Picasa & Copernic Desktop Search อยากให้เหมือนแต่ก็ได้แค่นั้น T_T

วันนี้เพิ่งนั่งดู MacWorld 2005 จบไป ก็รู้สึกว่า iPhoto กับ SportLight ช่างสุดยอดอะไรเช่นนี้

เลยทำการออกสรรหาสิ่งที่คล้ายๆ กัน ถึงจะไม่มากก็ตามที และแล้วผมก็ได้มันมาคือ Picasa 2 ซึ่งเป็นโปรแกรมของ Google นั้นเอง ส่วนอีกตัวคือ Copernic 1.2 Desktop Search ถึงจะไม่เหมือนกันมากก็ตามทีแต่ก็คล้ายๆ

Picasa 2 ได้รับการยอมรับว่าใกล้เคียง (ใกล้เคียงเท่านั้นนะครับไม่ใช่เหมือน) กับ iPhoto ของ Mac มากพอสมควรทีเดียวทั้ง Effect และการใช้งานต่างๆ อ่านจาก Slashdot มาก็กำลังเถียงๆ กันอยู่เหมือนกันครับ แต่ถ้าใครอยากลองก็เข้าไปที่ http://www.picasa.com เพื่อทำการดาวน์โหลดมาเล่นๆ กันได้ครับ แต่เท่่าที่ทดสอบก็ ยอมรับว่าใช้ทรัพยากรมากครับ อีกทั้งต้องทำการค้นหารูปต่างๆ ก่อนเพื่อทำการ index ฐานข้อมูลต่างๆ ในโปรแกรม และแถมยังสามารถกำหนดการทำงานต่างๆ ทั้งการทำ Mornitor Folder หรือการปรับเปลี่ยนต่างๆ ในค่าของโปรแกรมได้เยอะมาก อีกทั้งมี function การปรับแต่งรูปที่น่าสนใจมากมายครับ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการทำ Photo Album มากเลย หรือแม้แต่ต้องการจัดหมวดหมู่ของรูปภาพต่างๆ แถมด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อกับกล้องถ่ายรูปดิจิตอลได้อีกด้วยครับ ซึ่งก็สามารถ Import ได้กับ Scanner ได้อีกด้วย แต่การทำ index ฐานข้อมูลนั้นค่อนข้างนานครับ และเยอะด้วยเกือบ 200MB ได้ครับ แต่เมื่อทำสำเร็จแล้วเราจะค้นหาหรือปรับแต่งจะทำได้ง่ายมาก อ่อ อีกอย่างที่เข้ามาเป็นจุดเ่ด่นคือการทำ Searching ที่ดีเยี่ยมตามแบบฉบับของ Google ครับ เป็นลักษณะการทำงานแบบ Realtime Search ครับโดยไม่ต้องทำการกดปุ่ม Search แต่อย่างใดครับ สะดวกและรวดเร็วมากครับ แต่มันยังไม่รองรับภาษาไทยในการค้นหาครับ และใครที่เก็บรูปภาพไว้เยอะๆ น่าจะเหมาะสมเป็นอย่างดีครับ แต่มัน ….. ไม่รองรับภาษาไทยในการแสดงผล ……. เซงอีกแล้วครับท่าน เฮ้อ …… T_T แต่เก็บไว้ก่อนเอาไว้เล่นอย่างอื่นได้ …. อิๆๆๆ

ต่อมาเรามาคุยกันต่อที่ Copernic Desktop Search ครับ

จากที่ได้ทดสอบลองใช้มา ก็รู้สึกว่าหน่วงๆ เครื่องพอสมควรครับและ index ฐานข้อมูลแบบเดียวกับ Picasa ทำการใหญ่มากๆ ถึง 500 – 600MB ทีเดียว ทำให้เปลื่องพื้นที่ในการเก็บข้อมูลไปมากพอสมควรเดียว แต่ที่ประทับใจคือการค้นหาที่ทำด้วยรวดเร็วหลังจากทำ index และการค้นหาจะแยกเป็นหมวดๆ ไปแทนที่จะรวมกันไว้แบบ SoprtLight ของ Mac แต่ก็ถือว่าทำได้ดีในการค้นหาครับ แต่ตอนนี้เอาออกไปแล้วเนื่องจากทนต่อการโหลดที่หนักไม่ไหวครับ เครื่องผมแรม 512MB คงรับไม่ไหว เพียงแค่เอาไว้ใช้ทำงานก็จะไม่พอแล้ว ถ้ามาเจอะทำ realtime index ของ copernic คงทำงานได้ช้าลงไปอีกครับ เลยต้องถอดใจ ทำการ uninstall ออกจากเครื่องไป …….. T_T

Computer Science != Programming and Programmer

Found this on Lambda the Ultimate weblog entry, about what George E. Forsythe (founder of Stanford’s Computer Science Department) thought about Computer Science. This is originally written in Stanford technical report, number 26. Quote here:

“I consider computer science to be the art and science of exploiting automatic digital computers, and of creating the technology necessary to understand their use. It deals with such related problems as the design of better machines using known components, the design and implementation of adequate software systems for communication between man and machine, and the design and analysis of methods of representing information by abstract symbols and of processes for manipulating these symbols. Computer science must also concern itself with such theoretical subjects supporting this technology as information theory, the logic of the finitely constructable, numerical mathematical analysis, and the psychology of problem solving. Naturally, these theoretical subjects are shared by computer science with such disciplines as philosophy, mathematics, and psychology.”

พบข้อความนี้จาก Lambda the Ultimate weblog ซึ่ง George E. Forsythe คือผู้ก่อตั้ง ภาควิชา Computer Science ที่มหาวิทยาลัย Stanford ได้กล่าวเกี่ยวกับ Computer Science ไว้ได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งนี่คือข้อความที่เขียนไว้ใน Stanford technical report หมายเบข 26 มีข้อความว่า

“ฉันคิดว่า Computer Science เป็น ศิลป์ และ ศาสตร์ ของการทำงานของเครื่องดิจิตัลคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ และเป็นการสร้างสรรค์เทคโนโลยี เพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่เราจะใช้มัน มันเป็นการนำปัญหาต่างๆ มาออกแบบเพื่อให้เครื่องทำงานได้ดีกว่าเดิมเพื่อรู้จักส่วนประกอบต่างๆ การออกแบบผลของสำหรับระบบซอฟต์แวร์ที่เพียงพอต่อการสื่อสารระหว่างมนุษย์ กับเครื่องจักร และเป็นการออกแบบ และวิเคราะห์ขั้นตอนของข้อมูลที่เป็นตัวแทนของสิ่งที่อุปมาณขึ้นมา ด้วยสัญลักษณ์ที่ก่อกำหนดขึ้นจากผลของก ารประมวลผลของข้อมูลที่จับต้องได้ทางสัฐลักษณ์ Computer Science น่าจะเหมือนกับการนำหัวของทฤษฎีที่สนับสนุนเทคโนโลยีต่างๆ เหมือนกับทฤษฎีสารสนเทศ, ตรรกะของขอบเขตข้อมูล ,ระบบจำนวนตัวเลขในการวิเคาะห์ทางคณิตศาสตร์ และปรัญญาด้านการแก้ปัญหาต่างๆ โดยตัวของมันเองแล้ว Computer Science คือหัวข้อของทฤษฎีที่ว่าด้วยเรื่องของการเชื่อมโยงกันโดยหลักของปรัญญา, คณิตศาสตร์ และจิตศาสตร์”

จะเห็นได้ว่า concept ของ Computer Science มิได้สร้างมาเพื่อเป็น Programmer แต่ประการใด แต่เป็นการ “ศึกษาขั้นตอนการแก้ปัญหา วิเคราะห์ และออกแบบการแก้ปัญหาโดยใช้หลักของปรัญญา, คณิตศาสตร์ และจิตศาสตร์ ในการแก้ปัญหาต่างๆ”

ผู้แปลเป็นภาษาไทย Ford AntiTrust
ผู้นำเสนอถึงผู้แปล Rawitat Pulam @ Tsukuba University in Japan

REF :http://rawitatpulam.blogspot.com

ปล. ไม่รู้ว่าแปลตรงความหมายมากแค่ไหนนะครับ พอดีว่าฝึกแปล ……. :P

ความรู้สึกครั้งแรกที่ได้ใช้ Mouse ไร้สาย

พอดีว่าไม่รู้นึกยังไงอยากได้ Microsoft Wireless IntelliMouse Explorer เลยสั่งซื้อจาก PantipPrice.com มาในราคา 1,990 บาท คือราคามันถูกกว่าไปซื้อเองด้วยดิ บวกค่าส่งไป 100 บาทก็ถูกกว่าอยู่ดี เพราะตามร้านราคา 2,350 บาท ถามที่ กทม. ก็ราคาครือๆๆ กัน ก็เลยสั่งทางเน็ตดีกว่าสะดวกดี แถมประกัน 5 ปี โอ้วววว ชอบๆๆ

จริงๆ ผมใช้ Microsoft IntelliMouse Optical กับ Microsoft WheelMouse Optical มาก่อนแล้ว ตัวแรกคือ Microsoft IntelliMouse Optical นั้นใช้มา 4 ปีกว่าๆ แล้วซื้อมาตั้งแต่ราคา 2,200 บาท ตอนนี้ราคา 1,000 กว่าๆ เอง แต่ทนมากสุดคุ้มอย่างแรง ใช้กับ Notebook ไปๆ มาๆ กับผมมานานด้วยซิครับ แถมตกมาก็หลายทีแต่ก็ไม่พัง ทนโคตรๆ ส่วนตัวที่สองก็ Microsoft WheelMouse Optical ก็ทนไม่แพ้กัน แต่อันนี้ใช้กับ Desktop ที่บ้านครับ ใช้มาก็ 1 ปีกว่าๆ แต่ประักัน 1 ปีแต่ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหาครับ สบายๆ

จะสังเกตุว่าผมเนี่ยบ้า Mouse Microsoft มาก ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะว่าซื้อเจ้าตัวแรกมา มันทนมาก แบบเชื่อมั่นในความทน เลยมีตัวที่สอง ที่สามตามมา อยากเปลี่ยนยี่ห้ออื่นเมหือนกัน แต่ก็ไปไม่รอดทั้ง Genuis ทั้ง Logitech ก็ไปกับเค้าไม่ถึงฝั่ง อันนี้ไม่รู้ว่าผมไปทำพังยังไง แต่ก็นะ เหมือนกับมันถูกฉโลกกับยี่ห้อนี้น่ะครับ

จริงๆ ใ้ช้ Microsoft IntelliMouse Optical มาก็มีความสุขดีมากครับ น้ำหนักเบา สายทนทานครับ คืองี้ครับ สายเนี่ยถ้าไม่อยากขาดใน แนะนำให้หาพวกสายที่แข็งๆ นิดนึงครับ เพราะว่าพวกอ่อนๆ มันจะบิดงอ ได้ง่ายเส้นลวดภายในมันจะหักกว่าแบบแข็งๆ ครับผม

แต่ด้วยความอยากและประกอบกับว่าเริ่มมีการ Present งานมากขึ้นมันไม่สะดวกเดินไปๆ กลับๆ มาคลิ้ก Mouse เลยจัดการซื้อซะเลยดีกว่า ก่อนซื้อก็สรรหาความรู้เสียก่อน ไม่งั้นอาจจะใช้งานได้ไม่เต็มที่นัก

อย่างแรกคือระยะการใช้งาน หรือสัญญาของคลื่นจากตัว RF นั้นก็ใน Spec เขียนไว้ 6 ฟุต จากตัว RF แต่ที่รองๆ ก็ได้เกือบๆ 8 ฟุตได้

อย่างที่สองคือขนาดตัว Mouse รุ่นนี้ ค่อนข้างใหญ่ แต่สำหรับผมมันพอดีมือเลยหล่ะ มือผมคงใหญ่มั้งครับ -_-‘’

อย่างที่สามคือมันใส่แบตเตอร์รี่ ชนิด AA จำนวน 2 ก้อนด้วยกันซื้อทำให้ Mouse หนักกว่า ตัวเก่าถึง 50% เลยทีเดียว ทำให้มันไม่ถนัดในตอนแรกที่ใช้งาน แต่ใช้ไปได้สัก วันสองวัน ก็เข้าร่องเข้ารอยใช้งานสบายๆ แล้ว แต่พอกลับมาใช้ตัวเก่าเบาเกินอีก ชีวิตเลยขาดๆ เกินๆ ไปสักพักนึง ( ฮา… ) ซึ่งผมซื้อมาเค้าแถมแบตฯ มาให้คือ Alkaline Energizer มาให้ 2 ก้อน ก็ ok แต่ไม่ได้ใส่ เพราะเก็บไว้ใช้อย่างอื่น เพราะผมมี Sony Ni-MH 1700mAh 4 ก้อน เลยเอามาใส่ Mouse 2 ก้อน ใส่ Walkman ผมอีก 2 ก้อนพอดีเลย …. :P ทำให้ประหยัดเรื่องแบตฯ ไปได้มากเลยหล่ะ แต่เท่าที่ดูก็คงใช้ได้ไป 6 เดือน ไม่คงได้ชาร์จ 1 ครั้ง มั้งถ้ามันเป็นไปตามสเปคที่เค้าบอกมานะ แต่ว่าคงจะน้อยกว่านั้น น่าจะเดือนละ 1 ครั้งมากกว่า แต่จริงๆ ใส่ก้อนเดียวก็ได้ ทำงานได้เหมือนกัน แต่ว่ามันใส่ไปแล้วก็ใส่ๆ ไปเหอะ จะได้ออกกำลังกายข้อมือมั้ง อิๆๆ

ต่อมาเรื่อง Tilt Wheel ก็สะดวกดี แต่ตัว Wheel เองมันนิ่มๆ เวลาหมุนแล้วไม่รู้ว่ามันหมุนไปเท่าไหร่ ไม่เหมือนตัวเก่ามันแข็งกว่าตัวใหญ่เยอะเลย แต่คิดในใจว่าใช้ๆ ไปคงชินเองนั้นหล่ะ

ส่วนพวกปุ่ม Back / Forward ก็รู้สึกว่ามันใช้ฝื่นๆ ไปหน่้อยคงติดตัวเก่ามั้ง แต่มันชอบกดพลาดเพราะว่ามันชิดกันเกินไปนั้นหล่ะครับ

ส่วนอื่นๆ ก็ ok ทั้งหมดครับ

แต่จริงๆ อยากได้แบบ Bluetooth แต่ว่ามันหาไม่ได้ มีแต่ของหิ้ว เลยไม่เอาดีกว่า ขอบายครับ

แต่ก็อย่างที่บอกครับ ว่าเ Mouse ไร้สายก็มีข้อเสียหลายๆ อย่างแต่ข้อดีก็มีเยอะเหมือนกัน จริงๆ ตัว RF ใช้ไฟจาก USB แค่ 25mA เองครับ น้อยกว่า Microsoft IntelliMouse Optical เยอะเลยครับ ซึ่งเจ้า Microsoft IntelliMouse Optical กินไฟ 100mA ครับ

แต่ถ้าพูดถึงความแม่นยำแล้ว ก็พูดได้ว่าดีๆมากๆ ไม่รู้สึกว่ามันต่างจากแบบมีสายเลย แถมรุ่นใหม่ที่ซื้อมาก็จับถนัดมือมากกว่าด้วยครับ

วันนี้ก็เอาไว้แค่นี้ก่อนดีกว่าไปนอนก่อนนะครับ ………….. :)

จบคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์จะไปทำอะไร

คำถาม : อยากรู้ครับ ว่าจบคณะวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ แล้วไปสมัครงานอะไรได้ครับ จะหาสมัครงานได้จากที่ไหน แล้วก็ ทำไมคนถึงไม่นิยมเรียนคณะวิทยาศาสตร์กันครับ

ถ้าจบไปจะไปต่อยอดหรือทำงานอะไร นั้น ในสาย Science นั้น มีทางเลือกได้มาก เพราะว่า Science คือศาสตร์ที่ว่าด้วยการทำงานที่เป็นระบบ ขั้นตอน ซึ่งคือการจัดการนั้นเอง หรือ Managment ครับ คุณต้องมีคุณลักษณะใน Sci’ method ที่มาก (ขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์) จริงๆ คุณต้องได้รับมาก การทำงานเป็นขั้นเป็นตอน ทำงานด้านวิจัยจะไปได้ดีกว่าครับ คนจบวิทย์มา จะได้เปรียบมากๆ เพราะว่าเรียนมาขั้นตอนมันสอนครับ แล้วไปเรียนต่อยอดด้าน SA หรือ NS ก็ได้

ต่อมาครับ การทำงานในระดับ Com Sci นั้นเป็นการนำขั้นตอน ทั้งปรัญญาศาสตร์, จิตศาสตร์ และคณิตศาสตร์ มารวมกันให้เกิดการตอบโจทย์ของคำถามที่ส่งมา

คุณต้องใช้ ปรัญญาศาสตร์และจิตศาสตร์เพื่อทำให้เกิดการทำงานร่วมกัน ระหว่างโปรแกรม รวมถึงระหว่างคน และทีมงานด้วย (วิทย์ต้องทำงานเป็นทีม และทำงานเป็นระบบครับ ซึ่งใช้ใน การเชื่อมโยงให้คุยกันได้ระหว่างระบบ หรือขั้นตอนนั้นๆ) และใช้คณิตศาสตร์ในการทำขั้นตอนในการ ตอบคำถามในแต่ละส่วนทั้งแนว condition หรือinteration ต่างๆ เป็นต้น

ผม intro มานาน ต่อในเรื่องทำงานต่อนะครับ

นั้นหมายความว่าคนที่จบวิทย์มานั้นทำงานในสายจัดการระบบ หรือทำงานในสายคิดค้นก็ได้ เพราะได้พื้นฐานจากความรู้และขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ มาครับ ซึ่ง ส่วนมากที่ได้เรียนกันก็มีในส่วนของ Computation, Algorithm, Data Stucture, Software Engineering (อันนี้สาย CS เรียนนะครับ ชื่อบอกวิศวะ แต่จริงๆ คอร์สมันเป็นของ CS ครับ), Software Analye ฯลฯ จริงๆ มีอีกหลายตัวครับ

ผมมองว่าการทำอาชีพมันจะไล่อันดับไปเรื่อยๆ ครับ จากคน Coding -> Team Leader -> Team Director -> Brand Manament -> Software Leader -> Corp Mangament ครับ จริงๆ มีมากกว่านี้แต่ไล่คร่าวๆ ครับ

การทำงานต้องรู้งานในส่วนนั้น ๆ แล้วค่อยๆ ไล่ตัวเองขึ้นไปครับ ไม่งั้นเราจะไม่รู้งานด้านล่าง แล้วเราจะจัดการ การทำงานพลาดครับ เหมือนกับคนที่ไม่รู้การตกปลาว่ายากแค่ไหน แต่ไปบอกให้ลูกจ้างตกปลาได้เยอะๆ โดยไม่รู้ว่ามันจับได้ยาก นั้นหล่ะคัรบ ……..

แล้วทำไมคนไม่ชอบเรียนผมบอกไว้เลยว่า เป็นเฉพาะที่ไทยมากกว่ามั้งครับ

ตอบตรงๆ นะ

“คณะนิยม”

ต่อการทำงานนิดนึงครับ จริงๆ แล้วทำงานได้เยอะนะครับสาบวิทย์

สายบริหาร, สายจัดการระบบ, สายค้นคว้าวิจัย, สาย Coding ครับ เอาแค่นี้ก่อนดีกว่าครับ

จริงๆ CS ไม่ได้จบออกมาแค่เขียนโปรแกรมนะครับ แต่ทำด้านอื่นได้อีก แต่ใช้สิ่งต่างๆ ที่เรียนมา นำมาประยุกต์ใช้ครับผม

ส่วนเรื่องการหางานนั้น แนะนำว่าให้ทำงานแนว Freelances ตอนเรียนไปก่อน (ถ้ายังเรียนอยู่นะครับ) แต่ถ้าจบมาแล้ว แนะนำให้ทำงานใน SWH ครับ ผมว่าได้ประสบการณ์ในการทำงานมากครับ ถึงจะโดนใช้เยี่ยงทาส เครียด แต่คุ้มในเรื่องประสบการณ์การทำงานครับ

ผมว่าทำงาน SWH กับตอนทำ project จบผมว่า SWH น่าจะลำบากน้อยกว่านิดๆ นะครับ เพราะว่าทำงานตอน project ทำเพื่อจบ เงินก็เสียเอง ทุกอย่าง แถมไม่ได้เงินเดืิอนเบี้ยเลี้ยง อีก แต่ทำงาน SWH ได้เงินเดือน สวิสดิการก็ได้ขึ้นกับบริษัท เครื่องมือต่างๆ หรือการทำเอกสารต่างๆ ก็ของ SWH ครับไม่ใช่เงินเราย่อมไม่ต้องออกเอง เพียงแต่ใช้งานให้ตรงกับ SWH ครับไม่ใช่ไปยักยอกเค้าเป็นของตนครับ

ผมว่าสบายกว่ากันตั้งเยอะครับ แถมได้เจอปัญหาใหม่ๆ ทั้งคน ทั้งงานเยอะมากครับ มีประโยชน์ในอนาคตแน่นอนครับ

ลำบากตอนแรกครับ ได้อะไรเยอะครับ แล้วเจออะไรสบายๆ ผมว่ามองอะไรได้กว้างขึ้นเยอะครับ เพราะเราลำบากมาแล้ว จะเข้าใจคนทำงานด้านล่าง ถ้าเรามาทำงานบริหารครับ …..

ปล. คิดในทางที่ดีไว้ครับ ชีวิตจะได้ไม่ทุกข์มากครับ