ความสำเร็จของการงานบางอย่างเรียกร้องความโดดเดี่ยว ถนนบางสายจำเป็นต้องเดินเพียงลำพัง

เป็นบทความที่ผมเคยโพสใน Multiply แต่ไม่ได้นำมาไว้ใน Blog ตัวเอง แต่ผมขอนำมาบางส่วน ถ้าอยากอ่านเต็มๆ ก็แนะนำให้อ่านที่ต้นฉบับได้เลย

ยุทธนา อัจฉริยวิญญู ช่างภาพไทยในสนาม National Geographic
เรื่องและภาพ วรพจน์ พันธุ์พงศ์
– ตีพิมพ์ครั้งแรก: นิตยสาร Image
– เผนแพร่บนเว็บที่ onopen (http://www.onopen.com/2006/editor-spaces/591) เมื่อ 22/05/2006 เวลา 11:26

ส่วนที่จับใจผมที่สุดคงเป็นตอนท้ายของเรื่อง เลยนำมาแบ่งปันกัน

“อะไรที่ทำให้งานของฝรั่งเจ๋ง”

ทุกเรื่อง ว่ากันตั้งแต่พื้นฐาน การเงิน ความเข้มแข็ง หัวใจ ความมุ่งมั่น ปัญหาครอบครัวไม่มี เมียเลิกหมด (หัวเราะ) บางคนพาเมียไปด้วย บางคนต้องเลิก นี่เรื่องจริง เพราะต้องเสี่ยงตาย และส่วนใหญ่พวกนี้บ้างานมากเกินไป มันอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีผู้หญิงที่ไหนเข้าใจหรอก

เรื่องที่เต้นเร่าอยู่ในหัวใจ หรือความท้าทาย ณ วันนี้ของช่างภาพหนึ่งเดียวของ National Geographic ประเทศไทย คือการลงไปบันทึกภาพเหตุการณ์ 3 จังหวัดภาคใต้ เขากำลังรอโอกาสนั้นอย่างใจจดใจจ่อ

ถามว่ากลัวไหม ก็กลัว ใครบ้างจะไม่กลัว ทุกคนมีชีวิตจิตใจ มีคนรัก มีความผูกพัน แต่เขาคิดว่ามันจำเป็น ถ้ามีโอกาสก็ต้องทำ

“สัญชาตญาณบอกเองว่าเป็นหน้าที่ของเรา ผมว่ามันน่าอายนะครับสำหรับคนที่พูดว่าตัวเองเป็นสื่อ หรือเป็นช่างภาพ แต่ไม่มีสัญชาตญาณ” เขาจอดรถให้ดูกวางข้างทาง

“ผมไม่ใช่ช่างภาพสารคดี ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น ผมเป็นช่างภาพ ถ่ายดอกไม้ ถ่ายคน ถ่ายอะไรก็ได้ทั้งนั้น” ยุทธนา อัจฉริยวิญญู บอกผม ก่อนเปิดประตูรถเดินลงไปมองเทือกทิวเขา

นับวันช่างภาพหนุ่มคงเดินออกจากห้องแอร์มากขึ้นอย่างที่ใครเขาว่าจริงๆ ยิ่งก้าว ก็ยิ่งไกล

ไกลห้องแอร์ แต่ใกล้ความฝัน—ความฝันอันเกิดจากความสุขจากการทำงานหนัก

ผมนึกถึงคำของเขาเรื่องทำงานคนเดียว ยิ่งสังคมมากเท่าไร โอกาสถ่ายภาพก็ยิ่งลดน้อยลง และนั่นคงไม่ต้องพูดถึงชิ้นงานที่สมบูรณ์ น่าพึงพอใจ

อาจจะใช่, ความสำเร็จของการงานบางอย่างเรียกร้องความโดดเดี่ยว ถนนบางสายจำเป็นต้องเดินเพียงลำพัง คิดค้น ต่อสู้ ด้วยตัวคนเดียว

คนเดียวที่ไม่ใช่ไม่มีใครอยากข้องเกี่ยว และยิ่งไม่ใช่ ‘คนเดียว’ ในความหมายที่ไม่มี ‘คนรัก’

ไอ้พวกนี้ทำสังคมตากล้องเสื่อมเข้าไปทุกวัน

จากกระทู้ (ขอเอาที่โพสมาเก็บไว้สักหน่อย คิดว่าสักพักกระทู้นี้คงหายไปเพราะอายุกระทู้ของ pantip.com)

ขอถามช่างภาพหน่อยค่าเรื่องชวนนางแบบออกทริป(สงสัย)
http://www.pantip.com/cafe/camera/topic/O10531139/O10531139.html

ในฐานะที่รู้จักนางแบบอยู่พอสมควร และเชิญน้องๆ มาออกทริปบ่อยๆ ทั้งประกาศและส่วนตัวนะ

1. วันและเวลาที่ถ่าย (ต้องถามก่อนเลย เพราะสำคัญมาก น้องๆ บางคนคิวทองและงานเยอะ)
2. แนว concept ที่จะถ่ายว่าแนวไหน เสื้อผ้า หน้าผม แนวไหน (บางคนบางแนวเค้าไม่มั่นใจ ถ่ายออกมาจะไม่สวย)
3. แล้วสถานที่ถ่ายห้องพัก, ออกแดด หรือในร่ม ทุกอย่างต้องบอก น้องบางคนไม่รับถ่ายในห้องพักโรงแรม หรือออกแดดนานเกินไป อันนี้ต้องบอกให้ชัดเจน รวมถึงที่อยู่ที่ชัดแจนของสถานที่ที่ถ่าย และการเดินทาง (สำคัญมาก เพราะบางคนแฟนไปส่ง หรือพ่อแม่มารับ-ส่ง เพราะงั้นต้องชัดเจน แต่บอกทีหลังได้ แต่ถ้าบอกทีหลังต้องสนิทกันสักหน่อยไม่งั้นต้องใจให้เค้าก่อนคือระบุชัดเจน)
4. จำนวนตากล้องที่ถ่ายแน่ชัด ว่าถ่ายกี่คน อาจจะไม่ต้องบอกว่าใครบ้าง แต่อย่างน้อยๆ เราก็ต้องรู้ว่าเคยมีปัญหากันมาก่อนหรือเปล่า อย่างน้อยๆ เวลาถ่ายจะได้ไม่นอยกัน (กรณีทริปส่วนตัว ไม่ใช่เป็นการเป็นงาน หรืองานถ่ายโฆษณาหรือลูกค้าจ้างมา)
5. สอบถามค่าตัว เพราะทุกอย่างครบ วัน-เวลา สถานที่ concept ก็ได้เวลาให้เค้าคิดเอง อาจจะไม่ตกลงทันที แต่ก็ให้เวลาเค้าตัดสินใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะตอบรับบอกค่าตัวมาเลย (เกือบจะ 100% จะตอบทันที)

ขั้นตอนผมเวลาจัดทริปก็ประมาณนี้ ไม่เคยห้ามนางแบบพาใครมา จะแฟน พ่อ-แม่ คนในครอบครัว ตามสะดวก ขออย่าวุ่นวายหรือบังมุมตอนถ่ายรูปก็พอ (เดินมาดูก็ได้ ไม่ว่า) คือเราสะดวกใจ สบายใจ ทั้งสองฝ่าย จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง น้องๆ ไว้ใจ ครอบครัว แฟนเค้าก็ไว้ใจเรา ทำงานครั้งต่อๆ ไปก็สบายๆ คุยกันง่ายครับ

ผมแนะนำว่าถ้าเค้าไม่ให้พาใครไป หรือให้เราไปคนเดียวจริงๆ แนะนำว่าไม่ต้องรับครับ ค่าตัวอาจจะเยอะจนคิดว่าทำงานทั้งเดือนอาจจะได้ไม่เท่านี้ ก็ลองชั่งใจดู แต่ผมแนะนำว่าอย่า มีกรณีแบบนี้อยู่บ่อยๆ ได้ไม่คุ้มเสียกันมาเยอะแล้วทั้งนั้น -_-“

ทวีตเกี่ยวกับงานมอเตอร์โชว์ช่วงเช้านี้ทั้งหมด

ไม่ได้เป็นโน๊ตแก้ต่าง แต่เป็นโน๊ตระบาย ขอพูดบ้าง

ส่วนตัวก็ไปถ่ายงานมอเตอร์โชว์ (แน่นอนหลักฐานเต็ม Flickr) แต่ไม่ถูกต้องที่ออกมาประนามตากล้องแบบเหมารวมและหลายอย่าง "เว่อร์เกินไป"

การแสดงโชว์บรรยายของพริตตี้ เขามีความประสงค์เพื่อโชว์ และเมื่อใครก็ไม่ควรขึ้นเวที ในเวลานั้น การจะขึ้นไปยืนคุยกับ เซล ในเวลานั้นบนเวที ถ้าเป็นจริงจึงเป็นข้อมูลที่ "เว่อร์เกินไป"

ขอยกตัวอย่าง “การท่องเที่ยวที่อื่นๆ” กล้าพูดได้เต็มปากว่า สถานที่ท่องเที่ยวดังๆ ที่พวกคุณไปเที่ยวกันนั้น ล้วนมาจากแรงจูงใจ ที่ช่างภาพ ไปถ่ายภาพมา โดยภาพที่ถ่ายมาแล่้วเอามาลงในเว็บ ในนิตยสาร และตามที่ต่างๆ ทำให้คนอยากไปเที่ยว พอคนไปเที่ยวมาก ตากล้อง กลายเป็นของเกะกะ ไปแทน

งานมอเตอร์โชว์ ที่คนพูดถึงกันมากมาจากการประชาสัมพันธ์ คือคนจัดงาน เน้น พริตตี้ เพื่อให้คนมาถ่ายภาพ ไปทำการประชาสัมพันธ์ แบบบอกต่อ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ซึ่งหัดถ่ายภาพกันใหม่ๆ ก็อาศัยกระแสนี้ เพื่อไปหัดลองฝีมือ ผลพลอยได้คือ เป็นการประชาสัมพันธ์งานไปในตัว และสุดท้ายก็เหมือนเดิม ตากล้อง กลายเป็นของเกะกะ ไปตามระเบียบ

ส่วนตัวแล้วนั้นไปเป็นผู้ช่วยทริปถ่ายรูปบ่อยๆ ไม่ว่าจะถ่ายภาพนางแบบในชุดไทย ชุดเต็มตัว หรือชุดพริตตี้ ทำให้คนที่อยู่ข้างหน้าจะไปบังคนอยู่ข้างหลังครับ ต้องบอกให้คนถือกล้องแถวหน้านั่งลง เพราะบังกัน ตรงนี้จึงเป็นที่รู้กันว่า คนแถวหน้าต้องนั่งลง การที่คนแถวหน้านั่งลง จึงกลายเป็นภาพที่ มองแล้ว กลายเป็นตากล้องหื่น เพราะที่จริง ชุดที่พริตตี้ใส่มานั้น ไม่ต้องนั่งถ่าย ก็หวิวอยู่แล้ว

การที่โดนกระแทก โดนเลนส์นั้น ถือว่า คนหมู่มาก ก็มีกระทบกันมั่ง เหมือนกับ มหกรรมทั่วไป ขนาดผมถ่ายงานที่ได้รับมอบหมายอย่างชัดเจนจากเจ้าหน้าที่หรือเจ้าของงานอยู่บ่อยครั้ง ยังมีกระทบกระทั่งอยู่บ้าง (ป้ายห้อยคอชัดเจนว่าเป็น Staff หรือ All Area) แต่แน่นอนว่างานมันมีคนเบียดเสียดยัดเยียดกระทบกัน บางครั้งหนักนิดเบาหน่อย ขอกัน เตือนกันได้ ยิ่งพวกเลนส์โตๆ นั่น ของรักของหวง เขาไม่อยากให้ไปกระทบกับอะไรอยู่แล้ว (บางตัวแพงกว่าค่าดาวน์รถในงานอีก)

อีกอย่างคือ ผมก็เห็นภาพชุดพริตตี้ ที่เอามาโชว์กันในบอร์ดต่างๆ ส่วนใหญ่ “ก็ไม่มีลักษณะ ภาพของ ตากล้องหื่น ตากล้องบ้ากาม” เหมารวมที่เค้าถ่ายกันดีๆ ดูจะเป็นการพูดเกินจริงไปหน่อย

ส่วนตากล้องเองนั้น เมื่อจำนวณเยอะขึ้น คนมากขึ้นเราก็ควรเกรงใจเค้าก่อน เหมือนรถมอเตอร์ไซต์ 2-3 คันขี่กันมาก็คงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นหลักสิบ หลักร้อยก็กลายเป็นขี่กวนเมืองได้ ก็ควรจะระวังและใส่ใจในส่วนนี้ให้มากขึ้น คงไม่ต้องให้เค้ามาเกรงใจเราก่อนหรอก ถ่ายรูปในงานต่างๆ ก็เดินให้มันระวังๆ หน่อย ไม่ใช่อยากเดินตรงไหนก็เดิน ชนใครก็ชน เค้าจะมาด่าเราในเน็ตอีกเรื่อยๆ เห็นทุกปี ก็โต้ไปโต้มาทุกปี อ่านแล้วก็เซง ไอ้เราก็ถ่ายรูปทำตัวเนียนๆ ยังโดนด่าเหมารวมลับหลังทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ไปเหยียบเท้าใคร เอาเลนส์ไปกระแทกหัวใคร หรือไปเดินเบียดใครให้เค้าต้องมาบ่น แต่ก็โดนเพราะ "ตากล้องเลนส์ยาวๆ" อ่านก็ได้แต่เซง (ก็ผมใช้ 80-200mm f/2.8 นี่ มันก็โดนผมด้วย!!!)

สำหรับคนที่จะไปซื้อรถ แต่ถ้าตั้งใจซื้อรถจริงๆ ส่วนใหญ่แล้ว เซลจะเชิญคุณไปคุยที่โต๊ะรับรองลูกค้าด้านใน ซึ่งแยกต่างหากชัดเจน มีขนม น้ำ ให้กินเล่น ไม่ต้องยืนคุยกันข้างรถโชว์เลยครับ ถ้าต้องการดูโน้นนี่ในตัวรถอาจจะไปดูที่รถโชว์ได้ แต่ต้องดูจังหว่ะ ว่าไม่ชนกับเวลาโชว์ของบูทเค้า ซึ่งถ้าดันไปอยู่ในจังหวะนั้น เดินดูรถก็จะถูก เจ้าหน้าที่หรือเซลของบูทเชิญออกมายืนรอบนอก หรือไปที่โต๊ะรับลองอยู่ดี (ตากล้องก็ไม่เว้น) เพราะงั้นก็ต้องเข้าใจเค้าด้วย ไม่ใช่จะตามใจฉันอย่างเดียว

โดยแต่ละบูทในงานมอเตอร์โชว์นั้น รอบพรีเซ้นจะใช้เวลา 10-15 นาที ทุก 1-2 ชั่วโมงอยู่แล้ว มีป้ายบอกชัดเจน ระหว่างนั้นถ้าไม่อยากโดนเบียดก็คงต้องเลี่ยงๆ เอาครับ งานคนเยอะ สถานที่แต่ละบูทมีจำกัด เวลาแต่ละช่วงของการพรีเซ้นของเค้าก็จำกัดและมีค่าเช่นกัน เพราะงั้นต้องหูไวตาไว

ถ้าทุกคนถ้อยอาศัย กัน เกรงใจกัน ก็คิดว่าปัญหามันคงไม่เกิด แต่เพราะต่างคนต่างอ้างว่าตัวเองมีสิทธิ์เหนืออีกคนทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว ก็ยืนอยู่ในฐานะเดียวกันในเวลานั้น คนถือกล้องบางคนก็อาจจะกำลังดูรถหรือยี่ห้อนั้นๆ ที่กำลังจะซื้ออยู่ก็ได้

ทวีตเกี่ยวกับงานมอเตอร์โชว์ช่วงเช้านี้ทั้งหมด ข้อความบ้างส่วนอ้างอิงแนวคิดและวิธีคิดของ น้ามังกรดำ ด้วย

มุมมองที่แตกต่าง “มันเป็นรูปอะไรไม่รู้ ที่ไม่เคยเกิดและก็ไม่มีวันจะเกิดในชีวิตเค้า”

อ่านแล้วสะอึก

เคยไปงานหนึ่ง เจ้าบ่าวเล่นกล้อง ถ่ายงานแต่งมาพอสมควร

แต่รูปที่โชว์ในงานเป็นรูปบ้านๆ มากเลย ถ่ายด้วยกล้อง compact บ้าง ไม่ชัดบ้าง นั่งทื่อๆ ตรงๆ
เจ้าบ่าวเห็นผมดูรูปอาการงงๆ ก็คงเดาใจได้ ก็เลยขำ แล้วบอกว่า รูปพวกนี้น่ะไม่สวยหรอก แต่เป็น moment พิเศษ ที่เค้าได้ใช้เวลากับเจ้าสาว เค้าไม่ได้อยากได้รูปอลังการ ใส่ชุดแต่งานไปยืนริมทะเล หรือในทุ่งหญ้า แยกแฟรช 5 ตัว 3 สี เพราะนั่นมัน มันเป็นรูปอะไรไม่รู้ ที่ไม่เคยเกิดและก็ไม่มีวันจะเกิดในชีวิตเค้า

เค้าอยากได้รูปที่คนในงานรู้ว่าเค้า 2 คน รักกันขนาดไหน ใช้เวลาด้วยกันขนาดไหน กว่าจะมีวันนี้

บางครั้งเราอาจจะมองในสายตาช่างภาพ รูปออกมาไม่สวย (ในแนวที่เราชอบ)

แต่รูปนั้อาจจะเป็น moment พิเศษ ของคู่บ่าวสาวก็ได้ครับ

รูปจะออกมายังไง บ่าวสาว Happy คือที่สุดครับ : )

จากคุณ : +One Side Love+
เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 54 14:09:38

จาก http://www.pantip.com/cafe/camera/topic/O10364066/O10364066.html

อืมมม จริงแฮะ ….

มุมมองคนเราต่อชีวิตมันไม่เหมือนกัน …. แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราก็มักจะมองข้ามมันไป

เรื่องราวของกระเป๋ากล้อง

จากประสบการณ์การถ่ายรูปอันน้อยนิด (ประมาณ 2 ปี) เรื่องที่มันจบได้ยาก ไม่ใช่แค่เรื่องราวของกล้องและเลนส์ เป็นก็รวมไปถึงกระเป๋าด้วย แน่นอนคนถ่ายรูปนั้น ถ้าเป็นพวกจริงจังกับชีวิต ผมเชื่อว่ามันไม่จบในใบเดียวหรอกครับมันต้องมีหลายๆ แบบในหลายสถานการณ์แน่นอน ยิ่งถ่ายงานพิธีต่างๆ อาจจะรวมถึงสายคาดเอวและเพ๊า/กระบอกที่ใส่เลนส์

กระเป๋าใบแรกผมเป็นแบบสะพายข้าง/ไหล่ หรือ Shoulder bag

imageimage

– แบบนี้มันก็คล่องตัวดีนะ หยิบจับของง่าย เปลี่ยนเลนส์ได้เร็วดี มีกระเป๋าแนวๆ เท่ห์ๆ มีให้เลือกเยอะ ข้อเสียคือปวดไหล่สุดๆ ในทริปหรืองานที่ต้องยืนระยะนานๆ ยิ่งของหนักๆ เดินทั้งวันเมื่อยไปถึงเอว นานๆ หลังอาจจะเสียได้ ด้วย จริงๆ ผมหมายรวมถึงแบบกระเป๋าลูกครึ่งสะพายหลังแนวเฉียง หรือ Sling Bag ด้วยนะ เพราะสะพายแบบไหล่ข้างเดียว แน่นอนดีต้องที่มันไปอยู่ด้านหลัง เวลาใช้งานก็เหวี่ยงมาด้านหน้า เปลี่ยนเลนส์เสร็จแล้วก็วกกลับไปด้านหลัง เนื่องผมมี Lowepro SlingShot 200 AW นี่เข้าใจเลย ใส่ของเยอะๆ ชักเริ่มไม่ไหว ยิ่งแนวสะพายแบบเฉียงนี่แล้วใหญ่เลย มันสลับข้างไม่ได้ ใช้ในทริปที่เดินทั้งวัน กลับมานี่ไหล่ทรุดไปข้างเลย หลังจากนั้นเข็ดเลยกับการต้องให้ไหล่แบกรับน้ำหนักนานๆ

กระเป๋าสะพายหลัง(เป้) หรือ Backpack

image image
– แน่นอนว่ามาลบข้อเสียของแบบสะพายข้าง/ไหล่ ได้ดีเพราะไหล่ทั้งสองข้างช่วยกันรับน้ำหนัก ไปไหนมาไหนสะดวก ไม่เมื่อยไหล่ คล่องตัวมาก ในการเดินทาง ข้อเสียคือหยิบไม่สะดวกเลย ยิ่งเปลี่ยนเลนส์บ่อยๆ ลำบากใช้ได้ แม้จะมี Fastpack ที่เป็นลูกผสมของ Sling Bag กับ Backpack คือใส่ของด้านข้าง แบบ Sling และขึ้นไหล่แบบ Backpack แต่ความจุก็ไม่เยอะ อาจจะเพราะข้อจำกัดในการออกแบบด้วย มันเลยได้แค่นั้น เหตุที่ทราบเพราะผมมี  Lowepro Fastpack 250 ที่ใส่ Notebook ได้ด้วย ตอนนี้ก็ยังใช้อยู้เป็นประจำ ในกรณีที่ต้องเอา Notebook ไปด้วย ถือว่าตอบโจทย์ได้ดี แน่มันใส่ได้น้อยไปหน่อย เลนส์ 2-3 ตัวกล้อง 1 ตัวแฟลชและ Notebook สุดท้ายผมก็เลยจัดอีกใบ คือใช้ Back Pack AW (BP-1) อีกใบนึง สำหรับใส่กล้อง 2 ตัวเลนส์ได้อีก 5 ตัวและแฟลชอีก 1-2 ตัว แต่แน่นอนว่าทั้งหมดนี่ มันไม่ได้ตอบสิ่งที่ผมใช้ได้ไม่ทั้งหมดหรอก เพราะมันหยิบเลนส์และกล้องยากอยู่ดีแหละ มันเลยต้องมีกระเป๋าเสริมครับ ;P

กระเป๋ากล้องแบบคาดเอว (Beltpack) และสายคาดเอว (ที่มีเพ๊า/กระบอกที่ใส่เลนส์)

image imageimage

– แบบนี้แน่นอนว่าได้ความสะดวก สุดๆ เหมาะกับงานที่เราต้องการความคล่องตัวสูงมากๆ และไม่ให้ไหล่มีภาระมากตลอดทั้งวัน (2 แบบแรกมันก็ยังไม่ตอบโจทย์ดีเสียคนละดอก) เพราะเราไม่ได้แบกขึ้นไหล่ แต่ข้อเสียคือยังไงก็เก็บอุปกรณืได้ไม่เต็มที่ เหมาะเป็นอุปกรณ์หรือกระเป๋าเสริมการทำงานของกระเป๋าแบบสะพายข้าง/ไหล่ หรือสะพายหลังครับ และแน่นอนว่า เมื่ออุปกรณ์น้ำหนักมากๆ ความมั่นคงเวลาคาดเอวก็จะน้อยลงพอสมควร จึงอาจจะต้องหาสายคาดไหล่ (Shoulder harness) มาคาดเป็นเอี๊ยม ไว้สักนิดให้มันรั้งๆ ไว้นิดๆ ก็จะทำให้ไม่ต้องกลัวมันจะหลุดจากเอวได้ แต่ผมไม่มี เพราะผมผูกกับกางเกง ถ้ามันหลุดคงไปทั้งกางเกง ฮาๆๆๆ ที่ผมใช้ก็ใช้ Belt และ Pouch ของ Fotofile ยกชุดเลย ของดีราคาไม่แพง ทนใช้ได้เลย

หลังจากที่ผมถ่ายรูปมา มันก็เลยลงตัวที่ Backpack + Belt/Pouch เนี่ยแหละ ตอนเดินทางก็ใส่ Backpack แล้วถือ Belt/Pouch ไป เวลาถ่ายก็เอาของทุกอย่างยัดใส่ Belt/Pouch ส่วน Backpack ก็เหลือแต่กระเป๋าโล่งๆ ถ้ามีที่ฝาก ผมก็ฝากแต่เฉพาะ Backpack ทั้งงานผมก็เดินคาด Belt/Pouch เอาสบายตัวไปเลย ไหล่ก็ไม่รับภาระหนัก ทำงานคล่องตัวด้วย