มีเงินเท่านั้นถึงจะเรียนได้หรือไงฟร่ะ !!!

“วิจิตร” ลุยดัน ม.ออกนอกระบบต่อ ชง “มช.-ลาดกระบัง-นเรศวร” เข้า ครม.อังคารนี้ โดย ผู้จัดการออนไลน์
26 พฤศจิกายน 2549 15:54 น.

       รมว.ศึกษาธิการเดินทางดันมหาวิทยาลัยออกนอกระบบต่อ เผยอังคารนี้นำเข้า ครม.อีก 3 แห่งคือ “มช.-ลาดกระบัง-นเรศวร” เผยยึดความสมัครใจมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ระบุหากใครค้านไม่เห็นด้วยให้ไปคุยกันในสภามหาวิทยาลัย ขณะที่ ก.พ.อ.เห็นชอบต่ออายุราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยอีก 5 ปี โดยยึดตอบสนองความต้องการของมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ทุกคนมีสิทธิ
       
       ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า มหาวิทยาลัยของรัฐที่ออกนอกระบบไปแล้ว 6 แห่ง ยังไม่เคยขึ้นค่าเล่าเรียน อย่างไรก็ตาม ตนยังยืนยันว่า การออกนอกระบบเป็นความสมัครใจ ถ้าไม่พร้อมก็ไม่ต้องออกเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ขึ้นอยู่กับการตัดสินของสภามหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง ถ้าผู้ที่คัดค้านไม่เห็นด้วยควรจะไปพูดกับสภามหาวิทยาลัย ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยใดคนส่วนใหญ่ต้องการออกนอกระบบ และสภามหาวิทยาลัยเห็นด้วย ศธ.ก็ดำเนินการให้ ถ้าที่ใดไม่พร้อมก็ไม่ต้องออกนอกระบบ และในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 28 พ.ย.นี้จะพิจารณาการออกนอกระบบของ 3 มหาวิทยาลัย คือ ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยนเรศวร และร่าง พ.ร.บ.สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง
       
       ศ.ดร.วิจิตร กล่าวด้วยว่า ในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการต่อเวลาราชการของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา สำหรับข้าราชการที่เกษียณอายุราชการครบ 60 ปี แต่ยังมีศักยภาพที่จะปฏิบัติราชการต่อไป ให้สามารถปฏิบัติราชการต่อไปได้ถึงอายุ 65 ปี แต่ที่ประชุมได้วางหลักเกณฑ์ให้ชัดขึ้นว่า เจตนารมณ์ของการต่ออายุราชการเพื่อตอบสนองความต้องการของมหาวิทยาลัย ที่ต้องการให้มีคณาจารย์ที่มีประสบการณ์และมีผลงานทำงานต่อเนื่องไปได้ แต่ไม่ใช่เป็นสิทธิของผู้ขอต่อเวลาราชการ ดังนั้น เมื่อจะยึดความต้องการของมหาวิทยาลัยเป็นหลัก จึงต้องเปลี่ยนวิธีการ
       
       “คือแทนที่จะให้แต่ละคนสมัคร ก็จะกลายเป็นว่ามหาวิทยาลัยต้องทำแผนความต้องการอัตรากำลังคน มีการประเมินแต่ละปีว่าความต้องการเป็นอย่างไร จากนั้นจึงทำการคัดเลือกคณาจารย์ตามเกณฑ์ และดำเนินการต่อเวลา โดยวิธีนี้จะทำให้ได้คณาจารย์ตรงตามความต้องการ และหลีกเลี่ยงเรื่องที่เคยเป็นปัญหาหรือฟ้องร้องศาลปกครองมาก่อน อย่างไรก็ตาม ได้มอบให้ ศ.เทียนฉาย กีระนันทน์ ไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขตามข้อสังเกตจากที่ประชุม ซึ่งคาดว่าจะประกาศหลักเกณฑ์นี้ได้ภายในเดือน พ.ย.นี้” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าว

จากคำพูดที่ว่า "ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า มหาวิทยาลัยของรัฐที่ออกนอกระบบไปแล้ว 6 แห่ง ยังไม่เคยขึ้นค่าเล่าเรียน" โห……. อมพระมาพูดตรูก็ไม่เชื่อโว้ยยยยยย เพราะมหาวิทยาลัยผมที่คุณบางคนก็รู้ว่าอยู่ไหน และมีชื่ออยู่ในข่าวนี้ ออกนอกระบบปั้บ ปีแรกค่าเทอมขึ้นเกือบเท่าตัว มาโกหกคำโตได้หน้าตาเฉยเลยนะ อย่างเพื่อนผมเรียนคณะวิศวฯ เสียค่าเทอม 8,000 กว่าบาท แต่ปีรุ่นพี่มันเสียแค่ 5,000 กว่าๆ เอง พอรู้น้องปีต่อมาเข้ามาซัดไป 12,000 กว่าบาทได้มั้ง ถามหน่อยว่ามันขึ้นทุกปีเนี่ย มันมาจากอะไร อย่างบอกนะว่าน้ำมักแพง เงินเฟ้อสูง หรือค่าครองชีพมาก แถมบางสาขาวิชามีจ่ายแบบเหมาจ่ายด้วย มันก็แพงขึ้นไปอีก หลัก 15,000 – 25,000 บาทโดยประมาณ ใครไม่มีเงินก็ต้องกู้เงินเรียนเอา เฮ้อ …. คิดกันได้นะ

อ่านแล้วอารมณ์ขึ้นเลย ……..

ระวัง !!! Godzilla บุก Windows แล้ว

Godzilla ตัวนี้มันมากับ USB Flash  Memory และ Floppy Disk โปรดระวังให้จงหนัก เนื่องจากมันมาแนวเดียวกับ Flashy คือเมื่อติดแล้วเครื่องจะเข้าไปทำการสร้างไฟล์ Autorun ใน USB Flash Memory และ Media ที่คล้าย ๆ กัน แต่มันจะไม่เอาไฟล์ Autorun ไปใส่ใน Partition ต่าง ๆ แต่คราวนี้เจ้า Gozilla มันซัดเอาทุกอย่างเลย ทั้ง Hard Drive และสื่ออื่น ๆ แถมด้วยมันเนียนกว่า Flashy เพราะ Flashy มันยังแก้ด้วยการปิด Autorun ของ Windows ทิ้งแล้วเปิด Hidden ไฟล์ของ Windows ทั้งสองระดับ คือระดับทั่วไป และระดับ System Protection File ด้วย แล้วคลิกขวาแล้วใช้เมนู Open แล้วเข้า Drive นั้นแล้วไปลบ ก็สามารถลบมันออกไปได้ แล้วก็ค่อยไล่ล่าฆ่ามันใน System ต่อก็จบแล้ว แต่นี่มันฉลาดกว่านั้นคือถ้าติดแล้วมันจะลบเมนู Open จากการคลิกขวาออกไปด้วยทำให้การเข้าแบบเดิม ๆ ไม่สามารถทำได้ ต้องอ้อม ๆ เข้าไปแทน แถมไอ้ Option Hidden เนี่ยมันก็จะถูกปิดภายในเวลาไม่นานนักหลังจากเราปลดมันออกทำให้ยากไปอีก แถมผมต้องใช้โปรแกรมดูภาพอ้อมเข้าไปแล้วให้มันเปิดผ่าน Windows Explorer อีกรอบ แล้วตามเข้าไปลบมันออกไป ซึ่งใช้ในกรณีที่เครื่องนั้นยังไม่ติดนะ (เครื่องผมมักเป็นเครื่องกำจัดไวรัสเสมอ) โอ้ยยยย ให้ตายเถอะ (การเข้าอ้้อม ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการที่เราเผลอไป Autorun Partition อื่น ๆ เข้าอีก ทำให้การแก้ไขต้องเริ่มต้นใหม่อีก)

โดยอาการที่โดนแน่ ๆ นั้นก็คือ

  1. เครื่องจะเปิดไดร์ฟต่าง ๆ แล้วมันจะขึ้นหน้าต่างใหม่ แถมเลือกเมนู Open หรือ Explore ผ่านการคลิกขวาที่ไดร์ฟต่าง ๆ ก็ไม่ได้
  2. ที่ Title Bar ของ IE จะมีข้อความเพิ่มคือ "Hacked By Godzilla"
  3. เข้าไปปลดให้ทำการ Show Hidden Files ทั้งสองระดับแล้ว มันก็ยังกลับมา Hidden เหมือนเดิม ภายในเวลาไม่นาน
  4. เครื่องเริ่มอืด ๆ

ถ้าพบทั้ง 4 ข้อก็แสดงความคุณโดนมันบุกเครื่องแล้ว แม้ว่าคุณจะ format Partition ที่บรรจุ System ไปแล้ว แต่ไฟล Autorun ต่าง ๆ ที่เป็นไฟล์ Gozilla สร้างขึ้น มันก็ยังคงอยู่ใน Partition อื่น ๆ ด้วย ซึ่งถ้าจะเอาง่ายที่สุดคือ format แต่ก่อน format ก็ใช้ command mode หรือ safe mode เข้าไปลบไฟล์ใน Partition ต่าง ๆ ก่อนแล้วค่อย format น่าจะ ok สุด ถ้าอยากสะอาดจริง ๆ (มั้งนะ)

แต่ถ้าการ format มันยากและการทำงานต้องการความต่อเนื่องก็มีวิธีที่แก้ไขได้ อาจจะเร็วกว่าด้านบน แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะหลงเหลือซากหรือเปล่านะ นั้นคือไปโหลดไฟล์ Kill-Gozilla ที่ ftp://ftp.pharmacy.psu.ac.th/antivirus/gozilla/kill-gozilla.rar แล้วทำการแตกไฟล์ ตามด้วยสั่งไฟล์ start.exe ให้ทำงาน และรอจน Finish แล้วทำการ Restart เครื่อง ทุกอย่างก็จะ OK (แต่วิธีนี้ผมไม่ได้ลองนะ เห็นว่าใช้งานได้จริงเลยเอามาเผยแพร่ครับ) ;)

ถ้าไม่หายอีกลองเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://medinfo.psu.ac.th/pr/WebBoard/readboard.php?id=9761 และ วิธีแก้ไวรัส Hacked by Godzilla ลองเข้าไปอ่านดู

หวังว่าคงปราบ Gozilla บุกคอมฯ คุณได้นะครับ เห็นว่าตอนนี้โดนกันทั่วหน้าเลย โดยเฉพาะตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ม.ผมก็โดนกันหมด แถม Anti-Virus ต่าง ๆ ก็ยังดักจับไม่ได้ด้วย (ณ.วันที่ 26 พ.ย. 49) แม้แต่ NOD32 ที่ผมใช้อยู่ก็ตามที (ตอน Flashy จับได้นะ) ตอนนี้เลยต้องระวังเป็นพิเศษมาก  ๆ เลย ไปนอนดีกว่า …….. แว็บบบบบบบบบ

ขี้เกียจอย่างหนัก

ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไรขี้เกียจอย่างหนัก นอนก็ซัดซะตะวันลืมตา ตื่นทีตะวันก็จะนอน เฮ้อ …….. งานการทำบ้าง แต่มันรู้สึกว่าไม่อยากทำยังไงไม่รู้ รู้สึกว่าช่วงนี้แปลก ๆ อาจจะเพราะสถาพแวดล้อมมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หลาย ๆ อย่างมันเลยทำให้เราเฉื่อย ๆ ไป หรือว่าเพราะเราขยันจัดในช่วง 6-7 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ในรอบ 2-3 อาทิตย์นี้พลังมันหมด มันเลยเฉื่อย ๆ ไม่ค่อยอยากทำอะไร นั่งอ่านแต่ entry ใน blog ต่าง ๆ หรือนั่งอ่าน comment และกระทู้ในเว็บบอร์ดต่าง ๆ ทั้งวัน รวมไปถึงกำลังบ้า อ่านหนังสือต่าง ๆ  อย่างเช่น อ่านซึบาสะ (Tsubasa Reservoir Chronicle) อย่างมาก นั่งอ่านรวดเดี่ยว 6 เล่ม (ของ VBK) หมดใน 2 ชั่วโมง หรืออื่น ๆ

อ้าววว แล้วงี้เรียกว่าขี้เกียจ หรือว่าเรานอกเรื่องจากการทำงานหว่า -_-‘ (ฮ่า …. )

ทำความรู้ัจักกับ Revision Control System และ SVN

ทำความรู้จักกับ Revision Control System กันก่อน !

โดย Revision Control System ( หรือเรียกว่า Version control, Source control หรือ (source) code management (SCM) ก็ได้) คือ ซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่มีความสามารถในการติดตาม และบันทึกประวัติการเปลี่ยนแปลงที่เกิด ขึ้นเกี่ยวกับการพัฒนาระบบใดระบบหนึ่ง ซึ่งมักจะเกี่ยวกับด้านซอฟต์แวร์ โดยจะบันทึกไว้ตลอดระยะเวลาของการพัฒนาซอฟต์แวร์ พร้อมทั้งระบุเวลาและรวบรวมรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดเวลาของการพัฒนาด้วย

โดยหลักการของ Revision Control System ส่วนใหญ่มักใช้ Optimistic Technique ก็คือการให้ผู้ใช้หลาย ๆ คนสามารถเข้าถึง (Check out) (ซึ่งในที่นี้เราจะพูดถึง source code) อันเดียวกัน แต่ละผู้ใช้สามารถแก้ไขไฟล์ต่าง ๆ ที่ดาวน์โหลดมา และสามารถอัพโหลดไฟล์ (Check in/Commit) กลับเข้าสู่ Revision Control System โดยมันจะรับผิดชอบเรื่องการตรวจความขัดแย้งกันของข้อมูล (Conflict) ว่ามีใครแก้ไขไฟล์เดียวกันหรือไม่ ถ้ามีมันก็สามารถแสดงความแตกต่าง (Diff) ระหว่างไฟล์ และ/หรือทำการรวมไฟล์ (Merge) เข้าด้วยกันได้ แต่บางครั้งบาง Revision Control System ก็ใช้หลักการ Pessimistic Technique กล่าวคือเมื่อมีคนใดในทีมพัฒนาได้ทำการเข้าถึงและกำลังนำข้อมูลนั้นไปแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงคนอื่น ๆ ในทีมจะไม่มีสามารถเข้าถึงและทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลชุดนั้นได้จนกว่าคนที่นำไปแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงจะทำการอัพโหลดไฟล์กลับเข้าระบบดังเดิม แต่ระหว่างนั้นสามารถเข้าไปอ่านไฟล์นั้น ๆ ได้อย่างเดียว (แต่บางครั้ง Revision Control System บางยี่ห้อก็ไม่ยินยอมให้อ่านไฟล์ด้วย ขึ้นอยู่กับว่ายี่ห้อไหนจะนิยามการทำงานแบบ Pessimistic Technique เป็นแบบใด)

โดยการเก็บข้อมูลนั้นเราต้องมีการสร้างคลังข้อมูล (Repository) ซึ่งบางครั้งคลังข้อมูลนี้จะรองรับไฟล์แบบ ASCII และ Binary Files หรือไม่ขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์ Revision Control System จะรองรับหรือไม่ด้วย

ตัวอย่างเช่น เราพัฒนาซอฟต์แวร์ 1 ตัว โดยในทีมีคนร่วมพัฒนา 10 คน โดยทุกคนมีสิทธิ์ในการเข้ามาใช้ Revision System Control ได้หมด และในการพัฒนาซอฟต์แวร์ครั้งนี้มีไฟล์การพัฒนาอยู่หลายร้อนไฟล์ เมื่อมี 1 ในทีมพัฒนาชื่อ A ได้นำไฟล์ kernel.c ออกไป (Check out) ทำการแก้ไขเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด (Bug) เมื่อทำการแก้ไขเสร็จแล้วจึงนำกลับเข้าระบบ (Check in/Commit) ซึ่งทำกันเป็นปกติ โดยก่อนทำการนำกลับเข้าระบบมักจะมีการเขียนคำอธิบายไว้เสมอว่ามีการแปลงอะไรไปบ้าง (Log) แต่พอมีการแก้ไข interface.c โดยมีในทีมมีการทำการแก้ไขพร้อม ๆ กัน 2 คน ซึ่งได้แก่คนชื่อ B และชื่อ C โดยทำการนำไฟล์ interface.c มาแก้ไข  เมื่อ C นำไฟล์กลับเข้าระบบ จะทำได้ตามปกติ แต่พอ B จะนำกลับเข้าระบบจะมีการฟ้องว่าไฟล์ที่จะนำเข้าระบบเกิดความขัดแย้งของข้อมูล (Confilt) โดยทั่วไปแล้วจะทำการแสดงความแตกต่างก่อน (Diff) เพื่อดูว่าส่วนที่ตนเองแก้ไขไปนั้นมีส่วนใดที่ตรงกันหรือไม่ ถ้าไม่ตรงกันเลย และไม่มีผลกระทบกับระบบโดยรวม (เช่นแก้ไข function คนละตัวกัน) จะทำการ merge เข้าด้วยกันแล้วทำการนำเข้าระบบตามปกติ แต่ถ้ามีการแก้ไขแล้วเกิดความซ้ำซ้อนกัน มักจะทำการเปลี่ยนแปลงโค้ดโปรแกรมของตัวเองใหม่อีกครั้ง แล้วทำการนำเข้าระบบอีกครั้งนึง แต่บางครั้ง ส่วนใหญ่ถ้าไฟล์ที่เราแก้ไขนั้นเป็นไฟล์ระบบที่มีความหวั่นไหวต่อการเปลี่ยนแปลงก็มันจะ ปิดการนำไฟล์ออกมามากกว่า 1 คน (Lock) ก่อนเสมอ

โดยในบทความนี้เราจะพูดถึง SubVersioN (SVN) ซึ่งเป็น Open Source Application ที่ทำหน้าที่ Revision control ซึ่งได้รับความนิยมสูงมากตัวหนึ่ง โดยถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทดแทนการทำงาน Concurrent Versions System (CVS) ที่เก่า, มีความสามารถจำกัด และใช้งานยาก (ผมจะไม่พูดถึง CVS มากนัก เพราะไม่ได้ใช้งานจริง)

ความสามารถคราว ๆ ที่มีมาใน SubVersioN (SVN) มีดังต่อไปนี้

  1. เป็น Revision Control System แบบ Optimistic Technique
  2. การ Check in/Commit จะเป็นแบบ Atomicity แบบเดียวกับ Database Management System (DBMS) ทั่ว ๆ ไป 
    * Atomicity เป็นหนึ่งในกฎ ACID (Atomicity, Consistency, Isolation and Durableness) ของ DBMS ที่รองรับการทำ Concurrency ซึ่งมีคำจำกัดความว่า "กลุ่มคำสั่งงานใดๆ ต้องได้รับการประมวลผลทุกคำสั่งงานทั้งหมดถ้าไม่มีข้อผิดพลาด  หรือไม่ได้รับการประมวลผลเลยถ้ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น" กล่าวคือผู้ใช้งานไม่ต้องกังวลผลของการดำเนินงานที่ไม่สำเร็จ เนื่องจากส่วนจัดการการดำเนินงานจะทำการยกเลิกหรือทำซ้ำให้ผลลัพธ์ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น รายการเบิกเงินจากตู้เบิกเงินอัตโนมัติที่ยังทำไม่สำเร็จเนื่องจากระบบเกิดขัดข้อง ส่วนจัดการการดำเนินงานจะยกเลิกรายงานเบิกเงินครั้งนั้น โดยปรับค่ายอดเงินคงเหลือกลับไปค่าเดิม เสมือนหนึ่งไม่มีการทำรายการเบิกเงินครั้งนั้นเลย เป็นต้น
  3. หมายเลขการเปลี่ยนแปลง (Revision number) เป็นแบบส่วนรวม กล่าวคือใช้หมายเลขการเปลี่ยนแปลงร่วมกันทั้งระบบ เพื่อง่ายต่อการจัดการและกันการสับสนของการเปลี่ยนแปลง
  4. สามารถเปลี่ยนชื่อ, คัดลอก, ตัด และลบไฟล์ โดยมีผลกับหมายเลขการเปลี่ยนแปลงหลักทั้งหมด
  5. รองรับไฟล์แบบ Binary files 
  6. รองรับ Apache HTTP server บนโปรโตคอล WebDAV/DeltaV โดยสามารถนำมาใช้ผ่านโปรโตคอลแบบ TCP/IP ได้ทำให้ลดปัญหาโดน Firewall ในเครือข่ายไม่ยินยอมให้ผ่านได้อีกด้วย โดยใช้ Apache HTTP server โดยผ่าน port 80 ซึ่งมักจะได้รับการยินยอมให้กระทำผ่าน Firewall ได้อยู่แล้ว
  7. รองรับการทำ Branching (Branches) และ Tagging (Tags)
  8. สามารถ Locking ในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนแปลงข้อมูลระดับเข้มงวด (เช่นไฟล์ที่มีผลกับระบบมาก ๆ มักทำการ lock ไว้ก่อน เพื่อป้องกันการ merge ไฟล์แล้วมีข้อผิดพลาดใหม่ ๆ หรือข้อมูลนั้นไม่เหมาะให้มีการแก้ไขหลาย ๆ คนในเวลาเดียวกัน)
  9. รองรับ MIME เต็มรูปแบบ
  10. เป็น Open Source licensed ในชื่อ "CollabNet/Tigris.org Apache-style license"

ครั้งต่อไปเราจะมาทำการติดตั้ง SVN Server บน Windows ภายใน 10 นาทีกันนะครับ ;)

อ้างอิง

จินตนาการ

ขอยก Quote ที่เด็ดมาก แต่ว่า คุณต้องดูประกอบภาพครับ ให้เข้าไปดูที่นี่ แล้วจะเข้าใจคำด้านล่างนี้

จินตนาการของเด็ก
ในบางครั้งก็ ยิ่งใหญ่
เกินกว่าที่ผู้ใหญ่จะเข้าใจ

มันเป็นโฆษณาที่สุดยอดมาก และทำให้เข้าใจความแตกต่างของมุมมองของคนได้ดีระหว่าง "ลักษณะร่วมกัน" และ "ลักษณะเอกลักษณ์" แนะนำให้อ่าน หนังสือ バカの壁 (The Wall of Fools หรือ BAKA NO KABE) หรือชื่อไทยว่า "กำแพงคนโง่" โดยคำอธิบายหน้าเล่มนี้ คือ "หนังสือที่ทุบทุกๆ สถิติวงการหนังสือญี่ปุ่น สุดยอด Bestseller 40,000,000 เล่ม คู่มือแห่งการทลายกำแพง ไม่อยากชนกำแพงอ่านเล่มนี้" แนะนำให้หามาอ่านกันครับ ได้ข้อคิดดีมาก ๆ เลย ;)

รายละเอียดหนังสือก็ ผู้เขียนคือ ทาเคชิ โยโร่ และแปลโดย โชวเดียร์ หมายเลข ISBN คือ 974998353X หนังสือเป็นปกอ่อน จำนวนหน้า 160 หน้า ราคา 150 บาท ครับ