ขอบ่น 1 – “เฮ้ย ทำไมไม่หากันเองก่อนฟร่ะ และหายนะที่จะตามมา”

เดี่ยวนี้เริ่มมีเพื่อนๆ น้องๆ เริ่มขอโน้นขอนี่ทาง IM มากขึ้นไอ้เราก็ไม่มีเวลา แต่เออ ช่วยๆ กันก็ได้เลยหาให้ แต่จนแล้วจนรอดเวลาเราไม่ว่างก็ดันมาถาม โทรหามั้งหล่ะ ทำอย่างกับเราเป็น Technician Support อย่างงั้นหล่ะ ไอ้ช่วยอ่ะช่วยได้ แต่นี่เล่นแม่งเช้าสายบ่ายเย็นก็ไม่ไหวนา …..

หากันเองก่อนได้ไหม Google, Yahoo หรือแม้ต่ MSN Search ใช้หากันก่อนถ้ามันไม่ได้แล้ว ค่อยว่ากันอีกที

ทุกวันนี้มันทำไมเป็นกันแบบนี้ผมก็ไม่เข้าใจว่าที่เค้าเล่นอินเตอร์เน็ตกันเนี่ย เค้าไม่ได้ศึกษาหลักการใช้งาน Search Engine กันเลยหรือไง ถึงได้ใช้กันไม่เป็น

ภาษาก็เหมือนกัน ใช้กันหน่อย ศึกษากันมาตั้งแต่ ป.1 เนี่ยจะม.6 หรือ ม.3 บางคนจะจบ ป.ตรี ยังขี้คร้านจะอ่านมันอีก

ผมเป็นเทวดาหรือไง ถึงให้แปลให้เนี่ย แค่พออ่านออก จับใจความได้ ไม่ได้ถึงขนาดแปลได้เล่าได้เหมือนเจ้าของภาษานะ

เฮ้อ ….. เซง จริงๆ มันเกิดจากอะไรผมไม่แน่ใจนะนิสัย ป้อนเอาๆๆ

แต่สังเกตไหมหล่ะว่า นักเรียนไทย หรือแม้แต่ประชาชน ไทยของเราเข้าร้านหนังสือเป็นอัตราส่วนที่ยังคงน้อยอยู่ ที่อ่านกันจริงจะเป็นหนังสือแนวแฟชั่น มากกว่าส่วนพวกสาระความรู้แบบเต็มๆ ทั้งเล่มแทบจะหาได้ลำบากมาก ส่วนใหญ่จะเอาไปลงแทรกๆ ซะมากแต่ว่าหาคนอ่านได้น้อย เพราะว่ามันไม่น่าสนใจกว่าดาราคนที่เราชื่อชอบเท่าไหร่น่ะซิ

สังคมเรานี่แปลกนะ รายการ Reality Show ตอนนี้ก็ปา ไปหลายรายการแล้วแถมพวกประกวดทางความสวยความงาน ใครได้ก็ดังกันใหญ่ แต่ทีพวกความรู้ โอลิมปิก หรือแข่งขันงานด้านวิชาการต่างๆ เงียบเป็นป่าช้า

“เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษา งานวิชาการ และความรู้มากเท่ากับสิ่งที่เป็นมายา สังคมเราอ่อนแอลงเพราะภาพมายาที่คนเหล่านั้นสร้างขึ้น มันกำลังบ่อนทำลายสังคมนี้อย่างช้าๆ และกำลังเห็นผลในเร็ววัน”

มันเลยทำให้เราถูกยัดเยียดความสบายจากสิ่งที่ได้มาง่ายๆ ทั้งการประกวดที่ไปยืดๆ แสดงความสามารถปัญญาอ่อน (บางคน) หรือไปเดินส่ายๆ ร้างเพลงปาวๆๆ แล้วก็ได้รางวัลมา นี่หรือสิ่งที่เรียกว่าสังคมที่จะเป็นสังคมอุดมปัญญา(อ่อนนะซิ)

แต่ผมรู้สึกดีนะในบางแง่ บางช่องรายการทีวีของเรา ยังมีรายการดีๆ ให้ดูบาง ถึงแม้มันจะน้อยก็เถอะ มันก็ยังทำให้เราเพิ่มรอยหยักสมองได้มากกว่าที่ควรเป็น

ถึงแม้ผมจะได้ดูพวก UBC Excite หรือแม้แต่ Discovery ซึ่งมันได้ความรู้อย่างมาก แต่ผมกลับสงสารคนที่ไม่ได้ดู เค้ามีทางเลือกอะไรไหมในการได้ความรู้ต่างๆ มามันน่าแปลกที่เรายัดเยียดภาพมายา แต่ไม่เห็นมีใครยัดเยียดความรู้ให้มั่งเลย

ภาพมายาเหล่านั้น ทำให้เราอยากสบายอย่างนั้นบ้าง วันๆ ไม่ต้องทำอะไร เอาแต่หาคนรัก เอาแต่แก้แค้น หรือแม้แต่ทำงานสบายๆ ซึ่งชีวิตจริงๆ มันมีหรือเปล่าหล่ะ

คนไทยเราเลยได้ภาพว่า เฮ้ย จบไปทำงานแล้วสบาย ไม่ต้องคิดเอง มีหนังหรือละครสักเรื่องไหมหล่ะครับ ที่เป็นแนวสาระ หรือบ่งบอกความเป็นคนให้ความรู้แนวต่างๆ ผมว่ามีอยู่ไม่ถึง 10% และส่วนมากจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะไปเหยียบหางพวกใหญ่ๆ โตๆ ก็มี

เวรกรรมจริงๆ ส่งที่อยู่ในย่อหน้าที่แล้ว ทำให้เราไม่หาอะไรเอง เพราะ “หวัง” ว่าจะมีคนเอาสิ่งเหล่านั้นมาให้ ทั้งๆ ที่ชีวิตจริงมันไม่มีหรอก จะบ้าเหรอ ถ้ามันมีและเจอกันทุกคน คงไม่มีคนจนหรอกครับ เราไม่ยอมรับความจริงในเรื่องนี้กันหรือย่างไร ทำไมถึงได้เป็นกันแบบนี้

“เราเป็นแต่ผู้รับแต่ไมได้เป็นผุ้ให้ หรือให้มากไป จนคนรับคิดว่าไม่ต้องหาเองก็ได้ มีคนให้อยู่แล้ว “

มันเลยทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ว่า เราไม่ต้องทำอะไรนอกจากนอนรอ ความรู้ที่มันวิ่งชนเรา มีคุณครูสอน มีอาจารย์สอน สิ่งที่เค้าไม่สอน คือสิ่งที่ไม่ออก หรือสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ทั้งๆ ที่บางครั้งมันมีประโยชน์มากในอนาคต

ตอนนี้ผมเริ่มทำใจกับเรื่องนี้แล้ว บางครั้งเพื่อนผมส่งเมลมา มักจะส่ง links กลับไปหาเองซะมาก อ่านเอง เพราะว่ามันจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีใครคิดอะไรเอง แล้วต่อไปประเทศไทยจะแย่ เพราะว่าไม่มีคนคิดเป็น มีแต่คนใช้งาน เราจะล่มสลายแน่ในตอนนั้น เพราะว่านวัตกรรมใหม่ไม่เกิด เงินตราต่างประเทศ จะไหลออกไปเรื่อยๆ จนหมด

แล้ววิกฤตเศรษฐกิจ จะกลับมาเยือนเราอีกครั้งแน่นอนในตอนนั้น เพราะเราใช้แต่ของนอก และเงินตราสำรองที่เป็นเงินดอลล่าหมดประเทศ ….

ผมหวังว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้นในช่วงชีวิตผมอีก ……

Firefox จิ้งจอกไฟ ผยองเดช ท้าชน IE หมัดดาวเหนือ …..

มันจะอะไรกันหนักหน่า โลกนี้มันจะหาความสงบไม่มีกันเลยเหรอ ……… อย่างวันนี้ข่าวเรื่องเด็กตกรถเมล์ อีกแล้ว ทำไมช่างเป็นสิ่งที่หดหู่เช่นนี้

เราฝากอะไรไว้กับสังคม หรือผู้ให้บริการทัั้งภาครัฐบาล และเอกชนบ้าง ซึ่งทั้งๆ ที่มันน่าจะเป็นบริการที่ดีเยี่ยม แต่กลับได้ผลกลับมาตรงกันข้ามแบบสุดขั่ว ……

แต่เอาเหอะ เข้าเรื่องของเราดีกว่า ตอนนี้ผมเริ่มปลงๆ กับสิ่งเหล่านี้แล้ว หล่ะ



เมื่อวันที่ 9 ที่ผ่านมาเราได้ต้อนรับ Web Browser “Firefox” ที่ได้ออก Version 1.0 สักทีหลังจากใช้ รุ่นที่ไม่เต็มบาทด้านตัวเลข แต่ประสิทธิภาพ เซงหน้าไอ้พวกเกินบาทอย่าง IE ไปหลายขุม ……. ทั้งด้าน Stable หรือ Security
โอ้วววววววว มันเป็นสวรรค์สำหรับคนใช้งานจริงๆ …….

ส่วนแบ่งของ Web Browser “Firefox” บนโลกจะอยู่ที่ 6% ก็ตาม แต่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย ……

จน Microsoft ต้องออกมากล่าวตอบโต้ที่ Security Roundtable Discussion ที่ Sydney เมื่อพฤหัสที่ผ่านมาก Ben English ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่าย Security and Management Product ของ Microsoft กล่าวว่าใน “rigorous code reviews” และบอกว่า Browser ทุกๆ ตัวก็มีความปลอดภัยพอๆ กัน หรือไม่ได้น้้อยหน้าใครเลย

“Because IE is ubiquitous, you hear a lot more about it, but I don’t think that Internet Explorer is any less secure than any other browser out there,” นาย English กล่าว

โอ้ววววว พระเจ้าจอร์จ ……..

ท่านช่างกล่าวได้ เบี้ยงเบนเกินไปหรือไม่ และยังตามด้วยนาย Steve Vamos ตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ Microsoft สาขา Australia ว่า “เข้าไม่เชื่อว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของ IE จะถูก Firefox แย่งไปจาก IE ดั่งที่ Mozilla Foundation ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ Firefox browser”

“Steve Vamos, Microsoft Australia’s managing director, agreed, saying he does not believe IE’s market share is under attack following the recent high-profile debut of the Mozilla Foundation’s Firefox browser”

ซึ่งก็อย่างที่บอกหล่ะครับ ตอนนี้ IE โดนโจมตีมากมาย จากเหล่า Hacker, Spyware , Virus และอีกหลากหลายรูปแบบ

ช่างน่าเศร้าหนักที่คนใช้อินเตอร์เน็ตบ้านเราก็ยังใช้ IE อยู่เพราะว่ามันสะดวกกว่า ทำงานได้ง่ายกว่า (อันนี้ไม่แน่) และมันติดมากับ Windows มันเลยได้ส่วนแบ่งไปจาก Browser อื่นๆ ได้ง่ายดาย

ผมว่า เราน่าจะเอาอะไรจากการแข่งขันพวกนี้มาใช้ให้มาก เราทุนคนใช้สิ่งง่ายๆ กันเคยตัว คิดเองกันไม่เป็น ลำบากหน่อย ผมว่าชีวิตมันน่าจะดีขึ้นมากนะ …….

อยากให้ลอง Firefox แล้วจะรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่า “ความปลอดภัย” มันเป็นแบบไหน ……

เดี่ยวมาบ่นต่อแล้วกันไม่ไหวแล้วนอนก่อนดีกว่า ………

ref : Microsoft says Firefox not a threat to IE

อนาคตเราใครกำหนด (2)

“มันน่าจะเป็นสภาวะก้ำกึ่งนะ เช่น เราอาจจะดับดวงอาทิตย์ได้ อาจจะมีชีวิตอยู่ไปจน
จักรวาลสิ้นสุดได้ แต่เราก็จะมีมวลไม่พอจะล้มล้าง sigularity หรือ เราคงหยุดการ
สิ้นสุดของจักรวาลไม่ได้ เพราะชีวิตก็มีกรอบของมัน หรืออย่างน้อยมันก็ไม่ใช่คำตอบ
สำหรับชีวิตทุกชีวิต ดังนั้นส่วนตัวคิดว่า การกำหนดบทบาทตัวเอง เป็นสภาวะขับเคี่ยว
(dual state nature) ของ self (อัตตา) กับ universe (ปรมัตตา,อนัตตา)
จริงๆคิดว่า อะไรที่ทำแล้วมีความสุขความสงบก็น่าจะเป็นทางออกของชีวิต แต่ปัญหาคือ
ไอ้พวกที่มันไม่คิดอย่างนี้มันมักจะมายุ่มย่ามกับชีวิตเราและทำให้ชีวิตเราไม่มีความสุข :)

จาก ที่ได้อ่านไปแล้วในตอนแรกนะครับ ก็อย่างที่ว่าไปแล้ว เราคนไทยมอง และกำหนดคนอื่นมากเกินไปหรือเปล่า เค้าเป็นเรา หรือเราเป็นเค้า หรืออย่างไร จริงๆ

ผมว่าไม่ควรกำหนดว่าใครต้องทำอะไรเพื่อใคร ถ้าเค้าไม่เต็มใจทำ แต่ที่แย่กว่าคือ เมื่อเค้าทำตามอย่างที่เราต้องการแล้ว ! ดันไปบอกว่ามันยังไม่ดี หรือยังดีไม่พอ มันดูเป็นการตั้งความหวังในตัวเค้ามากเข้าไปอีก เออ มันกลายเป็นการบันทอน ศักยภาพในการดำเนินชีวิต และการทำงานรวมถึงกำลังใจ เข้าไปอีก

แต่เหตุและปัจจัยที่ผมได้กล่าวไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้มากนัก แต่อยู่ที่ค่านิยมครับ

สังคมเราเปลี่ยนไปหรือเปล่า ?

เปล่าเลย มันเป็นมาแต่เริ่มมีระบบการเรียนการสอนในประเทศไทยแล้ว หล่ะ

เราคาดหวังกับการเรียนว่าออกมาต้อง “เข้าไปรับราชการ” กันมากเกินไป เราไม่ได้มองถึงส่วนที่ ประเทศที่พัฒนาแล้วมองว่า “จบออกมาต้องเป็นหัวหน้า หรือผู้สร้าง ในอีกนัยความหมายนึงคือเจ้าของกิจการ รวมถึง สร้างสรรค์งานต่างๆ ออกมา”

รวมถูกสอนให้ “ตาม หรือลอก” มากกว่า “คิด และสร้าง”

ช่างน่าภูมิใจที่เราเป็นนักลอกเลียนที่เก่ง แต่เรากลับสร้างได้น้อยมาก …..

ปัญหาคือ !!!

เราไม่มี R&D รองรับมากเท่ากับคนจบ หรือคนเก่งๆ

คำตอบคือ !!!

มันทำให้เกิดปัญหาคนเรียนเปลี่ยนสายการเรียน เพราะ “เรียนไปแล้ว ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรได้มากเท่าที่เห็น” หรือ “มองที่ด้านหลังของคำถามมากกว่า ด้านหน้าของคำตอบที่ออกมา”

ก็อย่างที่บอกในตอนที่แล้วว่า “มองผล ก่อนเหตุ” มอง “ตัวงานที่จะทำ มองค่าตอบแทน ค่านิยม หรือความเท่ห์ ก่อนความพอใจ หรือความสนใจ ของเรา”

แล้วจะไปรอดหรือ ……. ?

คนมันไม่มีใจเรียน มองแต่การตอบแทนในอนาคต คือบางคนมองด้านเดียว บางคนยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเรียนไปทำไม หรือเอาไปทำอะไร

ตีโจทย์ในการค้นหาตัวเองไม่ออก ก็เหมือนกับ คนเดินป่าไม่รู้ทิศทาง

ชีวิตมันไม่ง่ายเหมือนกับ จีบสาว หรือชงเหล้า ….

ถ้ามันง่ายขนาดนั้น ป่านนี้คงไม่มีคนจนหรอก ….. ซึ่งเรามองแต่ด้านนอก เรามองที่มายา เราโดนการตลาดของ สื่อยัด เขาขยะเข้าหัว ขยะโฆษณาที่พร้อมจะทำให้เราตกเป็นทาสของมันได้ไม่ยาก

ใครเป็นคนกำหนดว่า เราต้องใช้ หรือไม่ใช่สินค้านั้นๆ นอกจากตัวเราเอง แล้วทำไมเราต้องไปตาม มันด้วย

อีกอย่างที่ตอนนี้เราตกเป็นทาส “เทคโนโลยี” มากมายเกินไป …. แถม ไม่ยอมรับในสิ่งที่คนไทยด้วยกันเองผลิต แต่กลับไปชื่นชม สินค้าต่างประเทศ มากกว่า

เพราะเราไม่เคยมองว่ามันดี ทั้งๆ ที่ของที่เราผลิต ต่างประเทศยอมรับมากมาย ขึ้นชื่อว่าสินค้า เกรด A ด้วยซ้ำไป

เรากำลังดูถูกตัวเอง ดูถูกคนในชาติกันเอง มันเลยย้อนกลับมาคนคนรุ่นใหม่ และทัศนคติใหม่ๆ ว่า …

“คุณต้องออกมาทำงาน ไม่ต้องคิดเองหรอก เอาความรู้ที่ได้มา เอามาทำยังไงให้มันขายได้เป็นพอ ส่วนเรื่องอื่น นายจ้างจัดการเอง”

เวรกรรม กลายเป็นว่าเราเป็นเครื่องจักรไปซะแล้ว

เอ้า !!! กลับมาที่เรื่องเราต่อ เท้าความมากเกินไปเดี่ยวออกทะเลอีก ……..

เราจะเห็นได้ว่าสังคมเรานั้นชอบกำหนดตัวบุคคล ทุกๆ คนว่าต้องไปตามนี้มากกว่า จะถามเค้าว่าอยากไปทางไหน เรากำหนดโดยยึดตัวเราว่า เราทำได้ เค้าต้องทำได้ ….

อีกปัญหาหนึ่งที่เห็นชัด …… และชัดมากคือ มาตรฐานการเรียนการสอน การออกข้อสอบ …

เราสอนให้ทำ ให้ท่อง แต่ไม่ได้สอนให้ “เข้าใจ” ทำให้เราเรียนขั้นสูงแล้วหัวไม่ดี หางก็เสีย สรุป ตายน้ำตื่น ……

ตัวอย่างง่ายๆ คือ พีรามิด …… หรือรากของต้นไม้ …. มันต้องเริ่มจากฐานที่แน่นหรือใหญ่ หรือรากต้นไม้ที่ฝั่งลึกลงไปไปในดิน

แต่เรากลับไปเอาแต่กิ่งได้ ก้าน หรือลำต้น กันก่อน ……

อย่างใกล้ตัวที่สุด เรื่องการเรียนคอมฯ ถ้าไม่เข้าใจหลักการทำงานของคอมฯ คือ Computer Architecture หรือ Computation Theory แล้ว เราจะมองอะไรได้น้อย และเข้าใจมันลำบาก หรืออาจจะแค่ท่องๆ มันเท่านั้น ให้ผ่านๆ ไป แล้วก็สอบ

แล้วอย่างนี้ พอไปเจอตัวต่อไป ก็หน้าหงายครับ เพราะว่ามันใช้พื้นเดิมมาช่วยกัน ปัญหานี้เจอมากับตัวเลยต้องไปนั่งอ่านใหม่อีกรอบ มันถึงจะไม่งง ถึงได้เข้าใจเลยว่าพื้นไม่ดี ก็จบกัน …..

นั้นก็เหมือนกับที่ผมเขียนมายืดยาวครับว่า

“ถ้าไม่รู้จักตัวเอง, ไม่มีจุดยืดที่แน่นอน และสร้างสรรค์ ก็หาทางไปไม่เจอ เราก็จะโดนคนอื่น(สังคม) กระทำอย่างที่เค้าต้องการ รวมถึงค่านิยม และสื่อโฆษณาที่ประดังเข้ามา โดยเฉพาะสังคมที่พร้อมจะเหยียบคุณเมื่อคุณแพ้ได้เสมอ ซึ่งถ้าคุณไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำ แล้วก็ยากที่จะลุกขึ้นมาแก้ไข หรือสร้างใหม่ได้ คนรุ่นใหม่ มักจะกลบความอ่อนแอด้วยการแสดงออกไหนหลายรูป ทั้งดี และไม่ดี ความอ่อนแอเหล่านี้ถ้าเราสร้างมันเป็นจุดด้อย มันจะกัดกินเรา แต่ถ้าเราสร้างมันให้กลายเป็นปมเขื่องใจ บอกให้สู้กับมัน น่าจะดีกว่ามันนั่งกลบมันไว้”

(ปมเขื่อง ตรงข้ามกับปมด้อย)

อยากให้คนที่ได้ blog เข้าใจว่า เราควรทำยังไงกับชีวิต มากกว่าที่จะไหลไปตามกระแสสังคม มันอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ว่ามันดีกว่าเราไหลไปแล้ว หาจุดยืนไม่เจอ ……

“คนเราล้มแล้วลุกยืนที่มั่นคงเดินไปในสิ่งที่ต้องการ ดีกว่ายืนแล้วเหมือนคนเมาใครจูงไปไหนก็ไป”

อนาคตเราใครกำหนด

นี่คือคำถามที่ใครหลายคนคิดไว้ในใจ ตั้งแต่ เราเริ่มรู้หลักเหตุ และผล รวมถึงเสรีภาพในด้านต่างๆ

ดังจะเห็นได้จากปัจจุบัน การเรียนก็ดี ทั้งในระดับ ประถมฯ, มัธยมฯ, สถาับันด้านวิชาชีพต่างๆ หรือแม้แต่ มหาวิทยาลัยฯ (หมายรวมถึงสถาบันที่ว่าด้วยการจบมาได้วุฒิปริญญาตรี) ถึงแม้เป็นการศึกษาที่เราๆควรจะได้ศึกษากันทุกคน หรือย่างน้อยๆ ก็มีความรู้ติดตัว

แต่ในปัจจุบัน ดังจะเห็นได้ว่า เราไม่ได้เป็นผู้กำหนดตัวเองเสียแล้ว ในเรื่องที่ว่าเราจะได้เล่าเรียน หรือจะได้เรียนให้สิ่งที่ชอบ หรือสิ่งที่สนใจหรือไม่

เรากลับหันหลัง และมองในสิ่งที่ชอบ ที่สนใจ ที่รัก เป็นงานอดิเรก หรืองานที่ทำยามว่างเท่านั้น

แต่เราหน้าไปหาสิ่งที่ทำให้เราอยู่รอดแทน น่าแปลกที่สิ่งที่ทำให้เราอยู่รอดนั้น 80% ของคนที่ทำให้ตัวเองอยู่รอด ไม่มีความสุขในสิ่งที่ทำ เพราะด้วยเหตุและปัจจัยรอบด้าน รุมเร้าให้ต้องทำ เช่น ต้องส่งเสียเหล่าพี่น้องในครอบครัว, ทำให้ได้ดั่งใจพ่อแม่, เพราะตามเพื่อนจนตัวเองลำบาก ฯลฯ ปัญหาอีกมากมายนานับประการนี้ มีปัญหานึงที่เราจะมาพูดกันในวันนี้คือ “ค่านิยมในอาชีพของสังคมไทย”

จริงๆ ไม่อยากหยิบเรื่องเหล่านี้มาพูดหรือมาเขียนหรอก เพราะอาจโดนตีหัว หรือโดนต่อต้านได้ แต่มันรู้สึกว่ามันหน้าจะสะท้อนอะไรในสังคมไทย ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

ผมเห็นเพื่อนๆ ผม ,รุ่นพี่ หรือรุ่นน้องผม มักถามผมตอน ม.6 ก่อน Entrance ว่า จะไปต่ออะไรหล่ะ แล้วจบไปอยากทำงานอะไร ผมต่อว่า อยากเรียน “วิทยาการคอมพิวเตอร์” เหล่าคุณครู หรือแม้แต่เพื่อนๆ มองผมด้วยสายตา สงสัยในตัวผมด้วยเหตุผลที่สรุปได้ว่า “ไอ้ฟอร์ด เก่งคอมฯ ตายห่า เรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์ ไม่เรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์หล่ะ” ทุกคนถามผมด้วยคำถามนี้จนต้องมาอธิบายยืดยาว …….

ใช่ผมอยากเข้า “วิทยาการคอมพิวเตอร์” ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นวิชาเอกที่ชื่อดูดี “แต่ผมอยากเรียน” แม่ผม ก็ถามด้วยคำถามนี้เหมือนกัน แต่ก็ด้วยว่าผมยืนกราน แน่วแน่ แล้วท่านก็ปล่อยถามความคิดของผม เพราะท่านให้อิสระกับการตัดสินใจของผมอยู่แล้ว

ทำไมหล่ะ “วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หางานง่ายกว่า เท่ห์ กว่าด้วย สาวกรี้ด อีกต่างหาก จบไปบอกว่าจบ วิศวกรรม ใครๆ ก็มองว่าคนเก่ง แต่พอบอกว่า วิทยาการคอมพิวเตอร์ หรือ วิทยาศาสตร์ กลับมองเหมือนพวก คนชั้น 2 – 3 ไปได้ ……”

น่าคิดนะ “สังคมไทย เป็นอะไรกันไปแล้ว”

เรามองคนระดับหัวกระทิผิดแนวทางกันไปหรือเปลา่ ???

จริงอยู่คนที่เข้าคณะวิศวกรรม คือคนเก่ง คนมีคะแนน Entrance สูง แต่ที่มันสูงเพราะค่านิยมมิใช่หรือ คนแห่กันไปเข้า คะแนนมันก็ปีนกันไป จนมันสูงโด่ง …….

รากหญ้าแห่งการแก้ปัญหาทั้งหมด คือ “วิทยาศาสตร์” แต่เราคนไทย มอง เป็นเพียงแค่วิชาที่เอามาใช้การอะไรได้ยาก เพราะอะไรหรือ ???

เพราะ “เราไม่ได้ผลิต นวัฒกรรม ต่างๆ ขึ้นใจเอง เราเป็นเพียงแค่ ประเทศผู้ถูกจ้างให้ผลิตสินค้าตามที่ต้องการ” ซึ่งทำให้เรา มองสิ่งที่เรียกว่า “รากแห่งความรู้เป็นเรื่องรองๆ” แทนที่จะมองเป็นเรื่องหลัก

เรามีนักวิชาการที่จบ ปริญญาเอก หรือสูงกว่านี้ นั้นน้อยมาก และในตอนนี้เราน้อยกว่า เวียดนาม แล้ว และเมื่อ 50 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน เราได้ส่งนักเรียนทุนไปเรียนต่อเมืองนอกมากมาย ตอนนี้เค้ากลับมาใช้สิ่งที่ควรมากเพียงใด หลายคนจบมา อุดมการณ์แรงกล้า หวังกลับมาช่วยชาติบ้านเมืองพัฒนา ด้วยแนวคิดใหม่ๆ แต่กลับถูก วัฒนธรรมองค์กรแบบ “ข้าราชการ ไทยเช้าชาม เย็นชาม เ้ข้าเสียส่วนมาก” เพราะทำอะไรเกินหน้าเกินตาเจ้ากระทรวงไป, เจ้านาย หรือหัวหน้า ก็จะโดนเล็งหมายหัว หรือจะโดนยิงหัวเอา ……

นั้นกลับทำให้สังคมไทยเราย่ำอยู่กับที่มานานกว่า 20 ปีีแล้ว เราถูกสิงค์โปร์ และมาเลเซียแซงไปแล้ว ซึ่งในตอนนี้เวียดนาม ก็กำลังตามเรามาติดๆ เรียกได้ว่าเราล้มเมื่อไหร่ โดนเวียดนามเหยียบเมือนั้น ……

อ้าว !!! ………. ไปไกลแล้ว กลับๆๆๆ

ดังเรื่องที่ออกทะเลไปเมื่อด้านบนนั้น จะเห็นได้ว่า เรามองตัวเองผิดกันไป ……..

ในตอนนี้เด็กได้ในสังคมไทยเลือกเรียนที่ “จบออกมาแล้วมีงานทำ”, “จบออกมาแล้วเท่ห์”, “จบออกมาแล้วทำงานสบาย” หรือ “จบออกมาแล้วหวังเพียงมีใบปริญญาติดออกมาเท่านั้น”

จะมีสักกี่คนที่เลือกเพราะ “อยากเรียน”, “สนใจ” และ “อยากรู้”

ช่างน่าเศร้าจริงๆ ที่เท่าที่ผมถามมา 98% หาคนที่เลือกทางเดินชีวิตไม่ได้ ซึ่งคือยังคิดไม่ออกว่าตัวเองชอบอะไร (ค้นหาตัวเองไม่เจอนั้นเอง) หรือสนใจศาสตร์ด้านใด (ในที่นี้ไม่นับพวกหลุดเข้าไปวังวนของสิ่งไม่สร้างสรรค์นะครับ)

ซึ่งผมจากที่ผมได้ อ่านข่าว และได้ประสบ พบเจอ จะว่าเห็นคนที่ชอบ หรือสนใจในสิ่งที่ตัวเองเรียน และทำงานกับมันด้วยใจรัก ไม่ต่ำว่า 90% นั้นประสบความสำเร็จทั้งนั้น บุคคลเหล่านั้น ได้สิ่งดีๆ ในชีวิตโดยมีความสุขในสิ่งที่ทำ และทำได้ดีด้วย และอีกเช่นกันคนเหล่านี้มักถูกชาวต่างชาติ ชักชวนไปทำงานร่วมกับพวกเค้าที่ต่างประเทศ

“คนเราถ้าสนใจ และชอบในสิ่งที่ทำ ซะอย่าง แม้แต่ทำให้ดวงอาิทิตย์ดับก็ทำได้”

มันเป็นความจริงของโลกนี้นะ ที่คนเราควรจำกำหนดสิ่งที่ตัวเองจะต้องเจอในอนาคต

………………………………………………………..

เดี่ยวมาเขียนต่อนนะครับ ง่วงแล้วไปหล่ะ ………..

เราเรียนเพื่ออะไร กันแน่ ……. และทำไม เด็กไทยสมัยนี้ถึงได้แขยง Text Book กันนัก

พอดีว่าได้พูดคุยกับพี่ … (ไม่ขอเอยนาม) และได้เข้าไปอ่านในกระทู้มากมายเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาเลยเก็บเอามาให้อ่านกันครับ

CS ไม่ได้เรียนเพื่อเป็น programmer

การเรียนที่แท้จริง มันคงไม่ได้อยู่ที่หลักสูตรนะครับ มหา’ลัยที่แท้จริง ก็คือโลกนี้แหละครับ ทุกคนเรียนกันทุกวันอยู่แล้ว ทำไมต้องไปยึดติดกับ มหา’ลัยเล็ก ๆ หลักสูตร เล็ก ๆ ที่ไปเรียนกันแค่ไม่กี่ปีด้วยล่ะครับ

ถ้าคุณเข้าใจที่ผมพูดเมื่อไหร่ คุณจะเข้าใจว่า CS มีไว้เพื่ออะไร ผมจะอธิบายเพิ่มเติมอีกหน่อย เขียนโปรแกรมได้กับเขียนได้ดีไม่เหมือนกัน

ในการเรียน CS จะต้องศึกษาเรื่อง algorithms โดยต้องมี 3 อย่าง

1) correctness โปรแกรมที่คุณเขียนจะต้องถูกต้องทุกกรณี ไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น โดยต้อง ทำ math proof ได้ ว่าทำไมถึงถูกต้อง คุณเคยทำรึเปล่าครับ รึว่าใช้ sense เอาว่าอย่างนี้น่าจะถูกแล้ว

2) performance โปรแกรมที่เขียนจะต้องมีประสิทธิภาพใสการทำงานสูง ทำงานเร็ว โปรแกรมเปรียบเทียบบางโปรแกรมอาจจะใช้ O(n^2), O(n^3) แต่คนที่มีความรู้เรื่อง algorithms เป็นอย่างดี อาจจะสามารถเขียนให้โปรแกรมทำงานใน O(n log n) หรือ O(n) ได้ คุณเคยปรับ algorithms ให้ทำงานเร็วขึ้นรึเปล่าครับ

3) efficency โปรแกรมที่เขียนจะต้องทำงานได้ดีที่สุดโดยใช้หน่วยความจำน้อยที่สุด คุณเคยทำการประเมินบ้างมั้ยครับ ว่าโปรแกรมที่คุณเขียนใช้หน่วยความจำเท่าไหร่ และใช้ให้น้อยลงได้หรือไม่

นี่คือ ความแตกต่างระหว่าง โปรแกรมของคนที่เรียน CS กับคนที่ไม่ได้เรียนครับ

แล้วก็ computer science ไม่ได้เรียนเน้นไปทางเขียนโปรแกรม ถ้าอย่างนั้นจะมีความรู้ที่แคบ

มีอย่างอื่นที่ต้องเรียนอีกมาก เช่น OS เวลาเขียนโปรแกรมใหญ่ ๆ ที่ใช้ thread มากมาย ถ้าเขียนแล้วเกิด deadlock ขึ้นคุณจะแก้ปัญหายังไง คุณเคยเจอรึเปล่าครับ เรื่อง priority อีก ว่า thread ไหนจะได้ทำงานก่อน ถ้าคุณไม่เข้าใจเรื่องนี้ ก็อาจจะเขียน thread มั่ว ๆ ซึ่งอาจทำให้โปรแกรมทำงานช้า, เกิด deadlock ได้

เรื่อง data communication and network คุณเรียน cs มา ผมถามคุณหน่อยได้มั้ยครับ ว่า ในระบบ LAN คอมพิวเตอร์มันคุยกันได้ยังไงครับ ในเมื่อ IP address เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมา ในการที่เราจะวางระบบเครือข่าย เช่น ใน SW ขนาดใหญ่ เวลา implement อาจจะต้องดูเรื่อง network ด้วย ถ้าคุณไม่เข้าใจเรื่อง router, gateway, dns ต่าง ๆ คุณจะวางระบบได้มั้ยครับ

ความจริง CS ยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากเช่น AI, IR

ถ้าคุณจะไปเป็นนักพัฒนา SW เกมส์ แล้วคุณไม่รู้จักเรื่อง AI คุณก็จะทำไม่ได้อีก นี่ก็เป็นอีกความแตกต่างระหว่างคนเรียน CS กับไม่ได้เรียนครับ

เรื่อง IR ก็เหมือนกัน ถ้าคุณไปเขียนระบบที่ต้องมี Full Text Search ถ้าคุณไม่มีความรู้เรื่อง IR ก็ทำไม่ได้อีก

แล้วผมขอถามคุณหน่อย CE ต่างกันยังไงครับ เห็นส่วนใหญ่ คนที่จบ CE ก็มาเป็น programmer กันเยอะแยะ เค้าก็เขียนโปรแกรมเหมือนกัน ไม่เห็นใช้ความรู้วิศว ที่เรียนมาเลย

ซึ่งก็เหมือนดังกลับที่ว่า คนเรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งแล้วพวกคุณเป็นนักคณิตศาสตร์หรือเปล่าล่ะ … ถ้าไม่ใช่ แล้วเรียนมันไปทำไมล่ะ cal น่ะ หรือว่า analysis น่ะ หรือว่าพวกเราทุกคน เป็นนักภาษาศาสตร์หรือเปล่าล่ะ … ถ้าไม่ใช่ แล้วเรียนมันไปทำอะไร ภาษาพูด ภาษาเขียนน่ะ อย่าตอบผมนะ ว่า มันต้องใช้นี่นา … เพราะว่าถ้างั้น ผมจะตอบแบบเดียวกัน แล้ว engineer ไม่ใช่ calculus หรือ physics ดังนั้น comsci ก็ไม่ใช่ programming ครับ

logic ง่ายๆ สบายๆ ครับ

ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างมาเลยในเรื่องนี้ ……… อย่างแรงเลยครับ ผมคิดต่ออีกว่า

คนไทยมอง ผลก่อน แล้วตามด้วยเหตุ …….. และเป็นประเทศเดียวในโลกด้วยในตอนนี้ที่ย่ำอยู่กับที่ได้นานที่สุด

ผมจะเปรียบเทียบให้ดู นี่คือสิ่งที่ได้จากคนที่ไปคลุกคลีกับคนที่ไม่ได้มอง ผลก่อนเหตุ แต่มอง เหตุก่อนผล …..

“คนไทยถ้้าจะให้อยากจะเรียน นั้นเพราะว่าเงินมันดี หรือว่าหางานง่าย ไม่ได้ทำหรือว่าเรียน เพราะว่าสนใจอยากรู้อยากทำ เวลาเรียนรู้อะไร ก็จะเร่งรัดเอาผลให้ได้เร็วๆ แทนที่จะอยากรู้อยากเห็นอยากเข้าใจ เช่น .. เวลาหัดเขียนโปรแกรม ก็จะอยากให้เห็นผลเร็วๆ ลอก code เข้าไปเยอะๆ รีบๆ compile จะได้เห็นผล แทนที่จะเสียเวลานั่งคิด นั่งทำความเข้าใจกับหลักการ และแนวคิด และอะไรอีกหลายๆ อย่างที่จำเป็น ไม่มีความอยากรู้อยากเห็นใน code แต่ละบรรทัดที่พิมพ์เข้าไป”

และคนไทยนี่แปลกนะครับ ……. อ่านหนังสือกันยังจะเลือกภาษาในการอ่านเพื่อสะดวกสบาย แทนที่เลือกจะเสพความรู้ที่ดี และตรงประเด็น

ดังเช่นกระทู้นี้

ทำอะไรกันอยู่ …… เรียน Com กันแต่อ่าน ภาษาอังกฤษไม่ออกอีกเหรอ แถมไม่พยายามหรือขวนขวาย ผมเห็นนิสิตเดี่ยวนี้ช่าง ทำอะไรแคบๆ อ่านอะไรก็ยึดด้านนั้นด้านเดียว

อ่านอะไรก็อ่านแต่สิ่งไร้สาระ หาสาระในการเสริมสร้างความรู้ไม่

อย่างที่เห็นๆ กันง่ายๆ หนังสือด้านคอมฯ เกี่ยวกับ Com Sci จริงๆ หนังสือคอมฯ ในไทย ดีๆ มี 10% ของทั้งหมด นอกนั้นขยะดีๆ นี่เอง ……. (พูดเรื่องจริง) ทำไมหรือ เพราะทุกเล่มสอนให้ทำตาม แต่ไม่ “ให้คิด” คือ ทำได้ไง แต่ทำแบบใหม่ๆ แหวกแนวไม่เป็น ซึ่งก็ทำให้คิดว่าตัวเองทำได้ แต่จริงๆ แล้ว ทำไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีสูตร ไม่มี step by step

ง่ายๆ หนังสือ c++ หรือ java คุณรู้ไหม ว่า include มันมายังไง มันต่างจาก require ยังไง

หรืออย่างพวก comment มันเอาไว้ทำไมมั้ง ควรมีไว้เพื่ออะไร จำเป็นมากไหม

อีกอย่างคือ พวกหนังสือพวกนี้สอน แนว concept การมองโปรแกรมอย่างเป็นเหตุเป็นผลไหม พวก logic พื้นฐานต่างๆ flowcontrol ต่างๆ หรือ concept พื้นฐานจริงๆ เลยที่ควรรู้อย่างพวก การทำงานของ cycle ใน cpu หรือ แนว com architect พวกนี้

ผมหามาทั้งตลาดหนังสือไทย มีอยู่ 1 – 2 เล่มนอกนั้น “ขยะ”

ถ้าใครจะเถียงว่า คนมันคิดไม่เหมือนกัน บางคนต้องการเร็ว งั้นก็ไม่ต้องเรียน ไม่มีอะไรที่ได้มาด้วยความรวดเร็วถ้าไม่มีพื้นฐานที่ดี พื้นฐานไม่ดี เดี่ยวก็ตันเองหล่ะ เชื่อผมไหมหล่ะ

หนังสือคอมฯ ที่ผมคิดว่ายังไงก็ต้องอ่านก็พวก “computation theory” ต่างๆ หรือ พวก Concept ต่างๆ พวก AI, Data Com, Data Structure, Logic Theory, Database System ฯลฯ พวกนี้ ผมไม่เห็นมันจะโดนแปลเป็นภาษาไทยเลย หรือถ้าแปลก็แปล แบบ ผิดๆ ซะมาก

นั้นมันทำให้เราต้องอ่านหนังสือ ภาษาอังกฤษ หรือ Text Book ซะ แต่เท่าที่ผมได้เห็น ได้เจอ กลับไม่มีใครกล้าอ่านมัน เพราะกลัวภาษาอังกฤษ หรืออ่านมันไม่ออก ทั้งๆ ที่หนังสือพวกนี้คือสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพราะคอมพิวเตอร์มันสร้างมาจากพวกที่ใช้ภาษาอังกฤษนั้นเอง

ซึ่ง “ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า สอบ ent’ วิชา อังกฤษ เข้ามาได้ยังไง “

ถึงได้โง่ภาษาพวกนี้กันนัก ทั้งๆ ที่มันจำเป็นอย่างมากในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และด้านคอมพิวเตอร์ หนังสือดีๆ concept เจ๋งๆ มากมายอยู่ในหนังสือพวกนี้ ที่แม้แต่คนระดับ ดร. ยังไม่กล้าแปล เพราะกลัวผิดแนว หรือผิด concept ไป เค้าเลยไม่แปลกัน อาจด้วยความรู้ไม่ถึง หรือไม่เข้าใจในสายงานนั้นๆ ซึ่งหนังสือบางเล่มที่แปลมาก็ออกแนว ผิดๆ หรือไม่ถูกตามหนังสือต้นแบบนัก

อยากให้อ่าน text book กันมากขึ้น ไม่ใช่มองคนอ่าน text เป็นพวกเทวดา หรือให้ อ. ท่านแปลให้ ……..

เรียนมหาลัย มันต้องหากันเองแล้ว แปลกันเป็นแล้ว ผมเห็น ม. เราแล้วเสียใจอย่างนึง คือหาคนอ่านพวกนี้ยากมาก พอให้อ่านก็บ่ายหน้าหนี บอกว่า “ไม่เข้าใจ เอาไปแปลก่อนดิเดี่ยวจะอ่าน” คือแทบจะหาคนคุยโดยใช้ ศัพท์เทคนิคได้ยาก คือมีแต่ก็คุยกันคนละภาษา มองอะไรแคบๆ ก็เยอะ แล้วอีกอย่างคือมองว่าตัวเองไร้ความสามารถ ไม่กล้าศึกษาอะไรเพิ่ม แล้วพวกเล่นรับ หรือป้อนให้อย่างเดียวไม่หาเอาเลย ความรู้เราต้องไปวิ่งขนมันไม่ใช่ให้มันมาวิ่งชนเรา

เด็กไทยสมัยนี้ก็แบบนี้หล่ะ ต้องป้อนๆๆๆ ถ้าไม่ป้อน คือไม่สอน พอไม่สอน คือไม่ออกสอบ พอไม่ออกสอบ คือไม่ได้เรียน พอไม่ได้เรียน ตอนทำงานก็บอกรายจ้างว่ามหาลัยไม่ได้สอน แต่พอนายจ้างก็ไล่ออก 555555 เพราะทำงานให้เค้าไม่ได้ ก็หาว่าเขี้ยว ไม่เข้าใจ ….. แต่จริงๆ แล้ว เค้าสอนมาแล้วแหละ แต่ว่ามันต้องอ่านเพิ่มเอง มันต้องศึกษาเองด้วย ….. ไม่ใช่ ป้อนๆๆ เหมือนเด็ก …..

ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะไม่กล้าอ่านหนังสือ text นั้นเอง และไม่กล้าที่จะหาความรู้เพิ่มเติม

แล้วอย่างงี้จะพัฒนาได้ไหมเนี่ย โอ้ว !!! ประเทศชาติ ……

เป็นยังไงมั้ง สะใจไหมครับ กับข้อความพวกนี้ รับกันได้ไหมกับความเป็นจริงของเราเอง คนไทยเราเอง ผมไม่รู้ใครจะคิดยังไง แต่ผมคิด และเห็นด้วยกับสิ่งเหล่าน้อย่างแรงกล้า เช่นกัน ……….