SATA-IO to Develop Specification for Mini Interface Connector เพื่อเพิ่มให้สามารถใช้งานในอุปกรณ์ Notebook ขนาดเล็กที่มีพื้นที่ใส่ HDD 2.5” ได้จำกัดหรือไม่มีเลย โดยใช้ประโยชน์จาก SSD ที่ความเร็วขั้นต่ำขนาดเล็กโดยที่ 180MB/s สำหรับอ่านและเขียนที่ 70MB/s บน SATA 1.5Gbps, SATA 3Gbps และ SATA 6Gbps บนการ์ดหน่วยความจำขนาดเล็กคล้ายการ์ด WiFi หรือ WWAN

เพราะฉะนั้น mSATA ในตอนนี้นั้นใช้รูปแบบ connector ที่เหมือนกับ mini PCIe แต่ทั้งหมดแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งก่อนที่จะซื้อมาใช้งานนั้นแนะนำให้ตรวจสอบก่อนว่าเครื่องของคุณ mini PCIe สามารถใส่ mSATA ได้หรือไม่ด้วย

ซึ่งในช่วงปี 2010-2011 เป็นต้นมาก็มีหลายยี่ห้ออออกการ์ด mSATA ออกมา โดยหัวหอกคือ Intel ในช่วงต้นยังคงราคาแพงและไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนัก และต่อมาก็มีคู่แข่งในตลาดเพิ่มมากขึ้นอย่างเช่น Samsung หรือ Toshiba และที่เราจะนำมาแนะนำในวันนี้คือ OCZ รุ่น Nocti Series mSATA SSD 60GB โดยผมได้ OCZ Nocti Series mSATA SSD 60GB จาก MemoryToday.com มานานมาก ไม่ได้เขียนขึ้นสักที วันนี้เลยได้เวลาเอามาให้ดูกันว่ามันมีดีอะไร หลายๆ คนถึงอยากได้เจ้าตัวนี้กัน เหมาะมากสำหรับคนที่ใช้ Notebook ขนาดเล็กที่มี HDD อยู่ก่อนแล้ว และมีสล็อต mSATA ว่างอยู่ เรามารูปแบบของตัวการ์ดกันดีกว่า

DSC_1247

ตัวการ์ดนั้นมีขนาดไม่ใหญ่มากนักเมื่อเทียบกับขนาดของ SSD ตัวอื่นๆ ในท้องตลาด

DSC_1248 DSC_1245

เมื่อใส่คู่กับ RAM SO-DIMM DDR3 บน M/B แล้วลองเทียบดูจะเห็นได้ว่ามีขนาดเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด

DSC_1242

สำหรับ Notebook ที่นำมาทดสอบนั้นคือ Lenovo ThinkPad T420 4180-RG8 ที่ใช้ Chipset Mobile Intel QM67 Express และตัวของ SSD Nocti นั้นใช้ Storage Controller Sandforce รุ่น SF-2100

2012-02-19_232819

รองรับการทำงานแบบ TRIM ที่จำเป็นสำหรับคนที่ใช้ SSD

2012-02-19_234550

ทดสอบผ่านโปรแกรม HD Tune Pro 5.0

ผลการทดสอบสำหรับอ่านข้อมูล ดูแล้วยังไม่ค่อยนิ่งเท่าไหร่นัก แต่โดยรวมถึงว่าเร็วในระดับที่น่าพอใจสำหรับการ์ดเล็กขนาดนี้ โดยค่าเฉลี่ยการฟจะวิ่งอยู่ที่ประมาณ 160MB/s ซึ่งก็ยังคงเร็วกว่า HDD 7200rpm ในท้องตลาดทั้งหมดอยู่ดี (ปรกติ HDD 7200rpm อยู่ที่ค่าเฉลี่ย 100-120MB/s) แต่ส่วนที่ทำได้ดีอย่างเห็นได้ชัดคือ Access Time นั้นเร็วกว่า HDD 7200rpm แบบไม่เห็นฝุ่นเลย โดยปรกติ HDD 7200rpm นั้นจะอยู่ที่ประมาณ 11-9ms แต่เจ้าตัว SSD ตัวนี้อยู่ที่ 0.15ms ซึ่งเร็วมากๆครับ

2012-02-19_235051

เรามาดูเรื่องการคัดลอกและส่งไฟล์แบบ Sequential นั้นทำได้ตามคุณสมบัติที่วางไว้คือ ~250MB/s

2012-02-19_234536

เรามาดูค่า Access Time แบบละเอียดๆ จะเห็นว่าไฟล์ขนาดเล็กๆ นั้นทำได้ค่อนข้างใช้ได้อยู่ที่ประมาณ 0.1-0.2ms สำหรับไฟล์ไม่ใหญ่มากนัก

2012-02-19_234138

2012-02-19_234638

DSC_1241

กล่าวโดยสรุป สำหรับคนที่มี Notebook ที่มี HDD อยู่แล้ว และมีสล็อต Mini PCIe ที่สนับสนุน mSATA เหลือว่างอยู่ ผมแนะนำให้ลองหามาใช้ดูครับ ส่วนตัวแล้วนั้นรองรับการใช้งานสำหรับในบรรจุตัว OS เพื่อใช้ทำงานเป็นหลัก คุณจะได้รับความเร็วที่พอใจมากๆ เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องเปลี่ยน HDD ตัวเก่าเพื่อใส่ SSD ขนาด 2.5” ตัวใหม่ลงไปแต่อย่างใดครับ

ขอบคุณ MemoryToday สำหรับ SSD ตัวนี้ที่ให้มาทดสอบครับ

OSZ P/N NOC-MSATA-60G
Technical Spec Details

  • MLC NAND Flash
  • Native TRIM support
  • Seek Time: .1ms
  • Ultra-Slim Design 30 x 50 x 3.5mm
  • Lightweight: 6g
  • Operating Temp: 0°C ~ 70°C
  • Ambient Temp: 0°C ~ 55°C
  • Storage Temp: -45°C ~ 85°C
  • Low Power Consumption: 1.7W Active, 0.5W Idle
  • Compatible with Windows XP, Vista, 7 32-bit and 64-bit
  • MTBF: 2 million hours
  • 3-Year Warranty

Technical Spec Performance

  • Max Read: up to 280 MB/s
  • Max Write: up to 260 MB/s
  • Random Write 4k: 12,500 IOPS

http://www.ocztechnology.com/ocz-nocti-msata-ssd.html

“785 Days of waiting… finally we meet”, Girls’ Generation Concert Live in Bangkok 2012

หลังจาก ลุ้นระทึกกับการซื้อบัตร Girls’ Generation Concert Live in Bangkok วันที่รอคอยก็มาถึง สิ้นสุดการรอคอย

ผมได้บัตรก่อนเข้าคอน 2-3 วัน พี่ @plynoi เอามาให้ครับ สวยงามเก็บเป็นที่ระลึกและสะสมได้สบายๆ

ปล. ไฟล์ภาพและวิดีโอถ่ายจากกล้องมือถือ Samsung Galaxy Nexus ที่ความละเอียด 5Mpx (Photo) และ 1080p 24fps (Video)

324896_10150588725425275_580405274_8780102_1107206533_o

ผมไปถึงที่ impact ประมาณ 14:00 น. จริงๆ กะไปประมาณเที่ยงๆ แต่พอดีว่าติดปัญหาบางอย่าง นัดกับพี่ @plynoi ไว้ก่อนไปด้วย เลยรีบมากๆ เกรงใจพี่เค้า (แต่ก็กว่าจะเจอกันเกือบบ่ายโมงแล้ว ><”) เหตุที่ต้องไปก่อนนาน เพราะกลัวรถติดเพราะในวันนั้นมี 3 concert จัดในวันเดียวนอกจาก Girls’ Generation Concert Live in Bangkok 2012 แล้วก็ยังมี Bodyslam นั่งเล่น และ Fatfest 2012 อีกงานนึง นี่ยังไม่รวมงานแสดงสินค้าอีกในวันนั้น เพราะงั้น คนจะมหาศาลแน่ๆ ไปก่อนดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็คือว่าทันแน่นอน

เดินๆ ไปก็เจอ เฟิร์ส, นก, @imfai, @processic และ @rstp ที่แถมๆ บูทของ soshifanclub.com ก็ได้พร๊อบสำหรับ project ของแฟนๆ ครับ

IMG_20120212_151254

เดินๆ ออกมา ก็มี Press Con. อยู่ด้านบนแถมๆ Gate 3-4 คนมุงกันเต็มเลย ผมเห็นแต่ไหล่ซูยองไกลๆ (เห็นหน้าด้วย เพราะงั้นใช่แน่นอน >,.<) สาวๆ โผล่หน้ามาทักทายทีก็กรี๊ดกันที

IMG_20120212_154504

ระหว่างตอนนั้นคนก็เข้าแถวรอเข้าคอนกันอย่างหนาแน่น นั่งรอกันเป็นระบบระเบียบดีไม่มีปัญหาใดๆ

IMG_20120212_155200

IMG_20120212_155208

ถึงสักประมาณ 16:15-20 น. (ประตูเปิด 16:00 น.) ก็ไปเข้าแถวเตรียมเข้าคอน เพราะคิดว่าคนเริ่มน้อย ไม่ต้องรอนานเท่าไหร่หรอก กะอยู่ท้ายๆ อยู่แล้ว

IMG_20120212_155715

IMG_20120212_161147

ป้ายนี้จริงๆ ตอนขากลับว่าจะเก็บกลับ แต่พอออกมา หายหมด!!!! T_T

IMG_20120212_161210

บรรยากาศภายในก่อนเริ่มคอน ยืนรอกันไปก่อนประมาณอีกชั่วโมงกว่าๆ

IMG_20120212_165530

ด้านบนโซน 5,000 และ 4,500 (ด้านล่าง) และโซน 3,000, 1,500 และ 900 ก็ไล่ถัดไปเรื่อยๆ ถึงด้านบน

IMG_20120212_170427

ภาพพาโนรามาสักหน่อยครับ ถือว่ากว้างใช้ได้ แต่ระยะสายตาถามว่าไกลไหม ถ้าสาวๆ SNSD ไปอยู่ด้านในสุด ก็ถือว่าไกล แต่ถ้าสายตาดีๆ ก็ไม่ถือว่าไกลมากเท่าไหร่

ระหว่างรอก็มีโฆษณาและเพลงสรรเสริญฯ ขึ้นมา พอมีความเคลื่อนไหนบนเวที หรือจอภาพทีก็มีเสียงโซวอนกรีํ๊ดกันทีนึงให้ตื่นเต้นกันเล่นๆ

PANO_20120212_172535

สาวน้อย @imfai กับป้ายผ้าของเธอที่เอาไปเชียร์สาวๆ SNSD ดูน่ารักดี ^^

IMG_20120212_170931

เมื่อ Intro เปิดตัวสาวๆ SNSD ขึ้น เสียงโซวอนก็กรี๊ดโห่ร้องดังลั่นอีกครั้ง

IMG_20120212_180823

พอ Intro จบก็ได้เวลาสาวๆ SNSD ออกมาแล้ว

IMG_20120212_181202

สิ้นสุดการรอคอยแล้ว!!!!

IMG_20120212_181253

IMG_20120212_181402

พวกสาวๆ SNSD ออกมาจากกล่องและร้องเพลง Genie ท่อนที่หลายคนรอคอยก็มาถึง

Bangkok, Put it back on!

ทิฟฟานี่ร้องท่อนนี้พร้อมกับเสียงกรี๊ดของโซวอนดังสุดเสียงกันอีกครั้ง คนข้างๆ น้ำตาไหลเลย ><

IMG_20120212_181719_1

IMG_20120212_182825

IMG_20120212_184257_1

ส่วนที่ทำให้สาวๆ SNSD ต้องน้ำตาซึมก็ตอนเพลง Complete เหล่าโซวอนพร้อมใจกันชูป้ายกระดาษ A4 ที่เขียนว่า “785 Days of waiting” และ “Finally we meet” รวมกันเป็น

785 Days of waiting, Finally we meet.

เพราะเป็นครั้งแรกในไทยที่เป็น concert เต็มรูปแบบหลังจากที่โซวอนไทยผิดหวังไปเมื่อประมาณ 2 ปีก่อนเพราะเหตุความไม่สงบในบ้านเราจนต้องยกเลิก The 1st Asia Tour ในส่วนของประเทศไทยไป

IMG_20120212_201057

IMG_20120212_201102

โซวอนในฮอลต่างพร้อมใจกันชูป้ายกระดาษนี้ขึ้นเป็นภาพที่สวยงามมาก น้ำตาซึมและทำให้หลายๆ คนร้องไห้กันไปเลย สาวๆ SNSD ก็น้ำตาซึมกันไปครับเพลงนี้

PANO_20120212_201159

ระหว่างนี้ก็สนุกสนานกับ Concert ไปกว่า 3 ชั่วโมงครับ

IMG_20120212_201535_2

IMG_20120212_210255_2

สรุปงานนี้

  • แทยอนตัวจริงๆ หน้าเด็กและน่ารักมากกกกกกกกกกกก ตัวเล็ก ยิ้มแย้ม ขาวเวอร์มากกกกกกกกกกก!!! แบบถ่ายเธอตอนไฟโฟลโล่ส่องแล้วสะท้อนจนแสงแฟล์ร์ไปเลย (จริงๆ ก็แฟลร์ทุกคนแหละ ฮาๆๆๆ) แต่แทแท เธอมาแถวๆ ผมไม่กี่ครั้งเอง อยู่อีกฝั่ง เสียใจ T_T
  • ทิฟฟานี่เธอยิ้มได้โลกสดใสมากกกกกกกกก ยิ้มแย้มตลอดทั้งคอนเลย รู้สึกดีเวลาเธอยิ้ม พูดเก่งมากกกกก มาแถวๆ โซนผมบ่อยด้วย ^o^/
  • เจสสิก้ามาแถวโซนที่ผมอยู่บ่อยกว่าที่คิด เห็นกันอิ่มไปเลย ยอมรับว่าสวยมากกกกก วิ้งๆ แบบออร่าอ่ะ ออร่า!!! สะท้อนแสงมากกกกกก อีกคน
  • ซันนี่น่ารักกว่าที่คิดมากกกกกกก ตัวเล็กและดูผอมกว่าที่เห็นผ่าน MV/Live ต่างๆ แถมเพลงโชว์เดี่ยวนี่เล่นเอาตะลึง!!!!! เลือดหมดตัว >,.<
  • ยูริไม่ต้องพูดถึงสวยเจิดอยู่แล้ว คนนี้เหนือคำบรรยายอีกคน หุ่นดีมากกกกกกก เด่นจริงๆ ให้ตายเหอะ
  • ซูยองหน้าเรียว และผอมกว่าที่ผมคิดไว้อีกแฮะ (เอาเอวไปไหนหมด ><”) เธอสวยคมมากกกกกก บนเพลงแย่งความเด่นไปจากคนอื่นจริงๆ
  • ฮโยยอนผอมกว่าที่คิดไว้เยอะมากกกก แถมตัวเล็กกว่าที่ผมคิดไว้นะคนนี้ ^^
  • ซอฮยอนคนนี้ขาวแข่งกับแทแทแน่ๆ ขาวมากกกกกก แต่ยังไม่เท่าแทแท เฮือกกก (ลำเอียงส่วนตัว ;P)
  • ยุนอา สวยและเอวนิดเดียวเอง ><

คอนนี้ต้องบอกว่าถ้าเคยดู SNSD 1st Japan Arena Tour จะทราบว่าลำดับของเพลงจะคล้ายๆ กันมาก แต่ต่างที่ของในไทยมีเพิ่มเพลง The Boys ภาษาอังกฤษเข้ามา และเพลงเท่าที่ฟังเป็นเพลงภาษาเกาหลีเกือบทั้งนั้นเลย

ผมอยู่ในโซน BA ที่เป็นโซนยืน เพราะงั้นเลยเมื่อยมากกกก ไม่คิดว่ามันจะขนาดนี้ แต่มันไม่มีทางเลือก

เพลงโชว์ที่ไม่ใช่เพลงในอัลบั้มที่ประทับใจที่สุดคงเป็นของเจสสิก้าเดี่ยวเปียโนและชุดจัดเต็มมากๆ

ส่วนที่ลองลงมาก็คงเป็น Lady Marmalade ที่แทยอนกับทิฟฟานี่ร้องคู่กัน สวยงามมาก Sexy ด้วยให้ตายเหอะ

ส่วนเพลงที่รู้สึกเฮร่ยยย คงเป็นซันนี่เนี่ยแหละ!!!! ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ฮาๆๆๆ

สำหรับโซโร่เพลงอื่นๆ ที่ไม่ใช่ในอัลบั้ม ขอไม่อธิบายเพิ่มเยอะจัด อธิบายไม่หมด แนะนำให้เก็บเงินไปดูรอบหน้าก็แล้วกัน (มันเล่นจบกันดื้อๆ แบบนี้ ><”)

ส่วนตัวแล้วคอนนี้ต้องบอกว่าคุ้มค่าเงินมากๆ เพลงทุกเพลงจัดเต็ม ไม่คิดว่าจะได้เห็นสิ่งที่เห็นและมีส่วนร่วมกับคอนที่เราเคยได้แต่นั่งดูแผ่นหรือไฟล์ HD ที่ซื้อมา แต่ครั้งนี้ได้เห็นและอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ อยากบอกว่าหลายๆ อย่างในแผ่นหรือไฟล์ HD นั้นถูกตัดออกไปเยอะ และแต่งให้ดูเนี้ยบมากๆ (ซึ่งเป็นเรื่องดี) แต่เมื่อดูสดๆ จะได้เห็นในมุมกล้องที่กล้องไม่ได้นำเสนอเยอะแยะมากๆ ภาพสาวๆ หยอกล้อกัน ซึ่งปรกติกล้องมักจะแพนไปหาคนที่ร้องเพลง ส่วนคนที่ไม่ร้องก็เล่นกับคนดู ก็หยอกกันเองก็มี ทำให้รู้สึกว่าสนุกสนานตลอดเวลาในคอนจริงๆ มันมีอะไรที่เราไม่เห็นในแผ่นเยอะ จนรู้สึกว่าอิ่มจริงๆ ^^

รอบหน้าจัดเต็มอีกรอบ หวังว่าจะได้จองบัตร 5,000 (บัตรนั่ง) ได้เสียที ><”\

ปล. ไฟล์ภาพและวิดีโอถ่ายจากกล้องมือถือ Samsung Galaxy Nexus ที่ความละเอียด 5Mpx (Photo) และ 1080p 24fps (Video)

iPod Nano 1st Gen 2GB แปลงร่างเป็น 6th Gen 8GB บอกตรงๆ ไม่ประทับใจ 6th Gen

ส่วนตัวใช้ iPod Nano 1st Gen 2GB มาตั้งแต่สมัยเรียน ป.ตรี (ปี 3-4 ได้มั้ง) แน่นอนว่าพอเรียนจบก็ปลดระวางลงหลังจะมี iPod Nano 4th Gen 8GB (ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว)

P1000694a

แน่นอนว่าผมชอบ iPod Nano เพราะ click wheel ครับ และที่ใช้อยู่จนทุกวันนี้ (แม้จะไม่มี 4th Gen แล้ว) ก็เพราะมันเล็กเนี่ยแหละ แต่เพราะแบตมันมีปัญหา แล้วมีข่าวเรื่องเคลมเพราะแบตมีปัญหา ซึ่งมันนานมาก ถ้า Apple ปล่อยผ่านไปก็ยังได้ แต่ไม่ปล่อยผ่าน ก็โอเค ผมถือว่าอยากได้ไอ้เจ้าตัวนี้ตัวใหม่ก็น่าจะดี (ความจุเดิมผมก็ยังไหวนะ)

ใช้เวลาในการเคลมประมาณ 1 เดือนกว่าๆ นับจากปลายปีที่แล้ว (ประมาณเดือน ธันวาคม) ถือว่าช้าไหมก็ช้านะสำหรับการเคลมของ Apple โดยปรกติ (ส่วนใหญ่ผมเคลมใช้เวลา 2 อาทิตย์โดยประมาณ) แต่อันนี้ทาง MCC ได้แจ้งผมไว้แล้วอาจจะนานหน่อย 1-2 เดือนโดยประมาณ ผมก็ไม่ได้อะไร เพราะหลังๆ ไม่ได้ใช้อะไร ได้เคลมก็เป็นบุญหัวเท่าไหร่แล้ว (ความรู้สึกลูกค้าคนไทยคงประมาณนี้) ทาง MCC บริการดีครับ โทรแจ้งว่าได้ของและให้ผมเข้าไปรับ ตลอดการส่งและรับเคลมไม่มีปัญหาใดๆ สอบผ่านผมตลอดเวลาเคลมของยี่ห้อ Apple ผ่าน MCC

แต่แล้วมันก็โดนแปลงร่างมาเป็น iPod Nano 6th Gen 8GB ตัวนี้

Pathum Wan-20120203-00544

ตอนแรกที่ไปรับก็ดูสวยดีนะ แต่หลังจากได้ลองใช้ได้ลองพก ยอมรับเรื่องความเล็กว่าโอเคมันเล็กดีนะ แต่ข้อเสียมันเยอะมาก

  • มันหนาขึ้น เพราะคลิปหนีบ ><” (คิดว่าถอดได้แหละ มั้ง)
  • รุ่นนี้มันเล่นวิดีโอไม่ได้ (รุ่นเก่ามันเล่นได้)
  • ไม่มีกล้อง (รุ่น 5th Gen มีกล้อง)
  • การควบคุมใช้การสัมผัสจอภาพซึ่งนิ้วมันไปบังทับ icon มิดเลย มองไม่ออกว่ากำลังเลือกอะไรอยู่ (click wheel เหมาะกว่า)
  • มันเล็กเกินไป เอา Shuffle มาแทนและใช้ body กลับมาเป็นแบบรุ่น 5th Gen จะดีมากๆ
  • การเลื่อนเพลงใดๆ ต้องจับมันขึ้นมามองตลอดเวลา มันน่าเบื่อมากๆ ไม่ได้ต่างจาก iPod Touch ตัวที่ใช้อยู่เลย แค่มันเล็กกว่า แล้วงี้จะมีไว้ทำไม!!!
  • จริงๆ ตัวปุ่มกดด้านบนขวามันทำเรื่อง next song ได้นะ แต่แน่นอนว่ามันปุ่มเดียว มันเลยต้องเลือกระหว่าง next song หรือ play/pause ซึ่งแน่นอนว่าผมเลือกอย่างหลัง
  • ผมคิดว่าเค้าพยายามทำให้มันเล็กเพื่อเอาไปใช้ร่วมกับ Nike+ หรือตอนออกกำลังกายมากกว่า (มัน build-in Nike+ และ FM มาให้) ซึ่งโอเคยอมรับได้ แต่น่าจะเป็นรุ่นเล็กหรือรุ่นใหม่ไปเลยน่าจะดีกว่า บอกตรงๆ เสียความรู้สึก ><”

สรุปรวมๆ แค่ control มันก็ไม่ใช่แล้ว ลองคิดถึงมันอยู่ในกระเป๋ากางเกงแล้วกดเลื่อนเพลงไปๆ มาๆ ลด-เพิ่มความดังของเสียงได้ โดยไม่ต้องเอาออกมาจากกระเป๋าก็แตกต่างกับตัวนี้แค่ไหนแล้ว ><” เฮ้ออออ

ลองถ่ายรูปด้วย Samsung Galaxy Nexus

ขอเกริ่นก่อนสำหรับคนที่ยังไม่รู้จักเจ้า Samsung Galaxy Nexus หรือบางคนอาจจะเคยได้ยินในชื่อ Google Nexus Prime ซึ่งเป็นมือถือรุ่นเดียวกัน โดยที่เจ้าตัวนี้เป็น Android Phone ที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Android 4.0 หรือ Ice Cream Sandwich รุ่นใหม่ล่าสุด (ณ.เดือนมกราคม 2555) และได้ชื่อว่าเป็นมือถือตัวแรกที่ใช้ OS รุ่นนี้ (เพราะ Google ออกมาเป็นต้นแบบให้มือถือรุ่นต่อๆ ไปได้นำไปเป็นต้นแบบ) รูปลักษณ์ของตัวเครื่องนั้นมีปุ่มน้อยมาก ที่ตัวด้านหน้าไม่มีปุ่มกดเลย เป็น Touchscreen ทั้งหมด โดยใช้ลักษณะ Soft Screen เป็นหลัก (ปุ่มกดด้านล่างจะปรับเปลี่ยนจากแต่ว่า App ต่างๆ จะให้แสดงหรือไม่ หรืออาจจะมีการแก้ไขไปให้งานในแบบอื่นๆ)

DSC_5472

DSC_5473

Screenshot_2012-02-04-03-46-03 Screenshot_2012-02-04-03-47-53 Screenshot_2012-02-04-03-39-08

ตัวเครื่องนั้นให้ CPU ที่มีความเร็วถึง 1.2Ghz แบบ Dual core รุ่น ARM Cortex A9 (TI OMAP 4460) และ GPU PowerVR SGX 540 ซึ่งมี RAM 1GB และรุ่นที่ผมได้มานั้นมี Storage 16GB สำหรับส่วนของจอภาพนั้น เหมาะมากสำหรับการแสดงผลรูปภาพ เพราะเป็นจอภาพ Capacitive Touchscreen แบบโค้ง (Curved Display) ขนาด 4.65 " ที่มี resolution จอภาพสูงมากที่ 1280×720 pixel (315dpi) ชนิด Super AMOLED HD ที่ให้สีสันสวยงาม (และบางคนอาจจะบอกว่าสีนั้นจัดจ้านดุดัน)

DSC_5492

ระบบของกล้อง Samsung Galaxy Nexus นั้นใช้ชุดเลนส์และ CMOS Sensor รุ่น S5K4E5YA ของ Samsung เอง ซึ่งในชุดกล้องนี้มี Image Sensor ของ Samsung Galaxy Nexus ที่เป็น CMOS Backside illumination sensor รุ่นแรกที่ Samsung ทำออกมาในตลาดแข่งกับยี่ห้ออื่นเลยทีเดียว

โดยที่ขนาดของ Sensor นั้นมีขนาด 1 ใน 4 นิ้ว (1/4") ให้ขนาดของภาพที่ 5Mpx (2608 x 1960 pixel) โดย Backside illumination (BSI) นั้นเป็นการให้ Photodiode สลับมาอยู่ด้านบน ทำให้แสงสามารถตกลงบน Photodiode ได้ดีกว่าเดิม ซึ่งมีขนาด pixel อยู่ที่ 1.4µm

ส่วนเลนส์ของ Samsung Galaxy Nexus มีทางยาวโฟกัส (Focal length) ที่ 3.37mm และรูรับแสง (F stop) ที่ 2.8 มีจำนวนชิ้นเลนส์ 4 ชิ้น และองศารับภาพที่ 68 องศา ด้วยขนาดของ Sensor ของกล้องนั้นอยู่ที่ 6.35mm diagonal (1/4”) หรือมี crop factor ที่ประมาณ 5.51x ดูแล้วก็มีขนาด sensor ใหญ่พอใช้ได้เลยทีเดียวครับ

ส่วนอื่นๆ ที่เป็นคุณสมบัติเพิ่มเติม อย่างเช่น Zero Shutter Lag ที่ทำให้เราถ่ายภาพต่อเนื่องได้รวดเร็วมากขึ้น จากที่ลองถ่ายๆ แล้ว 3-4 frame per second ก็ทำได้ดีทีเดียวครับ (ผลการทดสอบที่อื่นๆ ทำได้เกือบๆ 20fps) รวมทั้งรองรับการถ่ายวิดีโอ Full HD Video (1080p 30fps) และถ่ายภาพแบบ Panorama ได้อีกด้วย

เอาหล่ะ พวกข้อมูลตัวคุณสมบัติของเลนส์และกล้องถือว่าทำได้ดีครับ เรามาดูผลของภาพกันบ้างดีกว่า

DSC_5494

ก่อนอื่นเราก็ต้องเข้าเมนูกล้องถ่ายรูปโดยง่ายๆ เพียงแต่ลากวงกลมที่ใช้สำหรับปลดล็อคเครื่องไปยังเมนู App ถ่ายรูปด้านซ้ายแทนเข้าการเข้าเมนูปลอดล็อคเครื่องที่มีอยู่แล้วแทนครับ

ภาพด้านล่าผมถ่ายในส่วนของภาพที่มีเส้นต่างๆ เพื่อให้ดูความบิดเบี้ยวของภาพที่บริเวณขอบภาพและความคมชัดว่าทำได้ดีแค่ไหนครับ ส่วนต่อมาคือกล้องสามารถปรับให้ใช้ speed shutter ได้เท่าไหร่ โดยจากที่ดูใน Exif แล้วใช้ไปที่ 1/549s เลยทีเดียวในสภาพแสงดีๆ ครับ ทำให้เราถ่ายย้ำๆ เร็วๆ ซึ่งเป็นผลดีจากการมี Zero Shutter Lag ในที่ที่แสงสว่างๆ ได้สบายๆ ครับ

IMG_20120202_091939

ถ่ายเพื่อให้ทราบว่าเมื่อนำกล้องไปถ่ายในอาคารภายใตแสงจากไฟนีออนปรกติให้ผลเป็นอย่างไร โดยรวมเป็นที่น่าพอใจครับ แสงและสีเที่ยงตรงดี และจากที่ได้ถ่ายไปเดินไป ก็จับโฟกัสได้เร็วและใช้ความเร็วในการถ่ายต่อแฟรมเร็วมากๆ

IMG_20120203_204344

ลองถ่ายภาพเพื่อทดสอบความเปรียบต่างระหว่างส่วนความสว่างของภาพมากที่สุด และส่วนที่มืดที่สุด ทดสอบเพื่อเอามาดูว่าสามารถที่จะเก็บรายละเอียดทั้งส่วนมืดและสว่างได้ดีเพียงใดในสภาพวิธีการใช้งานแบบยกกล้องขึ้นมาแล้วให้กล้องโฟกัสสักแป็บ เสร็จแล้วกดถ่ายภาพทันที

IMG_20120204_151247 IMG_20120204_151400

ภาพนี้ออกแนวถ่ายเล่นๆ ครับ คือเดินผ่าน แล้วลองถ่ายในสภาพแสงตอนเกือบๆ 18:30 แล้วแหละ ภาพนี้ลองถ่ายเพื่อให้ดูว่ากล้องสามารถจับความเคลื่อนไหวเร็วๆ ของรถได้ดีเพียงไหน และทดสอบระบบ Autofocus ของกล้องว่าสับสนกับการโฟกัสของการวิ่งของรถมากแค่ไหน โดยรวมนั้นต้องค่อยๆ ตั้งใจถ่ายเลยหล่ะครับ เพราะระบบ Autofocus จะวืดวาดมาก เพราะตัวแบบไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ประกอบกับสภาพแสงตอนนั้นเย็นมากๆ แล้วด้วย ตัวกล้องก็ยิ่งเร่งทำให้ค่า ISO พุ่งสูงไปถึง 640 เห็นจะได้ และภาพที่เห็นนี้ใช้ speed shutter ที่ 1/17s เพื่อให้ได้ภาพที่สว่างดังที่เห็นครับ (ทำให้ภาพรถต่างๆ นั้นเบลอไปด้วย)

IMG_20120203_182027_1

IMG_20120203_182132

มาดูภาพที่ไปเดินถ่ายเล่นๆ กันบ้าง เป็นภาพที่ไปงานแสดงรถงานนึงครับ สภาพแสงภายในงานก็สว่างบ้าง ไม่สว่างบ้าง เวลาถ่ายก็ไม่ยากครับ พยายามหามุมที่แสงมันตกกระทบดีๆ หน่อยก็ได้ภาพที่สวยงามมาแล้ว โดยสิ่งที่ต้องค่อยๆ ทำคือเล็งกล้องให้ดีครับ เพราะในสภาพแสงประมาณนี้ตัวกล้องจะปรับให้ใช้ speed shutter ที่ 1/17s ตลอดเลย เพราะฉะนั้น มือต้องนิ่งๆ ครับ อาจจะใช้เรื่องของ Zero Shutter Lag ให้เป็นประโยชน์ครับ คือเน้นถ่ายย้ำๆ แต่ก่อนถ่ายย้ำๆ ก็ต้องเล็งให้โฟกัสเข้าก่อนนะครับ

IMG_20120204_155547

IMG_20120204_155628 IMG_20120204_155517

ส่วนต่อมาเป็นเรื่องของ Adjust และ Process ตัวภาพแล้วหล่ะครับ โดยตัว App ของกล้องนั้นสามารถปรับแต่ภาพได้หลากหลายมากๆ ได้แก่ Crop, Rotate, Flip, Straighten, Red Eye remover และ Sharpen สำหรับคนชอบเล่นอะไรแปลกๆ ก็การแก้ไขภาพแบบ Adjust อื่นๆ เช่นการทำ  cross-process, การใส่ filter ภาพสำเร็จรูปเบื้องต้น และการปรับแต่งภาพแบบพื้นฐานเช่น Fill-light, Hightlight, Shadow, Satuation หรือ Warmth (wb) เป็นต้น

ซึ่งการปรับแต่งภาพบนโทรศัพท์มือถือแบบนี้นั้น ทำให้เราได้ภาพแปลกๆ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องต่อตัวอุปกรณ์เข้าคอมพิวเตอร์เพื่อปรับแต่งแต่อย่างใด ดูตัวอย่าง UI และภาพต่างๆ ได้จากด้านล่าง

Screenshot_2012-02-04-04-11-35 Screenshot_2012-02-04-03-40-02 Screenshot_2012-02-04-03-40-32

Screenshot_2012-02-04-03-40-45 Screenshot_2012-02-04-03-41-05 Screenshot_2012-02-04-03-42-17

ภาพต้นฉบับ

IMG_20120203_213618

ภาพที่ปรับแต่งแล้ว

IMG_20120204_034203

ลอง Crop ภาพและปรับแต่งเล่นๆ อีกหน่อย

Screenshot_2012-02-04-03-43-17 Screenshot_2012-02-04-03-43-59 

Screenshot_2012-02-04-19-56-14 IMG_20120204_195621

กล่าวโดยสรุปสำหรับเรื่องการถ่ายรูปของกล้องจาก Samsung Galaxy Nexus นั้นค่อนข้างดีในที่แสงดีๆ จ้าๆ ระบบกล้องสามารถปรับสมดุลของภาพให้กลับมาพอดีได้อย่างน่าทึ่ง ระบบ Zero Shutter Lag ทำงานได้ดีมากๆ ในเหตุการณ์ที่อยากได้ภาพที่ทันทีทันใด และประกอบกับมีเมนูที่สามารถเข้าถึงการถ่ายรูปด้วยกล้องได้ง่ายและรวดเร็วมากๆ เมื่อรวมทั้งสองอย่างเข้าไป ก็ทำให้การถ่ายรูปของเรานั้นง่ายขึ้นมากๆ ครับ