[PANTIP.COM] – สำหรับผู้ที่คิดจะซื้อ Computer ใหม่หรือ Upgrade อ่านตรงนี้สักนิดนะครับ

เอามาจากบอร์ดเขียวอีกรอบ ไม่รู้ดิเดี่ยวนี้เจออะไรดีๆ เยอะหุๆๆ

สำหรับผู้ที่คิดจะซื้อ Computer ใหม่หรือ Upgrade อ่านตรงนี้สักนิดนะครับ

จริง ๆ แล้วหัวข้อนี้ผมเขียนมาครั้งนึงแล้วแต่ว่าเน้นในเรื่องของการเลือกประกัน แต่ว่าวันนี้จะขอพูดถึงการเลือกในส่วนของ Hardware สักหน่อยแล้วกัน

เริ่มแรกขอออกตัวก่อนว่าผมเองนั้นไม่ได้เก่งอะไร ไปกว่าเซียน ๆ ในห้องนี้เลยนะครับ และก็ต้องขอบคุณทุกคนที่ให้ความรู้ผมทุกครั้งเวลาเข้ามาในที่นี้นะครับ

การเลือกซื้อ Computer นั้นบางคนบางท่านอาจจะสงสัยว่า มีหลักการเลือกซื้ออย่างไร ผมขออธิบายง่ายๆ แบบชาวบ้าน ๆ ให้ฟังดังนี้แล้วกันนะครับ คือปัจจุบันนี้เนี่ย computer ที่เราใช้กันอยู่โดยหลัก ๆ ก็คือ CPU จาก 2 ค่าย ก็คือ Intel และ AMD ในด้านของยอดขายนั้นเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า Intel นั้นเป็นผู้นำทางด้านของ CPU เพราะว่าตัวเลขส่วนแบ่งทางการตลอดนั้นเยอะกว่า AMD อย่างเห็นได้ชัดนั่นอาจเป็นเพราะว่า Intel นั้นมีการใช้ต้นทุนทางด้านการตลาดค่อนข้างสูงกว่า AMD แต่ส่วนของคุณภาพนั้นผมไม่ขอพูดถึง เพราะว่าถ้ามัวมาเถียงในเรื่องประสิทธิภาพนั้น เดวสาวกของค่ายนั้น ๆ จะมาทะเลาะกันอีก แต่ทั้ง 2 ค่ายก็ได้แบ่ง CPU เป็น 2 ระดับก็คือ ระดับบน กับระดับล่าง เอาพูดง่ายๆ อย่างงี้แล้วกันนะครับ ของ Intel ก็จะมี Pentium 4 เป็น CPUระดับบน และ มี Celeron เป็น CPU ระดับล่างหรือพูดให้ดูดีหน่อยก็คือราคาประหยัด ส่วน AMD ในตอนนี้ก็คือ AMD 64 เป็นตลาดระดับบนและ Sempron เป็นตลาดระดับล่าง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า CPU ทั้ง 2 ค่ายนั้นมีให้ลูกค้าเลือกซื้อดังแต่ CPU ที่ราคาสูง ถึงราคาประหยัด ถ้าทำให้เห็นภาพก็คือ

Intel Pentium4 VS AMD 64
Intel Celeron VS AMD Sempron

ส่วนใครจะตัดสินใจใช้ตัวไหนก็แล้วแต่นะครับ คราวนี้มาดูในส่วนของตัวที่จะมารองรับ การทำงานของ CPU กัน ก็คือ Mainboard นั่นเอง เนื่องจากว่า ทั้ง 2 ค่ายนั้นเป็นคู่ต่อกรอย่างชนิดว่า แทบจะมองหน้ากันไม่ติดเลยก็ว่าได้ เพราะว่า ตัว mainboard นั่นก็ไม่สามารถที่จะใช้ด้วยกันได้แต่เติมสมัยที่การแข่งขันยังไม่สูงมากAMD และ Intel ใช้ mainboard ที่ใช้สถาปัตยกรรมบน mainboard เป็นตัวเดียวกัน ถ้าจำไม่ผิด สถาปัตกรรมสุดท้ายที่ AMD ใช้ร่วมกับ Intel น่าจะเป็น Socket 7 ในสมัยที่ AMD เป็น K6 III
และ Intel เป็น Pentium แต่หลังจากนั้นมาทั้ง 2 ค่ายก็แยกกันใช้สถาปัจยกรรมบน mainboard เป็นคนละตัวกัน เพราะฉะนั้นผู้ซื้อที่เป็นมือใหม่ หรือมือเก่า ต้องศึกษาตรงนี้ให้ดีนะครับ ไม่ใช่ว่า อยากใช้ CPU AMD64 แต่ดันไปซื้อ Mainboard ที่ทำมาใส่ Pentium 4 จะเสียเงินไปฟรี ๆ ส่วนการเลือกซื้อ mainboard นั้น ก็ควรที่จะอ่านหาความรู้ใน board นี้ละครับว่าส่วนใหญ่เค้าใช้ยี่ห้ออะไรกัน และความจำเป็นของเราอยู่ในขั้นไหน อย่างเช่น ถ้าอยากเอาไปเพิ่มความสามารถโดยการ Overclock ก็ต้องเลือก Mainboard ที่ทำมาให้ Overclock ได้หน่อย ไม่ใช่เลือก Mainboard ที่เค้าทำมาเพื่อให้เหมาะสมกับงานระดับธรรมดาเป็น mainboard ราคาประหยัดแล้วพอเอามา Overclock ไม่ได้ ก็มาบ่นมาว่า ว่า Mainboard นั้นไม่ดีมั่งไม่ได้มาตราฐานมั่ง เราซื้อมาให้เพียงพอต่อการใช้งานดีกว่าครับ ผมขอยกตัวอย่างนิดนึง อย่างเช่นถ้าเราใช้ CPU AMD Atlhon 2500+ ถ้าเราต้องการเอามา Overclock ก็อาจจะใช้ Abit AN7 Guru ซึ่งราคาประมาณ 3000 กว่า ๆ แต่ถ้าจะเอาไปใช้งานจริงๆ ไม่ได้จะเอาไป Overclock อะไร เราก็อาจจะใช้ Aslock K7VTA 4 Pro ซึ่งราคาประมาณ พันปลาย ๆ แค่นี้คุณก็ประหยัดไป พันกว่าบาทแล้วนะครับ ถ้าหลาย ๆ ชิ้นรวมกันอาจจะประหยัดไปได้ถึง 4-5000 บาท การประกันก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่คุณขาดไปไม่ได้นะ บางร้าน Ram ถูกกว่าร้านอื่น 100-200 บาท ซึ่งคุณเดินดูมานานแสนนานแล้วเห็นร้านนี้ถูกกว่า ก็เลยซื้อที่ร้านนี้ แต่ปรากฏว่ามารู้ทีหลังว่าเป็น Ram ปลอม อย่างงี้มันช้ำใจมั๊ยครับ เดินก็เมื่อย ถูกกว่าแค่ 100-200 แต่ว่าดันเป็น Ram ปลอมเพราะฉะนั้นก็ต้องศึกษาอีกละครับว่า ตัวไหนปลอมตัวไหนจริง หลักง่ายๆ แบบไม่ต้องคิด ก็คือพยายามซื้อ Ram ที่มีประกันกับบริษัทดัง ๆ รับรองว่า เป็นRam แท้แน่นอนครับ แพงกว่า 100-200 แต่ ทำให้คุณสบายใจ และเวลาเสีย ไม่มีปัญหาอีกด้วย ส่วนตัวอื่นๆ ก็ลองศึกษาดูแล้วกันนะครับว่า ควรจะซื้อให้เหมาะกับการใช้งานของตัวเองอย่างไร เช่นใช้เล่นเกมส์ยิงไข่ หรือว่า เล่น Net ดูหนังโดยแทบที่จะไม่ได้เล่นเกมส์ที่ใช้ความสามารถของการ์ดจอ เยอะๆ เลย ก็ซื้อ VGA ซักประมาณ พันกว่าบาทก็พอ แต่ถ้าจะใช้เล่นเกมส์ที่ใช้ความสามารถของ VGA เยอะ ๆ อันนี้ก็ต้องลงทุนกันอีกก้อนนึงละครับ

ฝากข้อคิดไว้อีกนิดนึง

เราไม่ควรตามกระแสให้มากไปเพราะว่าความต้องการและฐานะของแต่ละคนไม่เท่ากันครับ บางคนพอมีพอกิน เครื่องประมาณสัก 20000 ก็ทำให้มีความสุขได้แล้วครบตามความต้องการ แต่ถ้าเป็นพวกไม่รู้จักพอ อะไรเค้าว่าดี เค้าว่าเจ๋ง ก็ต้องไปไขว่คว้ามา โดยที่ตัวเองไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองนั้นใช้ Computer ไปแค่ 20-30 % ของความสามารถที่เครื่องให้ได้ คนพวกนี้มีแสนก็หมดแสนครับ แล้วอีกอย่างสำหรับมือใหม่ ตราบใดที่คุณยังไม่รู้ว่า Hardware ที่คุณใช้แต่ละตัวนั้นมีประกันของที่ใด การที่จะไปเดินเช็คทุกร้านว่าอันไหนถูกที่สุดแล้วซื้อมาให้คนรู้จักประกอบ เวลาคอมมีปัญหาทีรู้มั๊ยครับว่าอะไรจะตามคุณมาในกรณีที่ มันเสีย แล้วคนที่ประกอบหรือซื้อให้คุณไม่ว่างมาทำให้ เพราะฉะนั้น ศึกษาร้านที่ซื้อสักนิดนึงว่าร้านไหนดีพอจะให้ คำปรึกษาแก่คุณได้ ของเค้าอาจแพงกว่าชิ้นละ 100 หรือ 200 แต่ว่าเวลาคอมคุณมีปัญหาเค้าเต็มใจและพร้อมที่จะตอบปัญหาของคุณ ดีกว่า ร้านที่ของถูกกว่าแล้วเวลาคุณมีปัญหาแล้วบ่ายเบี่ยงไม่ให้ความช่วยเหลืออะไรคุณเลยแล้วเวลานั้นคุณจะมานั่งเสียใจทีหลังนะครับ

สุดท้ายครับ บอร์ดนี้เหมาะกับทุกคนทุกเพศและทุกวัยที่กำลังศึกษาในเรื่องของ computer ทุกคนที่มีความรู้เค้าพร้อมที่จะตอบคำถามของคุณทั้งนั้นแหละครับถ้าเค้ารู้ถ้าเค้าช่วยได้ สำหรับมือใหม่ที่ต้องการซื้อคอมพิวเตอร์ ก่อนซื้อเสียเวลามานั่งอ่านที่บอร์ดนี้สักวันละ 15 นาที ประมาณสัก 1 อาทิตย์ผมรับรองว่า คุณจะไม่โดนหลอกแน่ ๆ เวลาที่ไปซื้อของที่พันทิพย์ ฝากข้อคิดไว้แค่นี้นะครับ

http://www.pantip.com/tech/hardware/topic/HP1831341/HP1831341.html

[PANTIP.COM] – อะไรๆก็หันเข้าหามือถือกันหมด

อ่านเจอในเว็บบอร์ดเขียวเลยเอามาให้อ่านกัน http://www.pantip.com/tech/nonpc/topic/NM1811535/NM1811535.html

กล้องดิจิตอล ตอนนี้ก็เอามารวมกับมือถือ ถึงความละเอียดของภาพจะยังต่ำ แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ มือถือบางรุ่น ถึงขนาดถ่ายวิดีโอได้ด้วย

pocket PC เดี๋ยวนี้ก็มารวมกับมือถือ กลายเป็น smartphone เก็บได้หมด ทั้ง contact, note, calendar, to do list ดูหนังฟังเพลงได้ด้วย พวก PDA ก็เริ่มหดหายไปทีละน้อยๆ

MP3 player เดี๋ยวนี้มือถือก็เล่นเพลง MP3 กันได้ตั้งหลายรุ่นแล้ว ความจุก็แล้วแต่แผ่น RSD ผมเห็นในตลาดมีขายถึง 512 Mb แล้ว แข่งกับ พวกแฟลชได้สบายๆ อีกเดี๋ยวก็มีแผ่น 1 GB มาขาย

สรุปว่าอีกหน่อยก็คงทำทุกอย่างได้หมดบนมือถือเครื่องเดียว ราคาก็คงถูกกว่าไปซื้ออุปกรณ์แต่ละประเภทมาต่างหาก แต่จะมีใครนึกถึงข้อเสียกันบ้างไหมครับ

ข้อเสียข้อแรก ถึงมือถือจะทำได้ทุกอย่างในอนาคตอันใกล้ แต่ก็คงจะทำหน้าที่แต่ละอย่างได้ไม่ดีนัก อย่างกล้องถ่ายรูป ถึงจะเพิ่มความละเีอียดขึ้นได้เรื่อยๆ แต่ซูมก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ ส่วนมากก็จะได้แต่ซูมดิจิตอล ซึ่งไม่ใช่ซูมจริง จะเอาซูมจริงๆมาใส่ ขนาดกล้องก็ต้องใหญ่ขึ้น ก็คงจะพกไม่สะดวก แฟลชที่มากับกล้อง ส่วนมากก็ตัวเล็ก ระยะที่จะใช้แฟลชได้ดีอย่างมากก็ไม่เกิน 2-3 ฟุต ซึ่งว่ากันจริงๆก็ใช้ในที่มืดได้ไม่ค่อยดี จะเอาแฟลชดี มีประสิทธิภาพ ก็ต้องหาแบบตัวใหญ่หน่อย ก็เอามาใส่ในกล้องไม่ไหว สรุปว่ากล้องในมือถือมีประโยชน์แค่เป็น snapshot จะเอารูปดีๆ สวยๆ เหมือนกล้องจริงก็คงเป็นไปไม่ได้

Pocket PC ก็เหมือนกัน ถึง smart phone จะทำได้สารพัดยังไง จอก็ยังเล็กอยู่มาก รุ่นที่จอใหญ่ๆ ดูรูป ดูหนัง ได้ง่ายๆ อย่าง O2 หรือ O2 Mini ถ้าต้องพกตลอดเวลาเหมือนมือถือทั่วๆไป ก็จะรู้สึกว่าเทอะทะ ไม่คล่องตัว แล้วถ้าจะเอามาใช้งานจริงๆ อย่าง word excel ฯลฯ ก็จะเห็นว่าจอเล็กเกินกว่าที่จะทำงานได้ง่ายๆเหมือนอย่างในคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ smartphone ส่วนมาก ยังไม่ได้ใช้ stylus ในการใส่ข้อมูล ต้องมาคอยนั่งจิ้มแป้นกด ซึ่งถ้าใช้เป็นเวลานาน ก็จะรู้สึกรำคาญมากเหมือนกัน

ส่วนเครื่องเล่น MP3 นั้น แน่นอน ก็ต้องดูที่คุณภาพเสียงและปริมาณความจุ เรื่องของความจุนี่ ซักวันมือถือก็อาจจะมีความจุเยอะๆได้เหมือน iPod แต่คุณภาพเสียงจะเป็นยังไง คงต้องดูกันต่อไป

ข้อเสียข้อที่สอง ของการรวมอุปกรณ์ต่างๆไว้ในมือถือเพียงอย่างเดียว คือความปลอดภัยของข้อมูล ลองคิดดูว่า ถ้าคุณเอา address book, เพลง, รูป, ตารางนัดหมาย, ฯลฯ ใส่ไว้ในโทรศัพท์เครื่องเดียวหมด เกิดโทรศัพท์หายขึ้นมา จะทำยังไงกัน บางคนอาจจะบอกว่า ก็ back up ข้อมูลใส่คอมพ์ไว้แล้ว จะต้องกลัวอะไร แต่ในความเป็นจริงนะครับ คนส่วนมากไม่ได้ back up ข้อมูลกันตลอดเวลาอย่างที่ควรจะทำกันหรอก นึกได้เมื่อไหร่ก็ทำเสียทีหนึ่ง เกิดคุณเอาอะไรต่ออะไรใส่ในโทรศัพท์ แล้วลืม back up ซักอาทิตย์นึง แล้วบังเอิญโทรศัพท์หายขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้น และถึงคุณจะ back up ข้อมูลแล้ว แต่คนที่เอาโทรศัพท์คุณไป ก็จะได้ข้อมูลที่อยู่ในนั้นสารพัด ซึ่งก็มีผลต่อความปลอดภัยของคุณและครอบครัวได้อยู่ดี ในขณะที่ถ้าคุณแยกประเภทของข้อมูลและชนิดของอุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลนั้นออกจากกัน คุณจะไม่มีปัญหาปวดหัวแบบนี้ เพราะถ้า MP3 player คุณหาย คุณก็เสียแต่เพลง ถ้าโทรศัพท์คุณหาย คุณก็เสียแต่ address book ถ้า pocket pc คุณหาย คุณก็หายแต่ตารางนัดหมาย (หรืออะไรก็ตามที่อยู่ในนั้น) แต่อย่างน้อย คุณก็ยังมีเบอร์โทรที่คุณจะติดต่อใครต่อใครได้อยู่

ข้อเสียข้อสุดท้ายที่ผมจะพูดถึง (จริงๆมีอีกหลายข้อ) คือจุดอ่อนสำคัญที่สุดของโทรศัพท์ (และอุปกรณ์อิเลคโทรนิคแบบพกพาทั้งหลาย) นั่นก็คือ อายุของแบตเตอรี่ ทุกวันนี้ โทรศัพท์มือถือ ถ้า standby เฉยๆก็อาจจะอยู่ได้หลายวัน แต่ถ้าเริ่มคุย ส่วนมากก็จะอยู่ได้แค่ 5-6 ชั่วโมงเท่านั้น ลองคิดดูว่า ถ้าคุณเอาไปดูหนัง ฟังเพลงด้วย แบตโทรศัพท์ของคุณจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ Pocket PC ส่วนมาก ดูหนัง่ได้ 4-6 ชั่วโมง แต่นั่นคือ ไม่ได้เปิด standby ไว้ ถ้าต้อง standby เหมือนโทรศัพท์ ก็คงจะอยู่ไม่ได้นานอย่างนั้น เครื่องเล่น MP3 ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ตราบใดที่บริษัททั้งหลาย ยังคิดค้นแบตที่ใช้งานติดต่อกัน ทั้งดูหนัง ฟังเพลง คุยโทรศัพท์ แล้วยังอยู่ไ้ด้เป็นวันๆละก็ ผมว่าการเอาอุปกรณ์ทั้งหมดนี้มารวมกันก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอกครับ มีแต่จะรำคาญเปล่าๆ เพราะต้องคอยชาร์จแบตอยู่เรื่อยๆ อาจจะวันละสองสามครั้ง

ก็ฝากไปคิดดูครับ

Internet Explorer ใช้ความสามารถของ Tabbed Browsing ได้แล้ว !!!

เข้าไป Download ได้ที่ http://toolbar.msn.com/ นะครับ

แต่ผมคงไม่ใช้เพราะว่ามีความสุขดีกับ firefox หุๆๆ

คุณสมบัติก็ดั่งด้านล่างนี้

* NEW! Browse smarter with tabs – Switch between Web sites within the same Internet Explorer window
* NEW! Find anything – Search the Web any time, anywhere, and easily locate documents, e-mail messages, and more on your PC
* Shop faster – Fill out online forms with one click
* Access MSN services – Get one-click access to Hotmail, MSN Messenger, and MSN Spaces

วิเคราะห์ Apple Switch IBM to Intel.

เป็นข่าวใหญ่อีกข่าวแล้ว สำหรับโลกของไอที หลังจาก IBM ขาย PC Think Family Division ให้กับ Lenovo และ Adobe ซื้อ Macromedia

คราวนี้ Apple ผู้ผลิต Personal Conputer ภายใต้ชื่อว่า Macintosh หรือเรียกสั้นๆ ว่า Mac โดยใช้ระบบ Operating Systems ในชื่อว่า Mac OS ซึ่งในรุ่นปัจจุบันที่เพิ่งเปิดตัวไปคือ Mac OS X Tiger ซึ่ง X (อ่านว่า “เท็น” อ่านตามภาษาโรมัน) นั้นก็คือ 10 หรือรุ่นที่ 10 และ Tiger คือ Codename ในการพัฒนา ซึ่งอยู่ในสายการผลิตที่ 10.4 นั้นเอง

หลังจากการเปิดตัว Mac OS X Tiger มาไม่นาน โดยพัฒนาการอย่างยาวนานโดยใช้ฐานการพัฒนาจาก BSD Base ซึ่งเป็นกลุ่มของ Operating Systems ของฝ่าย OpenSource Software นั้นเอง

ในความคิดของผมนั้น การที่ Apple ย้ายการใช้ Chip จากผู้ผลิตอย่าง IBM มาเป็น Intel แถมด้วยสถาปัตยกรรม x86 อีกต่างหากเนี่ยน่าจะเป็นหลายปัจจัยด้วยกัน อย่างแรกคือในตอนนี้ Apple นั้นได้รับผลกระทบต่อการล่าช้าของการออกสินค้ารุ่นใหม่ๆ ของ IBM รุ่น PowerPC G5 นั้นเอง การไม่สามารถ หรือไม่เร่งพัฒนาความสามารถหรือความเร็วในการทำงานของ G5 ได้ตามที่ Apple ต้องการประกอบกับการใช้พลังงานของตัวระบบที่นำมาสนับสนุนที่มาก รวมถึงความร้อนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ไม่สามารถนำมาใส่ใน PowerBook รุ่นต่อไปได้ ทำให้ Apple น่าจะเห็นทางตันในการนำ G5 ของ IBM มาพัฒนาต่อหรือทำให้ใช้งานได้ทั้ง Desktop, Server, Laptop และ Mobile Portable อื่นๆ ในอนาคต เพราะผมคาดว่า Apple น่าจะทำ Tablet PC หรืออุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กๆ ออกมานอกเหนือจาก iPod และ PowerBook/iBook คาดว่าน่าจะได้เห็น PDA จาก Apple ในเร็วๆ นี้ เพราะตอนนี้ตลาด MP3 Player ที่มี iPod เป็นหัวเรือใหญ่นั้น เริ่มถึงจุดคุ้มทุน รวมถึงอิ่มตัวในด้านเทคโนโลยีในอีกไม่นานนี้แล้ว ซึ่ง Apple อาจจะกำลังหาสิ่งใหม่ๆ ที่มากระชากตลาดอีกครั้ง ไม่แบบ Think Different นั้นเอง

แต่ Apple ไม่ใช่ PC ที่ใครๆ ก็เอา Windows มายัดลงไป หรือเอา Mac OS X ไปยัดใส่ PC ธรรมดาได้ง่ายๆ ผมคาดว่า Apple จะทำ ระบบ Hardware ต่างๆ แบบระบบปิดเหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยน CPU และรับบการทำงานร่วมกันไปในทางที่ดีขึ้นโดยไม่ปล่อยให้เกิด Mac Clone เกิดขึ้น เพราะ Apple มีจุดเด่นที่มี Hardware ที่เป็นระบบปิด ได้รับการพัฒนาเฉพาะแบบ เพื่อ Mac OS จะได้ทำงานได้อย่างราบรื่น และไม่มีปัญหาแบบ Driver ร้อยพ่อพันแม่้ แบบ Windows แล้วทำให้ ระบบ OS ล่มไป ซึ่งทำให้ระบบ System มีความเสถียรภาพ หมดปัญหาการเข้ากันไม่ได้ของ Hardware ซึ่งเป็นปัญหาทางด้านของ PC ทั่วไปเจอ แล้ว Apple มีระบบ Opersting System (OS) ที่ดี และเข้าใจง่ายตรงไปตรงมา มีโปรแกรมที่ทำงานร่วมกับระบบ OS ที่ดี และใช้งานง่ายกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ผมยังไม่เชื่อว่า Apple ที่เป็นผู้ผลิต Hardware แล่้วขายพ่วง Software ราคาถูกเพื่อให้ผู้ใช้ซื้อ Hardare ที่มีราคสูง และมีประสิทธิภาพสูง ไปใช้ แล้วจะกระโดดมาทำแต่ Software หรืออุปกรณ์เสริม อย่างที่หลายๆ คนคิด

แต่ที่แน่ๆ ความเป็น Apple นั้นก็ยังคงเป็น Apple อยู่ รูปลักษณ์ของตัว Hardware ที่ดูโดดเ่ด่นกว่าผู้ผลิตรายอื่นเป็นสิ่งที่ได้เปรียบอย่างมากในการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ โดยคนที่ใช้ Mac บางกลุ่มซื้อมาใช้งานและติดใจนั้น ในครั้งแรก ซื้อเพราะ “สวย ทันสมัย เท่” มาก่อน ซึ่งนี่เป็นเหมือนเอกลักษณ์ ในจุดหนึ่งเลยทีเดียว

อีกเรื่องที่ผมเพิ่งคิดออก

การที่ Apple ย้ายการใช้งาน CPU จาก IBM มา Intel น่าจะมาจากต้นทุนการผลิตตัวสินค้า ผมว่า Apple ต้องการแข่งขันในตลาดไปในทางที่ดีกว่านี้ ตอนนี้ Apple ไม่ต้องการขายแค่ Stable หรือเสถียรภาพอย่างเดียวแล้ว Apple มองกว่า ยิ่งคนใช้ iPod มากเท่าไหร่ ก็อยากจะมาใช้ Mac มาเท่านั้น จากข่าวเก่าๆ ก็เห็นว่าคนใช้ Mac มากขึ้นเพรา iPod แต่ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ซื้อนั้นติดที่ราคาค่าตัวของ Mac ที่สูงกว่า PC ทั่วๆ ไปอยู่พอสมควรทีเดียว

ทำไมผมมองว่า iPod คือตัวชูโรง ผมอยากให้มองแบบนี้ว่า iPod คือเครื่องเล่นเพลง คนฟังเพลงมากกว่าคนใช้คอมพิวเตอร์มากครับ การที่ iPod มีส่วนแบ่งมากถึง 70% ในตอนนี้ (07/06/2005) นั้น ถ้าสินค้าที่ต่อพ่วงกับ iPod นั้นคือ Mac นั้นหมายถึงการเข้ากันได้ของตัวสินค้า คลายๆ กับ Sony นั้นหล่ะครับ ถ้า Mac ราคาถูกลงอย่างน้อยๆ สักลงมาสัก 60% – 75% ของราคาปัจจุบัน น่าจะมีการตัดสินใจซื้อมากขึ้นด้วยซ้ำไป ผมไม่คิดว่ากำไรจะน้อยลง แต่มากขึ้นด้วยเพราะต้นทุนลดลง ทำใ้หลดราคาลงมาได้อีกนี่เป็นผลดีกับ Apple เองครับ

แล้วสำหรับผู้ใช้เก่าๆ นั้นผมคิดว่ามากกว่า 80% คงทำใจได้ เพราะส่วนใหญ่ที่ใช้ก็ไม่ได้คิดว่ามันคือ PowerPC G5 จาก IBM หรือ Pentuim 4 จาก Intel ถ้าทุกๆ อย่างที่เคยใช้ หรือทำงานมันเหมือนๆ กันทุกอย่างไม่ต่างกัน เสถียรภาพเท่าเิดิม เหมือนตอน Motolora มา IBM ผมว่าทุกอย่างย่อมกลับเข้าที่เข้าทางของมันเองในไม่ช้าครับ ผมว่ามันเป็นเรื่องของการผลิต ยังไงคนใช้ก็ต้องใช้กันต่อไป

ถ้าเสือมันตระคุบเหยื่อได้อย่างที่เสือทำกันมาจากรุ่นพ่อรุ่นแม่แล้ว มันก็คือเสือ ไม่ใช่แมว ….. ;)

จาก Yahoo News เรื่อง Apple Announces Switch to Intel Chips

อะไร ๆ บนโลกนี้ก็เป็นไปได้ Everythings is possible.

จากข่าว

Apple Announces Switch to Intel Chips

มันกลายเป็นจริงเสียแล้ว ลองดูรูปที่ http://news.yahoo.com/photos/sm/events/tc/101603apple/p:1

เห็นแล้วอึ่ง ๆ เล็ก ๆ กับการที่ Mac OS X Tiger 1.4.1 มัน ทำงานบน Pentuim 4 นี่ดิ แหม ทำไปได้ …..

จากเว็บ Apple เองเลยครับ

Apple to Use Intel Microprocessors Beginning in 2006

http://www.apple.com/pr/library/2005/jun/06intel.html

ไว้ถ้ามีเวลาจะบอกเล่าให้ฟังแล้วกัน ไปนอนดีกว่า …..