ส่งมาแล้วแผ่น Microsoft Office 2007 SB ส่งตรงจาก Microsoft Singapore

ได้มาแล้วครับหลังจากที่ได้บอกไว้ใน ว่าด้วยการซื้อซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์อย่าง Microsoft Office 2007 ใน entry เก่า ๆ ใน blog ว่าใน package ที่ผมซื้อมานั้นไม่มี Media Disc ผมเลยต้องสั่งเอาเอง ซึ่งวันนี้มาแล้วครับ ใช้เวลาสั่งรวมกับขนส่งตรงจากสิงค์โปร์ รวมเวลาแล้วประมาณ 10 วันครับ วันนี้เอารูปมาโชว์เสียส่วนใหญ่ครับ ;P

IMAG0411 IMAG0412

แกะออกมาก็แนวเดียวกับซองอันที่แล้วครับ มาเป็นแผ่นกระดาษที่ด้านในเป็นแผ่น CD ครับ

IMAG0415

Read more

ซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ที่ซื้อไปแล้ว

My Laptop

  • Microsoft Windows XP Professional OEM (มากับ Notebook คงไม่ต้องซื้อ ;P)
  • InterVideo WinDVD 5 กับ InterVideo WinDVD Creator (ของแถมจาก Multimedia Center for Think Offerings)
  • Sonix RecordNow (ของแถมจาก Multimedia Center for Think Offerings)
  • Microsoft Office 2007 Small Business OEI (7,700 THB.)
  • CuteFTP Professional 8.0 (1,985.13 THB.)
  • Copernic Desktop Search Professional 3.0 (1,745.52 THB.)
  • Acronis True Image Home 11.0 (1,596.37 THB.)
  • EditPlus 3 (1,280.73 THB.)
  • ESET NOD32 Antivirus (799 THB.)
  • FastStone Capture (670.3 THB.)
  • ThaiSoftware Dictionary 6.0 (250 THB.)

รวม 16,027.05 บาท

My Phone

  • CHM eBook Reader for Pocket PC (509.30 THB.-)

รวม 509.30 บาท

ราคาพวกนี้บางอันเป็นการคำนวณคราว ๆ จาก ณ. ตอนนั้น อย่างเช่น EditPlus นี่ซื้อตอนค่าเงินบาท 41 บาท/ดอลฯ ได้มั้ง ถ้าจำไม่ผิด ส่วนใหญ่จะซื้อผ่านเว็บไซต์ครับ ไม่ได้ผ่านตัวแทนจำหน่ายในไทยนอกจาก NOD32, ThaiSoftware กับ Microsoft เพราะว่าราคาแพงกว่าปกติแถมไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าตัวแทนจำหน่ายกินค่าหัวคิว แล้ว services ก็ไม่มี update ช้ากว่าด้วย ไม่มีอีเมลข่าวสารอะไรมาเลย อย่าง Microsoft มีเมลข่าวสารแจ้งตลอดว่ามี update ตัว patch อะไรใหม่ ๆ บ้าง (แต่ต้องสมัครเองนะ รายละเอียดจะมีตอนเราซื้อแผ่นเค้าครับ)

เหลืออีกตัวเดียวครับงานนี้ 100% Genuine PC กำลังจะมาถึงแล้ว ;P

เหตุผลที่ซื้อ Microsoft Office 2007

ไม่ใช่มาโฆษณาอะไรหรอกนะครับ แต่ต่อจากตอนที่แล้ว ว่าด้วยการซื้อซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์อย่าง Microsoft Office 2007 เป็นเหตุผลที่มานั่งคิดกับตัวเองว่าจะเสียเงินซื้อแพง ๆ ทำไมเมื่อมี OpenSource อย่าง OpenOffice.org ทำไมไม่ใช้ก็เลยเอามานำเสนอกันครับ

  • ตัว UI ตัวใหม่ใน Office 2007 ที่ชื่อ Ribbon
    • ตัวนี้สร้างความแตกต่างให้กับ Office ทุกรุ่นตั้งแต่ 97 – 2003 ทำให้การตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นกว่าเดิมครับ เพราะทำให้ต้องศึกษาใหม่ และดูน่าคุ้มค่าในการเปลี่ยนแปลงมาก ๆ รวมถึงการลงทุนที่จะซื้อมาใช้
    • ด้วยลักษณะของ icon ต่าง ๆ ที่เข้าใจง่าย (แต่ต้องเปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงด้วย) การเข้าถึงการใช้งานต่าง ๆ ที่ง่าย ถ้าใช้กันจริง ๆ ผมก็ว่าง่ายนะ ด้วยความที่ความสามารถของ Office มันเยอะมาก ๆ ใช้ Menu-bar แบบปกติคงไม่สามารถทำให้ความสามารถนั้นออกมาได้ครบเครื่องมากขึ้น
  • ผมใช้ Outlook บ่อยมากประมาณว่าใช้เป็นประจำทุกชั่วโมงในทุก ๆ วัน ตั้งแต่ตอนอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว
    • รับ/ส่งอีเมลหลาย Account (มีอยู่ 4 Account ในตอนนี้) แถมแยกและรวม Storage file ได้
    • ใช้รับ Calendar ทางอีเมล แล้วทำ Task จากอีเมลในตัว
    • ทำ Journal ตอน Meeting
    • แถม Note ใน Outlook แทนใช้ Sticky
    • รับ iCal ใน Calendar แล้วมาทำ Overlay กับ Calendar หลักของเรา (มันใช้ Feed ได้ด้วย แต่ผมแยกไปใช้ FeedDemon แทนเพราะมีความสามารถที่ดีกว่า)
    • ใช้ Google Calendar Sync เพื่อ Sync ตัว Calendar กับ Google Calendar
    • ตัว Outlook มี 3rd party software เยอะในการช่วยจัดการข้อมูล ซึ่งผมใช้ Windows Mobile เลยสามารถ Sync กับตัวมือถือได้เป็นปกติเช่น Contact, Calendar, Task และ Note ทำให้ผมมี Backup ตัวข้อมูลพวกนี้จาก PDA Phone ของผม แต่โดยความจริงอีกอย่างแล้วคือ Sony Ericsson ตัวเก่าผม W700i และ T61 ก็ใช้แบบเดียวกับแต่ Sync ได้แค่ Contact, Calendar และ Note ซึ่งก็ Sync ได้เช่นกัน แต่ทำผ่าน Software Suite ของ Sony Ericsson นั้นเอง
  • ผมติดใจ Word, Excel และ PowerPoint ในรุ่นใหม่ใน 2007 เรื่องการทำงานด้าน Graphic ของตัวเอกสารที่ดูดีกว่าเดิมมากเลย ใช้มันหมดทุกตัวเลยตอนนี้ยิ่งพวกจัดการด้านรูป การทำ effect ต่าง ๆ นี่ดูดีกว่าเดิมมากครับผมเลยคิดว่าคุ้มค่ากว่าที่จะซื้อในตอนนี้ซะเลย
  • ตัว PowerPoint ทำได้ดีมากขึ้น โดยเฉพาะ Presentation mode ที่เข้าถึงง่ายกว่าเดิม ทำให้ผู้ใช้ที่ใช้ Present ในรุ่นเก่า ๆ ได้รู้ว่ามี Presenation mode (คล้าย ๆ กับตัว Presentation mode ของ Keynote อันนี้ต้องขอบคุณ ribbon ที่ทำให้ความสามารถนี้โผล่มาให้เห็นกันแบบง่าย ๆ เพราะมันมีมาตั้งแต่ Office PowerPoint XP แล้วมั้ง ถ้าจำไม่ผิด) ทำให้จัดการ slide ได้ง่ายขึ้น ถึงแม้ว่า Transition สวย ๆ แบบ Keynote จะยังไม่มีแต่ก็มี 3rg party อย่าง PowerPlug For Power Point ของ  CrystalGraphics ที่ต้องซื้อเพิ่ม แต่โดยภาพรวมแล้วก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่ แค่ effect ปกติก็ใช้งานได้ดีอยู่แล้ว
  • การค้นหาด้วย Desktop Search นี่โดยตัว OpenOffice และ Microsoft Office นี่ตัว Microsoft Office นี่กินขาดเลยครับ เพราะทุกค่ายที่ทำ Desktop Search รองรับหมดครับ ทั้งตัวไฟล์รุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ส่วน OpenOffice นี่มี Google Desktop Search แต่ก็รองรับแบบไม่ค่อยดีนักครับ ไม่ประทับใจเท่าไหร่ และอีกตัวคือ Copernic Desktop Search ครับที่รองรับได้ดีมาก ๆ ซึ่งตัว Copernic Desktop Search นี่ผมก็ซื้อรุ่น Professional มาใช้งานในราคา 1,700 บาทเช่นกัน เพราะมันทำงานได้ดีกว่ามาก ๆ กินทรัพยากรต่ำครับ แถมรองรับการค้นหาได้ดีมาก ๆ รวมไปถึง OpenOffice ไฟลืที่ค้นหาได้ดีทั้งไฟล์แบบเก่าของ sun และไฟล์แบบใหม่อย่าง ODF ครับ
  • ระบบ Template Online ตัวใหม่ทำให้ผมหา Template สวย ๆ ใหม่ ๆ ได้ผ่านตัวโปรแกรมครับ โดยความสามารถนี้มีมาตั้งแต่ XP แล้ว แต่ว่ามาใน 2007 ต้อง Validate ตัว Office ผ่านด้วยถึงจะใช้ความสามารถนี้ได้ครับ
  • โดยส่วนตัวผมแล้วใช้ OpenOffice มาตั้งแต่อยู่ในชื่อ TLE และ Pladao Office ครับ แต่ว่าเมื่อ Office 2007 ออกมาผมก็ใช้น้อยลง ด้วยเหตุผลที่ว่าระบบการตรวจสอบคำผิดในภาษาไทยใน OpenOffice รุ่นหลัง ๆ ใน 2.3 นั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ ซึ่งผมก็แจ้งเข้าไปแล้วเช่นกัน และจากที่ได้ใช้ OpenOffice ตัวล่าสุดอย่าง 3.0 beta 1 ก็ ok นะ ยังไม่เจอปัญหาดังกล่าวนี้เลย ซึ่งโดยรวมก็ถือว่า ok นะครับ แต่ด้าน effect และ graphic คงต้องมีการปรับเปลี่ยนกันเพราะว่าตอนนี้ความแตกต่างของ OpenOffice 3.0 กับ Microsoft Office 2007 มีความแตกต่างกันเยอะแล้วครับ โดยเฉพาะตัว UI ที่ยังไมได้ปรับเปลี่ยนให้เข้าถึงความสามารถที่เยอะแยะมากมายได้อย่าง ribbon ซึ่งมันไม่เหมือนตอน OpenOffice 2.3 กับ Microsoft Office XP-2003 ที่กินกันไม่ลงและทดแทนกันได้ โดยตัวผมเนี่ยช่วงเรียนที่มหาวิทยาลัยตอนปี 2-4 นี่ใช้ OpenOffice Writer กับ Calc เป็นประจำในการทำรายงานครับ เพราะใช้งานทดแทนได้ทั้งหมดเลย ส่วน Impress สำหรับผมใช้คงทดแทน PowerPoint ไม่ได้เลยยังใช้ PowerPoint กันต่อไป
  • และเหตุผลสุดท้ายคือรับไฟล์ต่าง ๆ จากหน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆ มาถ้าเมื่อก่อนแล้วเนี่ย ผมใช้ Word/Excel/PowerPoint Viewer มาใช้แสดงผล และใช้ OpenOffice เปิดเอา (ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย) แต่มาตอนหลัง ๆ เนี่ยต้องมีการปรับแก้ผมเลยโดยบังคับกลาย ๆ ว่าต้องใช้ไปนั้นเอง เมื่อเราจำเป็นต้องใช้ในการทำธุรกิจ เราก็ต้องจำเป็นต้องซื้อ ผมมองว่าไม่มีข้อยกเว้น ผมได้แนวคิดเรื่องนี้มาจากตอนที่ไปเที่ยว ไปนั่งคิด ๆ ว่าชาวนาเค้าต้องใช้รถไถนา เค้ายังต้องซื้อมาใช้ มันจะคันละกี่หมื่นกี่แสน เค้าก็ต้องซื้อถ้ามันทำให้งานมันเสร็จเร็วขึ้น เค้าคงไม่สามารถไปขโมยมาได้หรอก มันเป็นเรื่องของเครื่องมือทำมาหากิน ยิ่งเครื่องมือในส่วนของอาชีพ IT นี่ผมว่าถ้าเทียบกับชาวนาแล้วผมว่ามันยังถูกกว่าเยอะ เค้าไม่ได้ลงทุนแค่เครื่องมือที่ผมบอกไป เค้ายังต้องไปลงทุนตัวอื่น ๆ อีก ซึ่งจะให้เค้าไปขโมยมาแล้วจ่ายทีหลังคงไม่ได้ แต่อาชีพอย่างเรา ๆ ชาว IT มันเอามาใช้ก่อนได้ ถูกใจ หรือพร้อมก็จ่ายเงิน แถมนั่งทำงานก็นั่งทำงานในห้องแอร์เย็น ๆ ไม่ต้องไปตาแดดตากลมอีก ผมว่าโคตรสบายเลย แล้วทำไมเราจะจ่ายคืนไม่ได้หล่ะครับ ไม่ต้องมาบอกผมนะว่าเสียดุลการค้า รถไถ รถยนต์ขนส่ง มันก็ของนำเข้า หรือไม่ก็ต้องมีลิขสิทธิ์มาประกอบแล้วจำหน่ายทั้งนั้นครับ ยังไงก็เสียดุลการค้าอยู่แล้วครับ

ส่วนใครที่ไม่ได้ใช้แบบเป็นชุด ๆ ก็ซื้อแยกก็ได้ครับ เช่นใช้ Word อย่างเดียว ก็มีขายแยก เป็นตัวโปรแกรมไปเลยครับ แต่ราคาเมื่อเอามารวมเป็นชุดแล้วก็จะดูแพงกว่าครับ (เรื่องปกติในการทำตลาดด้านราคาครับ) อย่างที่เห็นขายแยกอยู่ตอนนี้คือ Microsoft Outlook 2007 ครับ ราคาประมาณ 3,900 บาทได้มั้ง ถ้าจำราคาไม่ผิด ซึ่งเหมาะกับคนที่ไม่อยากได้พวกชุดที่มี Word, Excel และ PowerPoint ที่อาจจะใช้ OpenOffice เอาได้ อะไรแบบนั้น สำหรับราคาลองไปดูที่ Microsoft Office ที่เว็บ http://www.selectmore.com ดูครับ

สุดท้ายแล้ว ตราบใดที่เรายังคิดจะใช้ซอฟต์แวร์ของนอก และไม่อุดหนุนคนไทยด้วยกันเอง โดยการที่เราไม่คิดกลับมามองพวกเดียวกัน คิดว่าของนอกดีกว่า ยังไงผลงานคนไทยด้วยกันเองก็ไม่เกิดหรอก เพราะเราไม่สร้างให้เกิดมูลค่าของซอฟต์แวร์ของพวกเดียวกัน ไม่ช่วยกันเอง และถ้ารู้อยู่แล้วว่าของนอกแพง ของไทยถูก เราก็ซื้อของคนไทยก่อนเป็นอันดับแรกซิครับ สร้างให้วงจรการพัฒนามันขับเคลื่อน อันไหนไม่ดี อันไหนยังไม่มี ก็นำเสนอ บอก ๆ กัน น่าจะช่วยให้การพัฒนาตัวเองในระยะยาวดีกว่า และมากขึ้นเรื่อย ๆ ซอฟต์แวร์บางตัว ตัวราคาก็ไม่กี่ร้อยบาท ยังไม่ค่อยจะซื้อกันเลย ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเหมือนกัน อย่างโปรแกรม Dictionary นี่ตัวอย่างที่ดีเลย ตัวไม่ถึง 500 บาทยังไม่เอากันเลยครับ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมรู้สึกเซงทุกครั้งที่มีคนมาขอผม copy ทั้ง ๆ ที่มีขายตามร้านหนังสือตามห้างอยู่แล้ว ซึ่ง entry เก่า ๆ ใน blog ของผมก็เคยนำเสนอไปแล้วในชื่อ "แสบๆ คันๆ !!! Bill Gates เยาะเย้ย Software เถื่อนเมืองไทย กระทบคนไทย โปรแกรมเมอร์ไทยและบริษัทไทยมากกว่า MS" ซึ่งผมได้เข้ามาอยู่ในวงการนี้มาพอสมควรผมก็มองเห็นว่าเป็นความจริงครับ เรื่องพวกนี้ได้เอาไปพูดคุยกันในงาน Barcamp Bangkok 2 ร่วมครับพี่ @9aum ไปแล้วครับ Slide ภาษาไทยก็ที่นี่ครับ Copyrighted Software And A Life Of Freelancer Thai ส่วน VDO ก็ไปดูที่ More Videos from Duocore Team ที่ตัว VDO ที่ชื่อ BarCampBangkok2 – Freeware and Freelances แต่เสียดายที่เวลาน้อยไปหน่อยเลยไม่ได้รายละเอียดลึก ๆ หลายส่วนครับ แต่ผมมองว่าเป็นตัวจุดประกายให้กับใครหลาย ๆ คนในครั้งนั้นได้ครับ

ทั้งหมดนี่เป็นเหตุผลหลัก ๆ ที่ผมซื้อซอฟต์แวร์ Microsoft Office 2007 ในครั้งนี้ แต่ในความเป็นจริงอีกอย่างแล้วนั้น เดี่ยวนี้ผมก็ซื้อแผ่น DVD ภาพยนต์และแผ่นเพลงลิขสิทธิ์แท้แทบจะตลอดอยู่แล้วเป็นปกติ จากเมื่อก่อนที่โหลดเอาจากเว็บ BitTorrent แต่มาตอนหลัง ๆ สักช่วงที่ผมทำงานมีรายได้เป็นของตัวเองแล้วก็ซื้อประจำครับ

ผมยอมรับแหละครับว่า BitTorrent ผมก็โหลด แต่เดี่ยวนี้ลดน้อยลงมาก ปกติโหลดแต่ MV หรือพวกรายการ TV พวกวสารดคีมากกว่า แต่อันไหนที่มันเป็นเครื่องมือทำมาหากิน อันไหนเป็นการสนับสนุนคนไทยด้วยกันเอง ผมก็ทำ ผมว่าเราทำเท่าที่ตัวเองทำได้ และคิดว่าดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยลองคิดเล่น ๆ ครับว่า Microsoft Office 2007 ที่ผมซื้อในราคา 7,700 เนี่ยผมเก็บเงินกว่า 5 เดือน ก็คือเก็บเงินวันละ 52 บาทโดยประมาณ หรือเดือนละ 1,600 บาทนั้นแหละครับ ถ้ารับงาน Freelances ผมมองว่าต้องคิดต้นทุนตัวซอฟต์แวร์ลงไปในราคางานด้วย 10 – 20% ครับ เพื่อนำไปใช้ตอนมีการ upgrade และซื้อตัวซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ ในอนาคตครับ (เอาแนวคิดนี้ไปคิดในเชิงการทำงานอื่น ๆ น่าจะทำให้มูลค่าของเนื้องานเราดีมากขึ้นครับ)

เราคงต้องเริ่มแนวคิดแบบนี้กันเยอะ ๆ ครับ ผมว่าช่วย ๆ กันน่าจะเป็นการดีครับ

update – ทางคุณ @mk จาก blognone ขอให้ผมนำ entry นี้ไปใส่ที่ blognone ด้วยครับที่ http://www.blognone.com/node/8947

ว่าด้วยการซื้อซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์อย่าง Microsoft Office 2007

หลังจากที่ผมเก็บเงินเพื่อซื้อ Microsoft Office 2007 มาได้ 4 เดือนกว่า ๆ เกือบ ๆ 5 เดือน วันนี้ผมก็ได้มาอยู่ในมือแล้วครับ

ในครั้งนี้ผมซื้อ Microsoft Office Small Business 2007 OEI (MLK/Medialess License Kit)

IMAG0283

แต่ก่อนอื่นก็ต้องอธิบายรูปแบบลิขสิทธิ์ของ Microsoft มีหลากหลายมากครับ จำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อน

รูปแบบของ Microsoft Office นั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ

โดยผมนำมาจาก http://www.microsoft.com/thailand/licensing/ (และส่วนใหญ่ License ของ Microsoft จะเป็นแบบนี้ครับ) คือ

  1. FPP License (Full Package Product License) สิทธิการใช้งานแบบกล่อง เหมาะ สำหรับผู้ใช้ซอฟต์แวร์ในปริมาณน้อย เช่น การใช้งานส่วนบุคคล นิสิตนักศึกษา และองค์กรที่มี PC น้อยกว่า 5 เครื่อง
    http://www.microsoft.com/thailand/licensing/fpp.aspx
  2. OEM License (Original Equipment Manufacturer License) หรือ OEI License  (Original Equipment Industries License) เป็นสิทธิการใช้ซึ่งจำหน่ายให้กับผู้ผลิต และผู้ประกอบคอมพิวเตอร์ สำหรับการติดตั้งไปพร้อมกับการ จำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์
    http://www.microsoft.com/thailand/licensing/oem.aspx
  3. Volume License เป็นสิทธิการใช้งานสำหรับผู้ใช้ องค์กรที่ต้องการใช้ซอฟต์แวร์เป็น จำนวนมาก อาทิองค์กรเอกชน, สถาบันการศึกษา, หน่วยงานของรัฐ และองค์การสาธารณกุศล
    http://www.microsoft.com/thailand/licensing/volume.aspx

โดยผมซื้อเป็นแบบ OEM/OEI มาครับ รายละเอียดมีดังนี้

  • ซอฟต์แวร์แบบ OEM จะถูกติดตั้งมาพร้อมกับเครื่อง PC หรือเซิร์ฟเวอร์ที่จำหน่ายเท่านั้น
  • ไม่สามารถย้ายซอฟต์แวร์ OEM จากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังเครื่องอื่นได้ แม้จะไม่มีการใช้คอมพิวเตอร์เครื่องเดิมแล้วก็ตาม แต่สิทธิในการใช้ของซอฟต์แวร์แบบ OEM อาจถูกกำหนดใหม่ หากมีการซื้อ Software Assurance เพิ่มเติมภายใน 90 วันหลังจากการซื้อสิทธิแบบ OEM
  • ซอฟต์แวร์ถูกจำกัดการใช้ด้วย Product ID Key หรือผ่านการเปิดใช้ทางเว็บหรือทางโทรศัพท์
    (โดยปกติจะถูกเปิดใช้งานล่วงหน้าโดยผู้จัดทำระบบ)
  • สิทธิแบบ OEM อาจมี Software Assurance ที่ซื้อภายใต้โปรแกรม Volume Licensing
    "สิทธิการใช้ระบบปฏิบัติการ Windows Desktop แบบเต็มจะจำหน่ายในรูปแบบ FPP หรือ OEM เท่านั้น โดยแบบ OEM จะมีราคาถูกกว่ามาก ส่วนโปรแกรม Volume License จะมีเฉพาะการอัพเกรดระบบปฏิบัติการ Windows Desktop เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องมีสิทธิแบบ OEM หรือ FPP ของ Windows อยู่ก่อนแล้ว จึงจะสามารถอัพเกรดได้

ส่วนอื่น ๆ ก็อ่านเอาจากลิงค์ที่ให้ด้านบนครับ

โดยเมื่อสักปีที่แล้วได้ Microsoft มีการนำเสนอชุด Microsoft Office Home and Student 2007 ในราคาประมาณ 3,500 บาท ลงได้ 3 เครื่อง โดยด้านในประกอบด้วย Word, Excel, PowerPoint และ OneNote ซึ่งก็มีคนสนใจพอสมควร รวมถึงผมด้วย แต่พอศึกษา และสอบถามกับทาง Microsoft ก็ได้ความว่า ไม่สามารถนำไปใช้งานในเชิงธุรกิจได้ ใน EULA จะระบุไว้ชัดเลยครับในหัวข้อ Licensed Device ว่า

The software is not licensed for use in any commercial, non-profit, or revenue-generating business activities.

หรือสรุปคือไม่สามารถนำไปใช้ในเชิงก่อนให้เกิดผลกำไร, การค้า หรือนำไปใช้ในวงจรธุรกิจใด ๆ ได้ นั้นเองครับ นั้นหมายความว่าหมดสิทธิ์ครับสำหรับคนที่จะซื้อมาใช้ทำงาน เหมาะสำหรับใช้ตามบ้าน ให้น้อง ๆ หนู ๆ พิมพ์งานใช้ในเชิงการศึกษาในบ้านเรือนทั่วไปครับ ส่วนสถาบันการศึกษาก็มีลิขสิทธิ์เฉพาะด้วย ในชื่อ Academic License Edition (AE) ครับ

โดยตัว Microsoft Office Home and Student 2007  หรือ License ที่ใช้ด้านการศึกษาบน Title bar ของตัว Microsoft Office 2007 จะมีข้อความต่อท้ายว่า "non-commercial use" ครับ

image

รูปจาก http://www.uksmbgirl.co.uk/blog/archives/356

เรื่องราคาก็ตามรูปแบบของลิขสิทธิ์ที่ใช้งานตามบ้าน และสถาบันการศึกษาจะถูกหน่อย ตามด้วย OEM ที่แพงขึ้นมาหน่อย ต่อมาคือ FPP ที่แพงกว่าเดิมเกือบเท่าตัว และ Volume ที่แพงที่สุด (แต่ก็มีบริการต่าง ๆ และสิทธิประโยชน์มากกว่าลิขสิทธิ์แบบอื่น เช่นอัพเกรดในรุ่นใหม่ในราคาถูกกว่าเดิม หรือมีการส่งแผ่น update patch มาให้ ไม่ต้องไปโหลดจาก Internet ให้เสียเวลาเป็นต้น)

คราวนี้เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ ;)

ผมซื้อมาในครั้งนี้มาเป็นซองกันกระแทกครับ บรรจุมาแบบนี้เลย

IMAG0326 IMAG0324

Read more

ว่ากันด้วยเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา, สิทธิบัตร และลิขสิทธิ์

พอดีว่าอ่าน Studying Law is Important ของคุณ mk แล้วนั่งหา ๆ ค้น ๆ ทำความเข้าใจว่าสิ่งที่เราเข้าใจกับความเป็นจริงนั้นถูกต้องหรือไม่

นั่งอ่านแล้วไปเจอที่ http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=3700&gid=9 เลยนำมาเผยแพร่เสียเลยแล้วกัน ;)

สิทธิบัตร คือหนังสือสัญญา หรือเอกสารที่ได้รับการยินยอมและตรวจสอบแล้วจากทางหน่วยงานที่รับผิดชอบของประเทศนั้น ๆ ซึ่งมักจะเป็นจะเป็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของงานด้านวิทยาศาสตร์ ที่มักเป็นการต่อยอดทางปัญญา จึงคุ้มครองชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเพียงพอที่จะเป็นรางวัลแก่ผู้ทรงสิทธิ์ และไม่นานเกินไปจนไม่เกิดการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ สำหรับสิทธิบัตรยาประเทศไทยคุ้มครองไว้ 20 ปี (นานกว่าประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศเสียอีก)

ลิขสิทธิ์ จะเป็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญากับงานวรรณกรรม เช่นเพลง โดยคุ้มครองตลอดชีวิตของผู้ทรงสิทธิ์และอีก 50 ปี ภายหลังจากผู้ทรงสิทธิ์เสียชีวิต โดยการดูแลของทายาทหรือผู้ที่ได้รับมอบมรดก

โดยแนวคิดแล้ว

ลิขสิทธิ์ มุ่งคุ้มครองการแสดงออก ไม่คุ้มครองสาระที่แฝงมากับการแสดงออกนั้น

สิทธิบัตร ก็จะคุ้มครองผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธี โดยลิขสิทธิ์จะได้มาอัตโนมัติฟรี ๆ เมื่อแสดงออกต่อสาธารณะ (จดทะเบียนก็ได้ เพื่อให้มีหลักฐานแน่นหนาทางกฎหมาย) และมีผลในทุกประเทศที่ร่วมใน Berne Convention (รวมไทย) ส่วนสิทธิบัตรต้องขวนขวายลงทุนให้ได้มา มีขั้นตอน มีค่าใช้จ่าย มีผลเฉพาะประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น มีสูตรปรุงอาหาร ถ้าเผยแพร่เป็นหนังสือ จะได้ลิขสิทธิ์ คนอื่นไม่มีสิทธิคัดลอกเผยแพร่โดยพลการ แต่จะปรุงอาหารตามนั้นกี่จานก็ได้ แต่ถ้าจะไปขึ้นสิทธิบัตร (ถ้าได้) คนอื่นไม่สามารถปรุงอาหารตามนั้นเลย แม้จะสามารถเข้าไปคัดลอกสูตรดังกล่าวได้ก็ตาม

ตาม พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ระบุว่า

มาตรา 6 งานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่งานสร้างสรรค์ประเภทวรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียงแพร่ภาพ หรืองานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ ของผู้สร้างสรรค์ไม่ว่างานดังกล่าวจะแสดงออกโดยวิธีหรือรูปแบบอย่างใดการคุ้มครองลิขสิทธิ์ไม่คลุมถึงความคิด หรือขั้นตอน กรรมวิธีหรือระบบหรือวิธีใช้หรือทำงาน หรือแนวความคิด หลักการ การค้นพบ หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์

ใน พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522

มาตรา 9* การประดิษฐ์ดังต่อไปนี้ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติ
(1) จุลชีพและส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งของจุลชีพที่มีอยู่ตามธรรมชาติ สัตว์พืช หรือสารสกัดจากสัตว์หรือพืช(2) กฎเกณฑ์และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
(3) ระบบข้อมูลสำหรับการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
(4) วิธีการวินิจฉัย บำบัด หรือรักษาโรคมนุษย์ หรือสัตว์(5) การประดิษฐ์ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีอนามัย หรือสวัสดิภาพของประชาชน*[มาตรา 9 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535]

มาตรา 5 ภายใต้บังคับมาตรา 9 การประดิษฐ์ที่ขอรับสิทธิบัตรได้ต้องประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปนี้
(1) เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่
(2) เป็นการประดิษฐ์ที่มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น และ
(3) เป็นการประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม

รายละเอียด ควรศึกษาเพิ่มเติมจากข้อกฎหมายเอง จาก website ของ สนง กฤษฎีกา
http://www.krisdika.go.th

เอกสารอ้างอิง
http://www.krisdika.go.th
http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=3700&gid=9