เรื่องราวของกูเกิล (The Google Story)

วันนี้ไปที่ CU Book ที่ ม. ก็เรื่อยๆ ไปหาหนังสือเท็คภาษาอังกฤษด้านไอทีใหม่ ๆ ที่น่าอ่าน และเผื่อ ๆ อาจจะมีหนังสือที่ลดราคาให้เราซื้อมั้ง แต่พอดีว่าไปเจอ หนังสือชื่อ "เรื่องราวของกูเกิล" ซึ่งเป็นหนังสือฉบับแปลจาก "The Google Story" ของ David A. Vise และ Mark Malseed  เลยหยิบมาแบบไม่คิดว่าจะแปลดีไม่ดี โดยรายละเอียดง่าย ๆ หนังสือหนา 376 หน้า ราคา 230 บาท ซึ่งราคาต่อจำนวนหน้าถือว่าถูกมาก ๆ สำหรับหนังสือแปล และจำนวนหน้าที่มากมายขนาดนี้ (แต่ภายในผมยังไม่คิดนะว่า ok บางคนซื้อหนังสือคุ้้มเพราะจำนวนหน้า -_-‘ เลยบอกไว้ก่อน ฮ่า …. )

พอซื้อเสร็จตอนกินข้าวเลยหยิบมาอ่าน โดยรวมถือว่าแปลออกมาได้ดีพอสมควรเลย โดยคนแปลถือว่ามีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์เป็นทุนอยู่แล้ว การแปลเลยออกแนวเข้าใจศัพท์ด้านคอมพิวเตอร์อยู่พอสมควร แปลไม่แข็งและกระด้าง โดยรวมแปลได้ดี แต่อาจจะไม่เท่ากับคุณ SuperU:-) (หรือ eS_U) ผู้แปลหนังสือแนวคอมฯ อีกท่านที่ผมเคยเอาเรื่องปิดทาง Hacker มาลง รวมถึง CyberPunk มาลงในเว็บเมื่อหลายปีก่อน และผมมีผลงานของท่านอีก 3 เล่มทั้ง โคตรเคี้ยว (Hard Drive, Bill Gates and the Making of the Microsoft Empire), ล่าแฮกเกอร์ป่วนโลก และวิสามัญฯ แฮกเกอร์ ซึ่งทั้งสามเล่มนี้แปลและเรียบเรียงได้ดีมาก ๆ อ่านแล้วมันมาก ๆ ว่างไม่ลง เลย

นอกเรื่องไปไกล ซะแล้วเรา

โดยรวมหนังสือ เรื่องราวของกูเกิลถือว่าเป็นหนังสือที่รอคอยอีกเล่มเลยทีเดียวแถมผู้แปลทำออกมาได้ดีด้วย ทำให้เป็นหนังสือที่น่าสนใจรองจาก Icon:Steve Jobs เพียงเล่มเดียวในปีนี้

คงต้องรอต่อไปสำหรับ Icon:Steve Jobs ;)


คอมไพล์เลอ ต้องมังกร & โอเอส ต้องไดโนเสาร์ หนังสือที่อ้างอิงและศึกษาได้ดี

ทำไม !! คอมไพล์เลอ ต้องมังกร และ โอเอส ต้องไดโนเสาร์

เป็นคำถามที่ผมว่ามันก็หาคำตอบลำบาก แต่วันนี้ผมจะมาแนะนำหนังสือ คงไม่บอกว่ามันดียังไง เพราะว่าหนังสือมันก็ดีทุกเล่มนั้นแหละ เพียงแต่ว่าเล่มนั้นจะให้แนวคิดและทำความเข้าใจได้ง่ายกว่ากันเท่านั้นเอง (หนังสือบางเล่มจำเป็นต้องมีพื้นความรู้หลายๆ อย่างก่อนไม่งั้นอ่านแล้ว งง โคตรๆ)

Operating System Concepts


by Abraham Silberschatz, Peter Baer Galvin, and Greg Gagne


ถือเป็นหนังสือที่เอาไว้ศึกษาหลักการ Operating System ได้ดีมาก ๆ เลยทีเดียว ที่ผมเรียนตอนปี 3 ก็ใช้เล่มนี้สอนเป็นหลัก แต่เนื้อหามันเยอะมาก เลยเรียนไม่หมดเล่ม ด้วยความอยากรู้เลยไปซื้อที่ CU Book ที่ม. ตอนนั้นมี Wiley Asia Sutdent Edition ขายพอดีราคาเลยถูกกว่าเล่มที่วางขายทั่วไปพอสมควร (เล่มในรูปซื้อมาประมาณ 600 – 700 ไม่เกินนี้ จำราคาไม่ได้นานแล้วอ่ะ -_-‘) เอาไว้ศึกษาพวก thead, memory management แล้วก็พวก deadlock ต่าง ๆ จริง ๆ อ่านเล่มนี้ทำให้เราเขียนโปรแกรมให้มีประสิทธิภาพสูงได้เลยหล่ะ ได้แนวคิดเยอะมาก ๆ จริง ๆ คนที่เขียนพวกซอฟต์แวร์ที่ใช้ thead หรือพวก control session ต่าง ๆ สมควรอ่านอย่างยิ่งเลย เล่มที่ได้มานี่ 7th Edition ถือน่าจะใหม่เกือบที่สุดแล้วในตอนนี้ (เห็นใน amazon มี with Java ด้วย อันนี้น่าจะใหม่กว่านิดหน่อย) แต่เนื้อหาหลัก ๆ ถือว่าควบถ้วนครับ ซึ่งเล่มถ้าจะอ่านต้องมีพื้นในด้าน Hardware พอสมควร แนะนำให้เปิดหนังสือเล่มนี้อ่านพร้อม ๆ กับพวกวิชา Introductrory to Computer หรือ Computer Organization and Architecture ไปด้วยจะดีมาก ๆ


Compilers: Principles, Techniques, and Tools


by Alfred V. Aho, Ravi Sethi, and Jeffrey D. Ullman


เล่มนี้ถือว่าหายากมากในไทย แถมเป็นเล่มที่ Classic ของคนเรียน Computer Science (ออกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985-1986) เห็นว่าเดือนนี้ (สิงหาคม 2006) จะออก Edtion ที่สองแล้ว แต่ว่าเล่มนี้นี่ ผมก็ไม่รู้ทำไม ที่มหาวิทยาลัยก็ไม่มี ในหอสมุดก็เพิ่งจะเอามาลงเมื่อปลายปี 2548 นี้เอง จริง ๆ ดูราคาแล้วก็แพงมหาโหดมาก ราคาจาก US -> Thai นี่เกือบ ๆ 4,000 บาทได้ เลยต้องยืมของหอสมุดมาถ่ายเอกสารเอา เพราะว่าหาซื้อไม่ได้ แถมแพงอีก ยิ่งแล้วใหญ่เลย (ถ่ายยังราคาเกือบ ๆ 500 บาทได้) โดยภายในหนังสือสอนแนวคิดก่อน และก่อนจะอ่านเล่มนี้จริง ๆ ต้องมีพื้นหลายอย่างมาก่อนแล้วทั้ง Computationnal Thoery หรือพวก Regular Expression wi POSIX/Perl ไม่งั้น อ่านลำบากมาก เพราะด้านในนี้แทบจะหา code โปรแกรมน้อยมาก ส่วนใหญ่จะออกแนวสัญลักษณ์ Computationnal Thoery เยอะ แถมต้องแม่น Data Structure และ Programming Language พอสมควรอีก ถ้าใครคิดจะอ่านเล่มนี้ต้องหาหนังสือเล่มอื่น ๆ อ่านประกอบไปด้วยไม่งั้นนึกภาพตามไม่ออกจริง ๆ ขนาดเราว่าเราแม่น ๆ หลายวิชาแล้วนะ ยังอ่านแล้วอ่านอีก เพราะว่าอ่านยากจริง ๆ แต่ถ้าอ่านแรกเข้าใจนะ โห … สุด ๆ อ่านแล้วนี่ Optimize Code ที่เราเขียนห่วย ๆ ตอนปี 2-3 ได้สบาย ๆ เลย เหมาสำหรับคนที่ออกแนวชอบ Optimize Code หรือพวกชอบงานแนว ๆ Code Quality
เล่มต่อมาเป็น

Languages and Machines
An Introduction to the Theory of Computer Science (3rd Edition)



by Thomas A. Sudkamp

อันนี้ไม่พูดอะไรมาก ราคาไม่แพงพอ ๆ กับ Operating System (เพราะว่ามันเป็น International Edition มันเลยถูก ;) ) เอาไว้อ่านประกอบ Compilers ด้านบนนั้นแหละ แต่บางอย่างอาจขัดแย้งกันในบางเรื่องกับ Compilers คงต้องเลือก ๆ อ่านสักหน่อย แต่ถือว่าช่วยให้อ่านเจ้า Compilers ได้เยอะ

ปิดท้ายด้วย หนังสือสำหรับคนที่ชอบการออกแบบ Database

Database Management Systems

by Raghu Ramakrishnan and Johannes Gehrke

เล่มนี้เอาไว้เรียนวิชา Database และมันเป็นแหล่งอ้างอิงที่ดีในการทำ Database Tuning ด้วย คงไม่บรรยายอะไรมาก หาอ่านเอาแล้วกัน เล่มนี้ Concept แน่นดีมาก ๆ

ว่าง ๆ จะหาหนังสือดีมาแนะนำอีกนะ ไปก่อนหล่ะ แว็บบบบบบบ

แนะนำหนังสือน่าอ่าน : IPOD แบรนด์ นวัตกรรม และจักรกลบันเทิง (iPod Therefore I Am)

IPOD แบรนด์ นวัตกรรม และจักรกลบันเทิง หรือภาษาอังกฤษคือ iPod Therefore I Am เขียนโดย Dylan Jones และมาแปลเป็นไทยโดย อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว  หนังสือดีที่น่าอ่านเล่มหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะทับศัพท์เยอะไปหน่อย และเหมาะกับคนที่อยู่ในวงการคอมพิวเตอร์, ไอที หรือมี iPod ใช้อยู่ ซึ่งน่าจะอ่านได้เข้าใจกว่าคนที่ไม่มีความรู้ในด้านนี้เพราะเนื้อหาหนักไปทางด้านเทคนิดพอสมควร

การเรียบเรียงใช้ได้ บางช่วงงงๆ เล็กน้อยแต่ถือว่า ok มากสำหรับเนื้อหาครับ

ผู้เขียน/แปล: Dylan Jones / กรกฎ พงศ์พีระ    
ISBN: 9749427246
ปีพิมพ์: ครั้งที่ 1 เมษายน 2549 
ปก/หน้า: ปกอ่อน/ 400 หน้า
ราคา : 299.00 บาท


หน้าปก


ด้านหลัง


รายละเอียดของหนังสือ


สารบัญบางส่วน


ตัวอย่างเนื้อหาบางส่วน (1)


ตัวอย่างเนื้อหาบางส่วน (2)


ตัวอย่างเนื้อหาบางส่วน (3)

My Books

หนังสือ : 1

หนังสือ : 2

หนังสือ : 3

หนังสือ : 4

หนังสือ : 5

หนังสืออยู่ที่บ้านอีกเยอะ อันนี้ส่วนที่อยู่ที่มหาวิทยาลัยนะ

ไม่มีหนังสือเล่นได้ดีที่สุด

วันนี้ผมเซ็ง ๆ เล็กน้อยกับเพื่อน ๆ หลาย ๆ คน ในเรื่องการเลือกหนังสือเอามาอ่านประกอบการเรียน หรือแม้แต่เอามาอ่านเพื่อเสริมความรู้ด้านที่ตนขาดหายไป ส่วนใหญ่แล้วจะถามในคำถามที่ไม่แตกต่างกันคือ “หนังสือเล่มไหนอ่านแล้วครอบคลุม เนื้อหา” หรือ “หนังสือเล่มไหน อ. ออกสอบในนั้น” รวมไปถึงบางครั้งก็ถามที่ตัวอาจารย์ท่านเองว่า “อ. ครับ เล่มไหน อ. เอาออกข้อสอบ” กลับกลายเป็นว่าหลาย ๆ คนยึดมั่นถือมั่นกับหนังสือที่จะทำให้ได้มาซึ่งคะแนน มากกว่าความรู้ที่ตนเองจะได้เสียอีก บางเล่มก็ห่วยแตกสิ้นดี บางเล่มก็ดี อธิบายละเอียดดีมาก แต่เล่มใหญ่ไปหน่อย อันนี้ก็พอทน

ซึ่งผมอยากจะบอกแบบนี้ว่า ไม่มีหนังสือเล่มไหนหรอกที่จะมีให้ครบทั้งหมด ทั้งมวลในนั้น หรือแม้แต่ดีที่สุด ไม่ว่าจะ Text Book เอง หรือแม้แต่ภาษาไทยของเราเอง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะสอนในเชิงการใช้งานในระดับพื้นฐานในด้านต่าง ๆ มากกว่าการประยุกต์ใช้งาน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนอ่านจะไม่ชอบ เพราะว่ามันมองอะไรไม่ออก หรือทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่สามารถนำไปสู่การเขียนโปรแกรม/ซอฟต์แวร์ระดับใหญ่ ๆ ได้

เหตุนั้น ไม่ใช่เพราะคนเขียนไม่อยากเขียน หรือไม่มีความสามารถ เพียงแต่ในด้านการประยุกต์ และปรับใช้นั้นเป็นงาน ที่เราต้องศึกษาและร่วมรวมเอามายำรวมกันเอง โดยใช้หลักประยุกต์ต่าง ๆ ที่ได้ร่ำเรียนมาในเรื่องแรก ๆ ของการเรียนด้านการเขียนโปรแกรม/ซอฟต์แวร์ คือพวก logic/algorithm นั้นเอง

นั้นหมายความว่า ถ้าเพิ่งเริ่มต้นจาก 0 แล้วแนะนำว่าให้อ่านหนังสือมาก ๆ ไม่ต้องเลือกว่าจะตรง หรือไม่ตรงกับที่สอน จะออกสอบหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะว่าทุกอย่างที่คุณอ่าน มันไม่ได้ใช้แน่นอน ไม่มากก็น้อยเลยหล่ะ

ผมยังจำได้ดีในวันที่ผมตัดสินใจซื้อหนังสือคอมฯ ในเดือนแรก เดือนนั้นผมหมดไปกับเรื่องนี้เกือบพันกว่า เพราะว่าผมซื้อทุก ๆ เล่ม ทุกยี่ห้อ ผมจำได้ ผมซื้อตั้งแต่ computer today ยังแถม computer mart ฉบับแรก ที่เป็นหนังสือพิมพ์ (ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็น commart) แถมซื้อทุกยี่ห้อมานั่งอ่าน ศึกษามันดะไปหมด ทำอย่างนี้ไปสัก ปีกว่าๆ เริ่มรู้ เริ่มเข้าใจหลักการซื้อหนังสือคอมฯ มากขึ้น ก็เริ่มเลือกหนังสือว่าจะเอาเล่มไหน ไม่เอาเล่มไหน ก็เริ่ม ๆ ลดบาง เพิ่มบาง ไป ๆ มา ๆ ในตอนนี้ก็เหลือแค่ 2 เล่มคือ PCWorld และ PCMagazine ที่อ่านประจำ แต่ก็มีพ่วง ๆ บางเดือนที่อาจจะสนใจในบางเรื่องก็แนบๆ มาบาง 1 – 2 เล่ม แต่ก็ไม่ได้อ่านแต่หนังสือพวกคอมฯเท่านั้น ก็อ่านพวกแนว ๆ วิทยาศาสตร์, ปรัชญา, ธุรกิจ , ชีวประวัติ ต่าง ๆ เป็นต้น

ก็อ่านให้ได้ความรู้มากขึ้น ได้เข้าใจโลก เข้าใจอะไรมากมายมากขึ้น ซึ่งทุก ๆ อย่างที่เราอ่าน มันก็ยังคงอยู่ในหัวผม เอามาปรับใช้ในการทำงาน และรวมไปถึงการติดต่องานต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

อีกทางหนึ่งคือการค้นหาข้อมูลจาก Google (ใช้บ่อยเพราะเร็วดี), MSN Search, Yahoo และ Copernic Search เพื่อหาข้อมูลในการแก้ปัญหา, หาความรู้ใหม่ ๆ , ทำรายงานต่าง ๆ โดยทำอยู่ทุกวัน ยิ่งถ้าเราทำงานที่ใหญ่ ๆ บางครั้งต้อง Optimize Code เราก็ต้องหาหลักการ หรือพวกรูปแบบที่ทำงานได้เร็ว ๆ ซึ่งบางครั้งเราก็ต้องมากนั่งแกะ Code ชาวบ้านเค้าว่าเค้าทำอะไรบ้าง ทำยังไง ถึงได้เร็ว ได้ทำงานได้ไม่มีปัญหา ซึ่งมันทำให้เรามีประสบการณ์มากขึ้น และเพิ่มพูนทักษะ ในการต่อยอดต่อไปด้วย

ยิ่งพวก Technology ต่าง ๆ มันไม่หยุดนิ่ง เช่น .NET 1.0 –> .NET 1.1 –> NET 2.0 หรือ MySQL 4.x –> MySQL 5.0 ยิ่งทำให้เราต้องยิ่งรู้ทัน ใน feature ใหม่ ๆ และเข้าใจว่าสมควรหรือไม่อย่างไรในการเอามาทำงาน ในการทำงานต่าง ๆ ของเราหรือไม่ด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เราเอามาประยุกต์ใช้ได้ถูกทางมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่ได้จากการประยุกต์นี้ นั่นคือประสบการณ์การที่ได้จากการรับข้อมูลข่าวสารจากหลาย ๆ แหล่ง เอามากรองเข้าด้วยกันจนได้สิ่งที่ดีกว่า