เหล้าดีต้องหมักนานปีฉันใด ความชำนาญต้องฝึกฝนให้มากฉันนั้น


ภาพเตือนใจใครหลาย ๆ คน ? เราจะเฉลยด้านล่าง อิๆๆๆ
Credit by ฟิวส์

คุณว่ามันน่าเบื่อไหม ถ้าเราต้องทำงานกับคนที่เราคาดหวังว่าเค้าจะทำงานได้ดี และเราและเขาเหล่านั้น สามารถที่จะฝากความหวังต่าง ๆ ทั้งในด้านงาน และผลงานในหน้าที่ ที่เราได้แบ่งปันกันตอนเริ่มวางแผนการทำงาน ซึ่งเราก็หวังว่าทุกอย่างจะไปได้ดี และไม่มีปัญหา แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นแบบนั้น งานต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่สมควรจะเป็น งานต่าง ๆ มีประสิทธิภาพที่จำสามารถนำไปใช้ได้น้อยมาก และต้องนำกลับไปแก้ไข ซึ่งทำให้งานที่ทำนั้น ต้องเปลี่ยนกำหนดเวลาในการส่งมอบ หรือแม้แต่ต้องนั่งแก้ไขเอง ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ของตน

เรื่องเหล่านี้มันไม่น่าเกิดขึ้นสำหรับผู้ที่ไฝ่รู้ในปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีมากมายรายรอบตัว ซึ่งเป็นตัวช่วยให้สรรพความรู้ต่าง ๆ มากมายนั้น หาง่ายแค่คลิ้ก หรือพิมพ์ลงไปเพียงไม่กี่ตัวอักษรความรู้มากมายจะหลั่งไหลมาให้เราได้อ่านกัน ทั้งในแง่บวกและแง่ลบมากมาย ซึ่งมันทำให้เราได้ความรู้ในหลายแง่มุมซึ่งเราสามารถนำมาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้มากมาย

แต่ทำไม เดี่ยวนี้คนรุ่นหลังๆ รวมถึงรุ่นผมหลาย ๆ คนกลับไม่ใช่ประโยชน์ตรงนี้ในการหาความรู้ใส่ตัวเอง แต่กลับใช้เวลาไปทำอย่างอื่นเสียหมด จนชีวิตไม่มีช่องว่างสำหรับการค้นหาความรู้เหล่านี้ ผู้ที่มีโอกาสในการเข้าถึงความรู้ แต่กลับไม่ใช้ ช่างน่าเสียดายแทนผู้ขาดโอกาส และผู้ที่ส่งเสียเค้าเหล่านั้นมาเรียนเสียจริง ๆ

และนั้นก็คงหมายถึงชีวิตของคนเรา ที่ถ้าเราไม่ฝึกฝนตนเองให้สามารถเข้าถึงความรู้ ไม่ฝึกฝนกลั้นกรองความคิด นำมาวิเคราะห์ และปรับใช้ ก็ไม่มีทางที่จะสามารถทำงานได้ดีได้ เพราะในเมื่อมีความรู้อยู่มากมายในหัว แต่ไม่รู้ว่าจะหยิบใช้สิ่งไหนก่อนและหลัง ก็เหมือนกับโลกแห่งความรู้แห่งนี้ ที่มีความรู้มากมาย แต่คนเราก็ไม่รู้ว่าจะเอามันมาปรับใช้อย่างไร

การฝึกฝนให้เข้าถึงความรู้ได้นั้นต้องมีความกล้าหาญพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่า ความรู้ที่ตนเองเชื่อถือมาตลอดทั้งชีวิตอาจจะผิดก็ได้ภายในชั่วนาทีนั้น ซึ่งการหักล้างความคิดและทฤษฎีต่าง ๆ ถือเป็นกระบวนการแห่งความก้าวหน้าทางวิทยาการของโลกมาช้านาน ถ้าไม่มีคนหักล้างความคิดเก่าและผิดก็ไม่เกิดสิ่งที่ถูกที่สุด รวมไปถึงต้องเข้าใจด้วยว่าสิ่งที่ทำให้สังคมของเรานั้นยังคงไม่ก้าวหน้าและสามารถสู้ต่อความก้าวหน้าของประเทศเพื่อนบ้านเรา ทั้งใกล้้และไกลได้นั้น เพราะเราไม่หัดเป็นผู้นำ เราปฎิเสธว่าภาษาอังกฤษ ในฟัง, พูด, อ่าน และเขียน เราคิดว่ามันเป็นเพียงภาษาที่เอาไว้ใช้สอบ มากกว่าเอาไปใช้งาน เราคิดว่ามันเป็นเพียงภาษาที่ไม่จำเป็นตัวชีวิต ถ้ายังอยู่ในเมืองไทย แต่ทุกวันนี้มันไม่ใช่แบบนั้น ถ้าเราอยากก้าวหน้า และเป็นผู้นำ เราต้องสามารถเผยแพร่ความรู้ที่เราจะสามารถนำพวกเข้าได้นั้นออกไป ซึ่งเราต้องยอมรับว่าภาษาที่สามารถนำความรู้ของเราออกไปได้นั้น คงหนีไม่พ้นภาษาอังกฤษ ซึ่งถ้าเราไม่เริ่ม และทำความเข้าใจมัน เราก็เป็นได้แต่เพียงผู้ตามเท่านั้น ซึ่งก็คงเหมือนกับเราจะเดินทางไปอวกาศที่ถ้าเราไม่ใช้ยานอวกาศนำตัวเราขึ้นไป เราก็คงไปไม่ได้ฉันใด การนำความรู้ออกสู้ชาวโลกจำนานมากนั้น ก็ต้องมีตัวช่วยให้คนทั้งโลกได้เข้าใจตรงกันฉันนั้น

และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เราต้องกลับมามองตัวเราเองว่า เราจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ใหม่ ๆ หรือแม้แต่ปรับใช้ความรู้จำนานมาก ๆ ได้ โดยการจะทำให้เราสามารถชำนาญได้นั้นไม่ใช่เพียงแต่ท่องและจำเท่านั้น การคิดวิเคราะห์อาจเป็นสิ่งที่ช่วยให้เรานำการท่องและจำมาใช้ได้ ซึ่งก่อนเราจะวิเคราะห์ได้นั้น เราต้องจำสิ่งเหล่านั้นให้ได้ก่อน เหมื่อนกับคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีหน่วยความจำหลักเสียก่อน (Main Memory) มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่มีตัว Input ตัว Data เพื่อที่นำไป Process เพื่อให้ได้ Output ออก เป็น Information นั้นหมายความว่าเราต้องจำให้ได้ เมื่อจำได้ เราต้องรู้จักใช้ เมื่อรู้จักใช้ แล้วเราก็สามารถนำประสบการณ์ต่าง ๆ จากการใช้ มาก ๆ ครั้ง เอาไปทำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาได้มากขึ้น แต่ …. การทำงานมาก ๆ ครั้ง จนเข้าที่เข้าทาง และคิดว่าดีที่สุดแล้ว แต่มีวิธีที่ดีกว่าของผู้อื่น  เราต้องศึกษาและเข้าถึงสิ่งเหล่านั้นว่า เขาทำได้อย่างไร และยอมรับฟังความคิดเห็นต่าง ๆ ของเขาด้วย ซึ่งจงทำตัวเหมือนกับแก้วที่ไม่รู้จักเต็ม ซึ่งการทำแบบนี้เรื่อย ๆ เราจะเป็นคนที่ไฝ่รู้ตลอดเวลา เมื่อไฝ่รู้ตลอดเวลา เราจะชำนาญในการบริการความรู้ต่าง ๆ มากมาย และรวมไปถึงเรียนรู้ถึงข้อผิดพลาดของงานแต่ละงานไปในตัว ซึ่งเราก็ควรจะต้องคิดไว้เสมอว่า งานทุกอย่างมีความผิดพลาดได้ แต่ความผิดพลาดนั้น ต้องควบคุมได้ด้วยตัวของเราและคนในทีม ซึ่งถือเป็นหลักของการบริหารความเสี่ยง

ซึ่งจากที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น การเรียนรู้และการฝึกฝน ถือเป็นสิ่งที่สร้างความชำนาญ และประสบการณ์ ถ้าคนเราไม่รู้จักเรียนรู้ และฝึกฝน เราจะไม่มีวันที่จะก้าวหน้าต่อไปได้ รวมไปถึงสังคมของเรา ที่ควรจะเป็นคนสร้างความรู้ต่าง ๆ ให้มากขึ้น และมากกว่าการนำเข้า การวิจัย เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด ในวันนี้ ประเทศเราไม่ได้แตกต่างจากหลาย ๆ ประเทศ อย่าง เกาหลี ที่เป็นประเทศที่เพาะปลูกเช่นเดียวกัน แต่วันนี้เขาเหล่านั้น ก็ได้ปรับตัวเองให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมไอทีระดับโลก ทั้งที่ประเทศเขานั้นได้รับผลประทบจากสงคามโลกและสงครามกลางเมืองหลายครั้ง ลองคิดดูว่าทำไมเขาถึงมาถึงจุดนี้ได้

แต่สำหรับผมคำตอบของคือ "ประเทศที่บริหารจัดการองค์ความรู้, จัดการการศึกษาและใช้งานความรู้ได้ดี มักประสบความสำเร็จ มากกว่าประเทศที่บริหารเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว"

———– เฉลยด้านบน ———–
ถ้าคุณตัดสินด้วยภาพนี้แล้วบอกว่าคนไหนได้งานทำ นั้นหมายถึงคุณตัดสินคนเพียงแต่ภายนอก และไม่ได้คิดว่าเค้าจะสามารถทำงานให้คุณได้ การที่เราจะตัดสินใครสักคน ควรดูที่เนื้องานมากกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของคุณ เหมือนกับประโยคที่กล่าวว่า "ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน"

Art of Study

วาทะเด็ดประจำวัน

จากพี่เดฟ (ithilien_rp, Geek#2@dualGeek และ Lecturer at Department of Computing, Faculty of Science, Silpakorn University) เนื่องในวันปฐมนิเทศนักศึกษาปี 1

"ผมไม่อวยพรพวกคุณนะ เพราะผมเชื่อว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม และกรรมแปลว่าการกระทำ ..” ไม่มีพรอะไรดีกว่าการเริ่มลงมือกระทำได้ด้วยตัวเองหรอก ถ้าคุณอยากจะจบมัน 4 ปี คุณทำตัวเองให้จบ 4 ปี ถ้าคุณอยากจะใช้เวลานานกว่านั้น คุณทำตัวเองให้จบนานกว่านั้น .. พรที่ดีที่สุด ก็คือพรที่คุณเขียนให้ชีวิตตัวเอง ด้วยการลงมือทำมันซะเอง"

"คุณจะเก่งขนาดไหน คุณจะจบมันเกรดเท่าไหร่ ถ้าคุณอยู่มันคนเดียว เก่งมันคนเดียว มันก็เท่านั้น P = mv จำคำผมไว้ … คุณจะมี impact มีผลกระทบ มีประโยชน์ มีคนรู้จักคุณ ก็ต่อเมื่อคุณมี momentum พอสมควร และถ้าคุณอยู่คนเดียว m คุณก็เท่านั้น คุณเก่งแค่ไหน ทำงานเร็วแค่ไหน … คุณก็จบอยู่แค่นั้น"

"แล้วทำไงให้ตัวเอง active ตลอดเวลา” ดูตารางธาตุสิ มันจะมีส่วนหนึ่งที่เรียกว่า ก๊าซเฉื่อย เป็นพวก electron วงนอกครบแปดตัวไปแล้ว มันไม่ทำปฏิกิริยากับใคร … ส่วนพวกที่ active คือพวกที่ "ยังไม่ครบ" "ยังไม่เต็ม" "ยังขาด" … ดังนั้นมันก็ต้องแสวงหา จากคนอื่น ที่เค้ามีในสิ่งที่คุณไม่มี มา share กัน .. มันก็จะเกิดสารประกอบที่มันซับซ้อนขึ้น ทำอะไรได้มากขึ้น … และที่สำคัญ คุณจะเต็มขึ้นมาทั้งคู่"

เรื่องของการทำงาน

เดือนที่ผ่านถือเป็นเดือนที่น่าเบื่อที่สุดเดือนหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่การทำงานกลุ่มนั้นไม่ประสบความสำเร็จในการให้คนในกลุ่มนั้น สามารถทำงานได้บรรลุเป้าหมายไปได้ ซึ่งงานที่สั่งหรือส่งต่อไปนั้นมักจะกระจุกตัวกันอยู่กับคนไม่กี่คน ซึ่งทำให้การทำงานออกมาได้ไม่ดีนัก ด้วยการขาดประสบการณ์รวมไปถึงความรู้ในด้านการทำงาน โดยมากแล้วมักจะทำงานแบบขอไปทีเสียส่วนใหญ่ ซึ่งงานที่มอบหมายไปนั้นมักจะออกมาได้ห่วยแตกอย่างมาก และด้วยเป็นคนที่ไว้ใจคนและคาดหวังว่าเราได้ให้งานกับคนที่มีความรับผิดชอบดีที่สุดคนหนึ่ง แต่จนแล้วจนรอด งานหลายๆ อย่างก็ไม่สำเร็จตามเป้าหมาย แต่งานโดยเนื้อหาตามจุดประสงค์นั้นเสร็จเป็นรูปเล่มและดูเรียบร้อยดี แต่ภายในอาจจะไม่ตรงตามความต้องการนั้นเอง

และยังมีคนอีกจำพวกที่ไม่ทำอะไรเลย ได้แต่นั่งมอง และสั่งการ หรือแม้แต่ตามจิกงาน แต่ตนเองไม่ได้มีหน้าที่การงานอะไร เอาแต่สั่งและพูด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเบื่อสิ้นดี คนที่ทำก็ทำกันตายไปข้างนึง คนที่ไม่ทำมันก็ไม่ทำสักอย่าง

เฮ้อ ….. น่าเบื่อน่าหน่าย

รับน้อง (นิธิ เอียวศรีวงศ์)

เรื่องเก่ามาเล่าใหม่ แต่เนื้อหายังคงกินใจและเป็นจริงอยู่ในปัจจุบัน ;)


จากมติชน – วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2548 ปีที่ 25 ฉบับที่ 1296

ตามตำนานการรับน้องใหม่ที่พวกจุฬาฯ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่มีประเพณีรับน้องเล่า ว่ากันว่าเริ่มจากนิสิตในหอพักก่อน (ตั้งแต่สมัยที่ยังมี "หอวัง" ซึ่งอยู่ในสนามกีฬาศุภชลาศัยปัจจุบัน) โดยนำเอาประเพณีทำนองเดียวกันซึ่งมหาวิทยาลัยของอังกฤษทำมา "เล่น" บ้าง

ประเพณีพิธีกรรมคือเครื่องมือการสร้างและ/หรือตอกย้ำแบบแผนความสัมพันธ์ทางสังคม แม้ว่าอังกฤษและพวกจุฬาฯ รุ่นแรกๆ ทำพิธีแกล้งน้องเพียงวันเดียว (ที่จริงคืนเดียว) แต่ที่จริงก็คือการสร้าง/และหรือตอกย้ำความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้องต่อจากนั้นนั่นเอง

แน่นอนครับ ด้วยความหวังว่า ความเหลื่อมล้ำของอำนาจระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง ซึ่งแสดงให้เห็นในพิธีกรรมนี้ จะดำรงอยู่อย่างถาวร ส่วนพิธีกรรมจะได้ผลแค่ไหนขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางสังคม ในอังกฤษพิธีกรรมรับน้องล้มเหลว เพราะเงื่อนไขทางสังคมที่จะทำให้คนยอมรับอำนาจของคนอื่นเพียงเพราะเขาเป็น "รุ่นพี่" มีน้อย หรือแทบไม่มีเลย จึงยากที่จะทำให้เกิดแบบแผนความสัมพันธ์ชนิดที่พิธีกรรมรับน้องสร้างขึ้นอย่างถาวร

ตรงกันข้าม สังคมไทยสมัยใหม่ (คือหลัง ร.5 เป็นต้นมา) มีเงื่อนไขหลายอย่างที่ทำให้แบบแผนความสัมพันธ์เช่นนี้เป็นความสัมพันธ์กระแสหลัก จึงทำให้การรับน้องขยายตัวอย่างแพร่หลายในสถาบันการศึกษาทุกแห่งและทุกระดับ รวมทั้งขยายตัวออกไปสู่พิธีกรรมอื่นๆ ในชีวิตน้องใหม่ทั้งปี เช่น การประชุมเชียร์และการออกกำลังกายทุกเย็น เพื่อตอกย้ำความเหลื่อมล้ำของอำนาจ และการยอมรับในความเหลื่อมล้ำนั้น

มีเรื่องที่ผมอยากสะกิดให้คิดเพื่อเข้าใจประเด็นตรงนี้อยู่สองเรื่อง

เรื่องแรก การรับน้องในเมืองไทยนั้นเป็นเรื่องของอำนาจอย่างชัดเจน อย่าไปดัดจริตหาเหตุผลอื่นๆ เลยครับ เพราะมันชัดเสียจนน่าจะขวยปากที่จะไปยกให้เรื่องอื่น นอกจากนี้ เรื่องอำนาจก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายนะครับ ในทุกสังคม สมาชิกย่อมต้องเรียนรู้ แบบแผนความสัมพันธ์เชิงอำนาจของสังคมที่ตัวจะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปทั้งนั้น

เรื่องที่สองก็คือ การศึกษาโดยเฉพาะอุดมศึกษาเป็นประตูเข้าสู่ความเป็นชนชั้นนำของสังคมไทยสมัยใหม่ และในวัฒนธรรมของชนชั้นนำสมัยใหม่ของไทยนั้น แบบแผนความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ลดหลั่นเป็นลำดับชั้นอย่างชัดเจนมีความสำคัญมาก เพราะจำลองมาจากความสัมพันธ์ขององค์กรราชการ การเรียนรู้แบบแผนความสัมพันธ์เชิงอำนาจเช่นนี้จึงมีความสำคัญสำหรับคนที่จะก้าวเข้าสู่ชนชั้นนำของสังคม น่าสังเกตนะครับว่า ประเพณีรับน้องใหม่เริ่มที่มหาวิทยาลัยก่อน แล้วจึงขยายไปสู่โรงเรียนมัธยมและประถม ที่น่าสังเกตต่อมาก็คือ โรงเรียนมัธยมที่รับประเพณีรับน้องใหม่มาอย่างถึงพริกถึงขิงคือโรงเรียน "ผู้ดี๊ผู้ดี" เช่น โรงเรียนสาธิตของทุกมหาวิทยาลัย หรือโรงเรียนดังอื่นๆ เพราะเด็กมัธยมเหล่านี้ล้วนอยู่ในครรลองที่จะก้าวผ่านประตูไปสู่ความเป็นชนชั้นนำทั้งสิ้น

ผมไม่เคยได้ยินว่าโรงเรียนประชาบาลวัดหลังเขามีการรับน้องใหม่เลย ก็เด็กทุกคนในโรงเรียนต่างรู้ว่า จบแล้วกูก็ออกไปทำนา หรือรับจ้างเหมือนพ่อแม่กูนั่นเอง และในสังคมแบบนั้นมีแบบแผนความสัมพันธ์เชิงอำนาจอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ได้จำลองมาจากความสัมพันธ์ขององค์กรราชการ

แหล่งที่มาของอำนาจในวัฒนธรรมไทยเดิม ซึ่งยังปรากฏให้เห็นในชุมชนเกษตรกรรมชนบทของปัจจุบัน มีความหลากหลายมาก ผมหมายความว่า เราไม่อาจจัดบันไดเพียงอันเดียวเพื่อวางทุกคนลงไปตามขั้นบันไดได้หมด คนรวยก็มีอำนาจบนบันไดอันหนึ่ง กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านก็มีอำนาจบนบันไดอีกอันหนึ่ง จ้ำหรือ แก่วัดซึ่งอาจจะยากจน แต่มีความรู้ที่ชาวบ้านเห็นว่าจำเป็นแก่ชุมชนก็มีอำนาจอยู่บนอีกบันไดหนึ่ง จนถึงที่สุดลุงแก่ๆ คนที่หุงข้าวกระทะได้เก่ง ก็มีอำนาจในอีกบันไดหนึ่ง เพราะถ้าแกไม่ช่วย ก็จัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ไม่ได้

ฉะนั้น อำนาจในวัฒนธรรมชาวบ้านจึงกระจายไปยังคนต่างๆ ในชุมชนอย่างกว้างขวาง ไม่ได้อยู่ในระบบลำดับขั้นของอำนาจเพียงระบบเดียว เหมือนองค์กรราชการ

ถ้านิยามอำนาจในระดับพื้นฐานเลย อำนาจคือความสามารถที่ทำให้คนอื่นทำตามความปรารถนาของตัว และในทุกสังคมมนุษย์การใช้อำนาจย่อมมีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัญหาก็คือคนในวัฒนธรรมชาวบ้านอย่างที่ผมกล่าว ซึ่งมีอำนาจจากฐานที่ต่างกันจะใช้อำนาจแก่กันอย่างไร ?

นี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมาก วัฒนธรรมชาวบ้านเชี่ยวชาญด้านกลวิธีที่หลากหลายและสลับซับซ้อน ในอันที่จะทำให้ความปรารถนาของตัวสัมฤทธิผล นับตั้งแต่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ รวมไปถึงสร้างความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์, ใช้เส้น (เช่น ดึงเอาญาติผู้ใหญ่หรืออุปัชฌาย์ของคนที่เราจะใช้อำนาจมาอยู่ฝ่ายเดียวกับเราก่อน), ใช้เสียงของคนหมู่มากบีบบังคับทางอ้อม, ยกย่องให้เป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ, ฯลฯ

พูดให้ฟังขลังๆ ก็คือ ปฏิบัติการทางอำนาจ ของชาวบ้านละเอียดอ่อน และต้องใช้สติปัญญามากกว่าพวก "ปัญญาชน" ในมหาวิทยาลัยอย่างมาก

เพราะ "ปัญญาชน" มีวัฒนธรรมของความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่จัดอำนาจไว้ในลำดับขั้นของบันไดเดียว ฉะนั้น การใช้อำนาจจึงง่ายมาก นั่นก็คือออกคำสั่ง ถ้าเกรงว่าเขาไม่เชื่อก็ข่มขู่ตะคอก ไปจนถึงใช้กำลังบังคับเอาด้วยวิธีต่างๆ ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย

ชนชั้นนำไทยรู้จัก ปฏิบัติการเชิงอำนาจ อยู่อย่างเดียว คือบีบบังคับ อีกทั้งไม่รังเกียจความรุนแรงที่จะใช้ในปฏิบัติการเชิงอำนาจอีกด้วย ขอแต่ให้ผู้ใช้ความรุนแรงนั้นยืนในตำแหน่งที่ถูกต้องของบันไดแห่งอำนาจเท่านั้น

นี่คือเหตุผลที่ผู้คนในสังคมซึ่งเข้าถึงสื่อพากันสนับสนุนการฆ่าตัดตอนในสงครามยาเสพติด, เคยสนับสนุนการใช้ความรุนแรงกับผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้, สนับสนุนการขจัดอาชญากรรมด้วยโทษที่รุนแรง เช่น จับอาชญากรคดีข่มขืนตอน หรือนำโทษประหารชีวิตมาใช้กับคดีอุกฉกรรจ์เพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการลดหย่อน ฯลฯ

ก็สั่งแล้ว ไม่ฟังนี่หว่า

ฉะนั้น ทุกครั้งที่ผู้คนซึ่งได้รับการศึกษาสูงๆ และสังกัดอยู่ในชนชั้นนำพูดว่า คนไทยชอบให้ใช้อำนาจเด็ดขาด, เฉียบขาด, เฉียบพลัน และรุนแรง ผมอดรู้สึกทุกครั้งไม่ได้ว่า พวกมึงเท่านั้นหรอกที่เป็นอย่างนั้น ชาวบ้านไทยหลีกเลี่ยงการใช้อำนาจในลักษณะเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง

กว่าชุมชนในชนบทจะตัดสินใจทำอะไรร่วมกันได้สักอย่าง มีการเจรจาต่อรอง โอ้โลมปฏิโลม รวมทั้งนวดเส้นเกาหลังกันมามาก จึงจะได้มติเอกฉันท์ของชุมชน โดยไม่มีใครสั่งให้ใครทำอะไร (อย่างออกหน้า) เลย

วัฒนธรรมราชการจึงเป็นเรื่องตลกในหมู่บ้านเสมอมาไงครับ เพราะทุกคนขอรับกระผมกับนายอำเภอเสมอ โดยไม่เคยทำตามที่นายอำเภอสั่งสักครั้งเดียว

ก็นายอำเภอทุกคนต่างจบมหาวิทยาลัยและผ่านพิธีกรรมรับน้องมาแล้วทั้งนั้น ทั้งในฐานะรุ่นน้องและรุ่นพี่

ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของรุ่นพี่ก็คือ จะกลืนอำนาจเถื่อนของตัวเข้าไปในระบบแห่งอำนาจที่เป็นทางการได้อย่างไร ตราบเท่าที่กลืนไม่ได้ ก็ยากที่จะทำให้รุ่นน้องยอมรับบันไดแห่งอำนาจอันเดียวได้

รุ่นพี่ที่จุฬาฯ ทำให้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้องกลายเป็น "ประเพณี" ซึ่งเป็นหนึ่งในคำขวัญของนิสิตมหาวิทยาลัยนั้น

อะไรที่เป็น "ประเพณี" ไปแล้วนี่เลิกยากนะครับ เพราะถ้าเลิก "ประเพณี" นี้ได้ เดี๋ยวก็จะพาลไปเลิก "ประเพณี" โน้นเข้าอีก และมหาวิทยาลัยไทยโดยเฉพาะจุฬาฯ นั้น เขาตั้งขึ้นมาทำไมหรือครับ หนึ่งในหน้าที่หลักคือตั้งขึ้นมาเพื่อรักษา "ประเพณี" น่ะสิครับ โดยเฉพาะ "ประเพณี" ทางสังคมและการเมืองซึ่งให้อภิสิทธิ์แก่อภิสิทธิ์ชน

ด้วยเหตุดังนั้น ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่รุ่นพี่สร้างขึ้นครอบงำรุ่นน้อง (และแสดงออกให้สังคมได้รู้ผ่านพิธีกรรมรับน้อง) จึงได้รับการยอมรับและส่งเสริมโดยนัยยะจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เสมอมา

สมัยผมเรียนจุฬาฯ บางคณะมีกฎห้ามไม่ให้น้องใหม่ใช้บันไดหน้าขึ้นตึกบางแห่ง อาจารย์คณะนั้นก็รู้ แต่ไม่เคยมีใครบอกน้องใหม่ว่า นี่ไม่ใช่กฎของมหาวิทยาลัย น้องใหม่ต้องแต่งเครื่องแบบของมหาวิทยาลัยให้ถูกต้องเป๊ะ บางครั้งมหาวิทยาลัยก็ช่วยกวดขันให้ด้วย แต่ไม่เคยกวดขันกับรุ่นพี่เลย (เช่น เด็กผู้หญิงต้องสวมถุงเท้าขาวจนกว่าจะผ่านปี 1 แล้ว)

มาในภายหลัง ผมพบว่าน้องใหม่ถูกบังคับขืนใจโดยเปิดเผยมากขึ้นในทุกมหาวิทยาลัย บังคับให้วิ่งและซ้อมเชียร์กันทุกเย็นจนดึกดื่น มีว้ากเกอร์ออกมา "ปฏิบัติการทางอำนาจ" ที่สิ้นปัญญาให้เห็น ฯลฯ แต่ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนร้อนใจต่อแบบปฏิบัติของความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ไร้ความเท่าเทียม และทำลาย "มนุษยภาพ" อย่างซึ่งๆ หน้าเช่นนี้เลยสักแห่งเดียว

ถึงส่วนใหญ่ของน้องใหม่ไม่ได้ฆ่าตัวตายทางกาย แต่ทุกคนตายทางวิญญาณ และสติปัญญาไปหมดแล้ว ภายใต้สายตาของมหาวิทยาลัยนั้นเอง

ที่มหาวิทยาลัยไม่กระดิกทำอะไรตลอดมานั้น ก็เพราะลึกลงไปจริงๆ แล้ว ความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบนี้คือวัฒนธรรมของอาจารย์และผู้บริหารมหาวิทยาลัยนั่นเอง ก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือที่น้องใหม่ซึ่งกำลังก้าวเข้าสู่ความเป็นชนชั้นนำของสังคม จะต้องเรียนรู้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในวัฒนธรรมนี้

ปัญหารับน้องใหม่จึงไม่ใช่นอกหรือในสถานที่, หรือท่าเต้นที่น้องถูกบังคับให้ทำมันลามกอนาจารหรือไม่, หรือครูดูแลได้ทั่วถึงหรือไม่ ฯลฯ มันลึกกว่านั้นแยะครับ

เพราะมันเกี่ยวกับวัฒนธรรมอำนาจของชนชั้นนำไทย ซึ่งรุ่นพี่, อาจารย์, ผู้บริหาร, สังคมคนอ่านหนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่ตัวน้องใหม่เอง ต่างสังกัดอยู่ในวัฒนธรรมอำนาจอันเดียวกันนี้

ฉะนั้น ถ้าอยากแก้ไข ไม่ใช่ไปแก้ที่ตัวพิธีกรรมซึ่งทำหน้าที่เพียงช่วยตอกย้ำความสัมพันธ์ทางสังคมที่ผู้คนยอมรับอยู่แล้วเท่านั้น แต่ต้องไปแก้ให้ระบบการศึกษาเป็นระบบการเรียนรู้ที่ไม่สร้างบันไดแห่งอำนาจบันไดเดียว เช่น มีเด็กที่ได้เป็นวีรบุรุษ-สตรีเต็มไปทั้งห้อง (เมื่อไหร่เด็กคะแนนบ๊วย แต่วาดเขียนเก่งจึงจะได้รับการยกย่องเท่ากับที่หนึ่งของห้องเสียที) ในขณะเดียวกันก็ต้องไปแก้ที่ระบบการเมือง, เศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มชนชั้นนำนั่นแหละ ให้ยอมรับอำนาจที่หลากหลาย และ ปฏิบัติการทางอำนาจ ที่ต้องใช้เหตุผลกันมากขึ้น แทนที่จะใช้แต่ตำแหน่งบนขั้นบันได

อย่างไรก็ตาม ผมออกจะสงสัยด้วยว่า ถึงเราไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง ระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่จำลองมาจากองค์กรราชการซึ่งเป็นระบบความสัมพันธ์กระแสหลักในหมู่ชนชั้นนำไทย กำลังจะถูกท้าทายมากขึ้นจากระบบความสัมพันธ์แบบอื่นเรื่อยๆ ถึงจะยกกันขึ้นไปเป็นซีอีโอ นับวันซีอีโอก็ทำอะไรไม่สำเร็จมากขึ้น จนเกือบจะกลายเป็นตัวตลกไปแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่า ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นในพิธีรับน้องและการปฏิบัติต่อน้องใหม่ในมหาวิทยาลัย คือสัญญาณของการล่มสลายของระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่กำลังจะพ้นสมัยไปเสียแล้ว