แนะนำการทำเว็บ (ตอนที่ 1)

ในสมัยก่อนนั้นการที่เราจะทำเว็บให้ออกมาสวยได้นั้นยากกว่าการพิมพ์งานบน MS. Word เสียอีกต้องมีการทำความเข้าใจในภาษา html ให้ดีเสียก่อน ซึ่งในตอนนั้นเหมือนกันหัดเขียนโปรแกรมโปรแกรมหนึ่งเลยทีเดียว แล้วถ้า ต้องการทำงานในลักษณะตอบโต้ได้ (CGI) มันทำได้ยากยิ่งเพราะว่ายังหาหนังสือที่เป็นภาษาไทยได้ยากมากและส่วนใหญ่ที่ทำกันตอนนั้นจะเป็นคนที่มุ่งมั่นอ่าน หนังสือภาษาอังกฤษ ซึ่งต้องขอบคุณอินเตอร์เน็ตที่ทำให้การอ่านหนังสือ พวก cgi และ html แบบภาษาอังกฤษทำได้ง่ายและฟรีโดยที่ไม่ต้องสั่งซื้อตามศูนย์หนังสือต่างๆ ในตอนนั้นมีคนกระโดดลงมาทำกันยังน้อย และส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ทำงานด้านนี้อื่นๆ ในแขนงคอมฯพิวเตอร์มาก่อนมากกว่า ซึ่งเว็ปในสมัยนั้น ที่ดังและทำให้เราๆ ได้รู้จักและทำให้เกิดเหล่านักทำเว็ปรุ่นใหม่ๆ คือ Sanook.com แต่ก่อนที่เราจะพูดถึงนั้นเรามาพูดถึงเว็ปรุ่นพี่ที่ทำมานานและยังไม่เปลี่ยนแปลงคือเว็ป Pantip.com ที่เป็นเหมือนศูนย์รวมเว็ปบอร์ดที่ใหญ่ที่สุดใน ประเทศไทยและยังเป็นที่ที่มีอัตราการเข้าใช้บริการมากสุดอีกด้วย เว็ป Pantip.com ยังรักษาลักษณะขอเว็ปตั้งแต่ อดีตจนปัจจุบันได้ดี

ทำไมเราต้องทำเว็ป

นี่คือคำถามที่เราต้องตอบให้ได้ก่อนการทำเว็ปทั้งหมด เพราะว่าไม่อย่างงั้นก็เหมือนการออกเดินเรือที่ไร้จุดหมายครับ

เราต้องรู้ก่อนครับว่าเราจะทำเว็ปมาเพื่ออะไร ทำเว็ปแนวอะไรบ้างและจะมีอะไรในเว็ปและทำให้ใครครับ เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายครับ และต่อมานั้นการที่เราจะทำเว็ปออกมานั้นเราจำเป็นต้องทำการสร้างโครงร่างก่อน หรือในภาษาของนักเขียนโปรแกรมที่เรียกว่า การออกแบบอัลกอริทึม หรือการร่าง FlowChart นั้นเอง มีคำถามตามมาหลังจากที่บอกไปนั้นคือทำออกมาทำไม ทำไมไม่ทำก่อน หรือทำไม ลองๆ ทำไปก่อนหล่ะ นั้นใช่ครับ หลายๆ คนอาจจำคิดว่าการทำอย่างนี้อาจจะไม่จำเป็นมากมายนัก ไม่ต้องเรื่องมาก แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเว็ปของเรานั้นใหญ่โตมากขึ้น กว่าว่างแผนที่ดีในตอนแรกจะเห็นผลอย่างแน่นอน อย่างเว็ปของผมในครั้งแรกๆ นั้น ทำในแบบ html ทั้งหมด เวลาจะแก้ไขแต่ละทีนั้นก็ต้องมาเปิด html editor เพื่อแก้ไข ซึ่งมีข้อดีที่ว่าเรากำหนดรูปแบบเว็ปได้หลากหลายแต่ว่าพอเว็ปเริ่มมีจำนวนหน้ามากขึ้นปัญหาในการปรับปรุงดูแลรักษาก็ตามมา คือการแก้ไข ลิ้งส์เมนูต่างๆ จะเปลี่ยนทีก็ต้องทำทุกหน้าหรือจะมีการแก้ไขระบบอื่นๆก็ต้องมาตามแก้กันใหม่อีก นี่หล่ะครับปัญหาที่เราจำเป็นต้องทำก่อนการทำเว็ป การดีไซด์เป็นสิ่งดีแต่ว่าการวางแผนการทำงานย่อมสำคัญกว่า ผมจะยกตัวอย่าง ว่าการวางแผนแบบใดที่ดีก่อนดีกว่าครับ

หลักการแรกคือกำหนดลักษณะการใช้งานก่อนว่าเราจะกำหนดว่าผู้ใช้เป็นกลุ่มผู้ใช้แบบใด จำใช้ เทคโนโลยี อะไรในการเขียน การจัดการเว็ป กำหนดรูปแบบการติดต่อกับผู้ใช้ กำหนดลักษณะการแก้ไข การเข้าถึงข้อมูลของผู้ดูแลเว็ปเอง ด้วย เพื่อการแก้ไขที่รวดเร็วและมีการผิดพลาดน้อยใช้เวลาในการดูแลน้อย เอาเวลาไปสร้างเนื้อหาแทน ครับ ยกตัวอย่างเว็ป แห่งหนึ่ง ทำเว็ปแนว Portal ITลักษณะคือการปรับปรุงเนื้อหาที่ทันที มีการตอบสนองได้ตลอดเวลา มีการปรับปรุง เนื้อหาได้จากหน้าเว็ปโดยไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากเวลาปรับปรุงเนื้อนอกจาก Browser และใช้ระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เพราะว่าเนื้อหาแนวนี้นั้นมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา และเร็วลักษณะเว็ปนั้นต้องมีการทำเมนูแบบตอบโต้ได้อย่าง ต่อเนื่องและมีระบบสมาชิกไว้ในการทำสถิติและบริการอื่นๆ ในอนาคตได้

เมื่อเราได้รูปแบบโดยรวมแล้ว เราก็มาดูว่าเราจะทำโดยใช้อะไร ถ้าใช้ html ธรรมดา ท่าทางจำไม่ได้แน่เพราะว่าการทำระบบข้อมูลลงเว็ปโดยผ่าน browser นั้นทำไม่ได้แน่ เราจึงต้องใช้ CGI (Common Gateway Interface) มาช่วยในที่นี้ ก็ต้องมาดูอีกหล่ะครับว่าเราจะใช้อะไรในภาษาเหล่านีเพราะว่ามีมากเหลือเกินไม่ว่าจะเป็น Perl , PHP , ASP , JSP , ฯลฯ แต่ในที่นี้เราใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ จะมาใช้ Perl + DBText คงไม่ได้ เพราะว่าเปลื้องการโปรแซสระบบมากเกินไป อาจทำให้ระบบล่มได้ง่าย หรือจะ Perl + MySQL ก็คงยากเพราะว่าต้องมีฝีมือในการทำและไม่เป็นที่นิยม ซึ่งถ้าระบบในการทำเว็ปคุณอิงในด้านของ Windows NT Family ก็คงจะเป็น ASP + ODBC (พวก MsSQL ในแนวๆ ของ Microsoft หรือ Oracle ครับ ) หรือถ้าเป็น UNIX (Linux , FreeBSD , Solaris) ก็คงจำเป็น PHP + MySQL ที่เป็นเหมือนของที่ทำมาคู่กันเลยทีเดียว เมื่อเราได้ลักษณะการทำงานของภาษาที่เขียนเว็ปแล้วก็มาถึงการออกแบบหล่ะครับ (ในที่นี้ผมจะไม่พูด ถึงการเขียนโปรแกรมเหล่านี้นะครับ เพราะว่าคงเข้าใจกันได้ถ้าศึกษาด้านนี้โดยตรงจากเว็ปหรือหนังสือครับ )

ต่อมาเราจะพูดถึงการออกแบบหน้าเว็ปกันสักนิด

การออกแบบหน้าเว็ปนั้นเราต้องคำนึงถึงการใช้งานที่สะดวกในการค้นหาข้อมุลภายในเว็ปต่างๆ ซึ่งเราควรไล่การทำระบบค้นหาจากส่วนที่มีความสำคัญมากกว่าลงมาแต่ว่า ในการทำเว็ปนั้นไม่ ควรที่จะมีการกระพริบเน้นมากจนเกินไปครับ ไม่งั้นมันจะดูลายตาและสับสนในการให้ความสำคัญของเนื้อหาครับ การออกแบบเมนูการใช้งานนั้นควรคำนึงถึงการไล้สัดส่วนการใช้งานครับไม่งั้นจะดูเละและที่ดีคือการจัดอันดับความสำคัญครับ และ การออกแบบควรใช้สีที่ดูสบายตาง่ายๆ แต่สื่อความหมายได้ดีในเนื้อหาของเว็ปนั้นๆครับ การออกแบบโลโก้นั้นควรทำออกมาให้มีเอกลักษณ์เฉพาะของเว็ปครับ ไม่งั้นมันจะไปเหมือนๆหรือคล้ายๆ ของชาวบ้านเค้าครับ แต่ว่าการออกแบบควรคำนึง ถึงความเป็นไปได้ในการใช้งานและการออกแบบระบบ CGI ด้วยเพราะบางครั้งข้อจำกัดในความเร็วในการโหลดข้อมูลของผู้ใช้ที่ต้องคำนึงถึงพอสมควรไม่งั้นจะกลายเป็นว่าโชว์ความสวยงานอลังการมากกว่าเนื้อหาความรุ้ของเว็ป ที่เราต้องการนำเสนอนะครับ

แนวทางการทำงานของเว็ปการทำระบบทีมงานก็มีความสำคัญไม่น้อย การแบ่งหน้าที่ในการดูแลส่วนต่างๆ ทำให้เว็ปดูมีการตอบสนองมากขึ้น มีการดูแลระบบต่างๆ ได้อย่างดีไม่มีข้อผิดพลาดต่างๆ ให้เห้นมากนัก การดูแลนั้นรวมไปถึงการดูแลหน้าตาเว็ป ระบบโปรแกรมต่างๆ ในเว็ป การปรับปรุงการใช้งานจากการที่ผู้ใช้เสนอแนะมาเพื่อปรับปรุงพัฒนาเพื่อทำให้ผู้ใช่พอใจและไม่ดูเป็นการคัดตาของผุ้ใช้ต่างๆ การรับทราบการตอบรับขอเสนอแนะของผู้ใช้มีดีที่เราไม่ต้องมาคอยตรวจสอบเองแต่ให้ผู้ใช้ติติงมาก อาจจะใช้เวลามากหน่อยแต่ว่าตรงจุดเป้าหมายมากกว่าที่เราคิดมากนัก ซึ่งในลักษณะนี้จะใช้ได้ดีคือเว็ปแนวการค้าและแนวบริการครับ

ครั้งต่อไปเราจะมาดูแนวทางในการประชาสัมพันธ์เว็ปให้ได้ดี และรวมถึงเว็ปแนวไหนที่ควรทำและรูปแบบเว็ปแบบใดเหมาะแก่การทำระบบเว็ปธุรกิจ

สุขภาพที่ดีกับการนั่งและจัดว่างอุปกรณ์ต่างๆ ในการทำงานให้ถูกวิธี

        หลังจากบทความเรื่อง “คำแนะนำการใช้สำหรับจอคอมพิวเตอร์เพื่อถนอมสายตา ฯลฯ” นั้นได้รับความนิยมอย่างมากจากท่านผู้อ่านมีเมล์มาสอบถามผมมากมายในเรื่องอื่นๆ ที่นอกเหนือจากเรื่องนี้ครับ ทำให้ผมต้องออกภาคต่อ ซึ่งคราวนี้เนื้อหานั้นต่อจากตอนที่แล้วซึ่งผมจะไม่กล่าวถึงตอนที่แล้วด้วย ไปอ่านกันเองนะครับ หุๆๆ แต่ผมต้องออกตัวไว้ก่อนนะครับว่าผมไม่ได้เป็นหมอ หรือนายแพทย์ ที่ชำนาญด้านนี้แต่อย่างใดครับ แต่ด้วยที่ค้นคว้าจากแหล่งต่างๆ และจากประสบการณ์ต่างๆ ที่ประสบพบกับตัวเองด้วย ซึ่งเอามาแบ่งปันกันครับ งั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลยนะครับ


        ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องผลกระทบของการใช้คอมพิวเตอร์กับมนุษย์เราๆท่านๆแล้ว ในยุคที่เทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทกับชีวิตมนุษย์มากขึ้น และการพัฒนาของคอมพิวเตอร์นั้น มีความรวดเร็วมาก และมีประสิทธิภาพเทียบเท่า หรือดีกว่าการทำงานของมนุษย์ ซึ่งเห็นได้ว่าในต่างประเทศใช้หุ่นยนต์มาทำงานแทนมนุษย์ ในอนาคตคาดว่ามนุษย์อาจตกงาน เพราะหุ่นยนต์ทำงานได้ดีกว่า ไม่มีเหนื่อย และไม่เสี่ยงอันตรายเหมือนกับการใช้มนุษย์ ถ้าแบ่งผลกระทบการใช้คอมพิวเตอร์กับมนุษย์ แต่จนแล้วจนรอดสิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ยังคงไม่สามารถทดแทนกับคนบางกลุ่มได้นั้นคือคนที่ทำงานสั่งการมันนั้นเอง หรือเหล่าคนที่ต้องควบคุมดูแล และจัดการระบบ รวมถึงนักโปรแกรมเมอร์อย่างผม และเพื่อนๆ พี่ๆ หลายๆ คน ซึ่งผมกระทบทางด้านสุขภาพนั้นอาจจะไม่ได้มาในทันทีทันใด แต่จะสะสมรอวันที่มันจะแสดงตัวมันในอนาคต

ภาพที่ 1

ภาพที่ 2

ภาพที่ 3

        การปรับที่นั่งและโต๊ะที่ถูกสุขลักษณะในการทำงาน ควรเป็นโต๊ะเขียนหนังสือธรรมดา แล้ววางคีย์บอร์ด หรือโต๊ะที่มีลิ้นชักคีย์บอร์ดก็ได้ครับ แต่ ควรเลือกที่เหมาะสมกับร่างกายของเราครับ ที่สำเร็จรูปนั้น ไม่ดีเท่าที่ควรเพราะเค้าออกแบบมาไม่ดีเท่าที่ควรครับ และยิ่งด้วยที่วางเมาส์ไว้คนละระดับกับคีย์บอร์ดแล้ว ถือว่าเป็นโต๊ะที่แย่มากและทำให้ข้อมือของท่านปวดและเสียหายได้อย่างร้ายกาจ และอาจเกิดอาการเส้นเอ็นอักเสบจนถึงขั้น ต้องผ่าตัด ได้ครับ อย่างภาพที่ 1 ผมให้ดูนั้นระดับของเก้าอี้และที่พิงควรจะรับกับหลังของเรา และสามารถปรับระดับได้ตามความต้องการของเราในยามต่างๆ ได้ดีครับ เพื่อที่ช่วยให้เราทำงานได้ดีและทำให้หลังไม่คดหรืองอ และขาควรนั่งตั้งฉากกับพื้น ดังภาพที่ 2 และระยะตักควรอยู่ด้านล่างของคีย์บอร์ดด้วยครับ ส่วนภาพที่ 3 นั้นคือการจัดวางคีย์บอร์ด และเมาส์ ครับ ควรจัดวางคีย์บอร์ด ซึ่งส่วนที่พิมพ์นั้นควรไว้ตรงกลางของจดภาพเลยครับ และถัดมาด้วยแป้นตัวเลข และเมาส์ครับเพราะว่าทำให้เราไม่ต้องเอียงข้อมือหรือปิดข้อมือมากครับ ซึ่งการวางเมาส์นั้น อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นครับว่าการจัดวางเมาส์ควรวางในระดับเดียวกัน ซึ่งโต๊ะคอมฯ หลายๆที่นั้นทำออกมาได้แย่มากๆ ในเรื่องนี้และสำนักงานก็ชอบเอามาใช้ครับ เพราะว่าเล็กและประหยักเนื้อที่แต่เป็นการซื้อที่ผิด และทำให้เกิดผลเสียต่อพนักงานอย่างร้ายแรงครับ คุณจะไม่เห็นสิ่งเหล่านี้กับสำนักงานทางด้านไอทีระดับโลกเลย อย่างเช่น Microsoft หรือ Apple ครับ หรือแม้กระทั้งในประเทศไทยหลายๆ บริษัทก็ลงทุนทำทางด้านนี้นับล้านบาทเพื่อพนักงงานครับ เพราะทำให้พนักงานทำงานได้มาก และทำให้งานออกมามีประสิทธิภาพมากกว่าอีกด้วยครับ อย่างที่หลายคนบอกว่า “ร่างกายและสุขภาพดี สมองและความคิดมันก็แล่น” ผมว่าเป็นคำพูดที่ไม่ดูเกินเลยไปเลยจริงๆ ครับ ส่วนอุปกรณ์อื่นๆก็บางให้ให้สามารถหยิบจับได้ง่ายครับ

ภาพที่ 4

        ซึ่งอวัยวะของมนุษย์ สิ่งที่สำคัญในการใช้คอมพิวเตอร์ คือ ตา ครับ ซึ่งในเมื่อเราใช้คอมพิวเตอร์ไปนานๆ หรือเพ่งจอมากๆ นั้นจะทำให้รู้สึกว่าปวดตา อาจทำให้สายตามีปัญหาได้ถ้าเราไม่รู้จักที่จะดูแลและเข้าใจในการถนอมมัน เช่น สายตาสั้น ส่วนใหญ่ผู้ที่ทำงานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นประจำ หรือคนที่เล่นเกม ซึ่งเด็กนักเรียนนักศึกษาเล่นกันมาก บางครั้งการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ถ้าเล่นจนเกินขอบเขต เกินความพอดี อาจจะทำให้การมองเห็นของเค้านั้นด้อยลงครับ และอีกอย่างคือจากการที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่ามีนักศึกษาเล่นเกมจนช็อตตายคาร้านอินเตอร์เน็ต การใช้คอมพิวเตอร์นานๆ นั้นซึ่งเกิดจากการที่เราไม่ได้ทำการพักผ่อนที่เพียงพอครับ ซึ่งเกิดจากการอ่อนล้าจากที่ต้องประสาทสัมผัสต่างๆ ซึ่งต้องตื่นตัวตลอดเวลาทำให้เกิดความเครียดในระดับภายในหรือสมองนั้นเอง ซึ่งเราจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเมื่อไหร่ที่พักสายตา ตรงนี้อาจจะสังเกตจากตาของเราว่าเมื่อใช้ไปนานๆ จะเริ่มปวดตา หรือเริ่มที่จะมึนๆ หรือง่วงนอนแล้ว ซึ่งควรจะหยุด โดยละสายตามองทางอื่น หรือลุกขึ้นไปเพื่อผ่อนคลายก่อน และมองออกไปในที่ไกลๆ เพื่อให้สายตาได้ทำการปรับระยะการมองเห็นบางเพื่อไม่ให้เสื่อม แล้วจึงลงมานั่งทำงานต่อ อย่าฝืนมากเกินไปอาจจะเป็นผลเสียกับตัวเอง อาจจะมองเห็นเป็นภาพเบลอๆ แต่เป็นอาการชั้วคราว สาเหตุก็เกิดจากรังสีออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ อาการที่เกิดขึ้นจากการมองจอภาพเป็นเวลานานๆ นี้เรียกว่า Computer Vision Syndrome (CVS) และอีกเรื่องที่ไม่มีใครนั้นสนใจคือการวางจอแสดงผลครับ ควรวางในระดับสายตาครับ ทำให้เราสามารถมองได้ไม่สบายตา ไม่ควรเงือยหน้ามองจอครับหรือก้มหน้ามองมากจนเกินไปครับ เพราะอาจจะทำให้กระดูกสันหลังส่วนบนบริเวณคอผิดรูปและทำให้ไปกดเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ครับ เราควนใส่ใจในด้านนี้ให้มากครับ และควรใช้ Document Holder (ที่หนีบกระดาษด้วยข้างจอ) ช่วยในการพิมพ์งานต่างๆ ครับ เพื่อสะดวกในการพิมพ์งานและมองเอกสารครับ ดังภาพที่ 4

ภาพที่ 5

        ซึ่งจากการเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของสุขภาพ (Health Risks) รศ.นพ.กำจรตติยกวี ผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศทางการแพทย์เพื่อประชาชนจุฬาลงกรมหาวิทยาลัย กล่าวว่า “อาการที่เกิดจากการนั่งทำงานอยู่หน้าเครื่องนานๆ ” ทางการแพทย์เรียกว่า Repetitive Strain Injury หรือ RSI อาการนี้จะเกิดขึ้นจากการที่คนเรานั่งทำงานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์แบบไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น เอามือวางไว้บนคีย์บอร์ด ที่ไม่ถูกต้องปิดข้อมือมากเกินไป และ วางมือไม่ขนานกับในระดับเส้นตรงขนานกับพื้นปกติ แต่เรากลับวางมือแบบคดงอ และไม่มีที่พิงซึ่งตามที่ถูกต้องแล้วที่เก้าอี้นั่งควรมีที่ช่วยพยุงมือ เพื่อให้ขนานกับพื้นและตั้งฉากกับร่างกายครับ เพื่อให้เกิดความสบายใจการทำงานให้มากขึ้นด้วย รวมถึงระยะเวลาที่ควรจะพิมพ์งานและทำงานบนคีย์บอร์ดควรอยู่ที่ 20 – 30 นาที แล้วทำการพักข้อมือเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย ดังภาพที่ 5

การวางมือที่ถูกต้อง

การวางมือที่ผิด

        สรุปได้ว่า RSI นั้น สามารถเกิดได้ทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่แขน ข้อมือ ข้อนิ้ว แผ่นหลัง ต้นคอ หัวไหล่และสายตา หากปล่อยไว้นานๆ อาจต้องผ่าตัดเอ็น แม้ปัจจุบันมีบริษัทชั้นนำด้วย IT ต่างๆ นั้นจะได้พยายามผลิตเครื่องป้องกันอันตรายจากคอมพิวเตอร์ ที่มีผลต่อร่างกายมนุษย์มาแต่ก็มีราคาที่แพงกว่าสินค้าที่ไม่คำนึงถึง ทางด้านนี้มากพอสมควรเลยทีเดียว และทางแก้ในเรื่องนี้นั้นก็ใช้ค่าใช้จ่ายมากอีกด้วย เช่น ใช้เมาส์มีขนานเหมาะสมกับมือของตัวเอง ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป และก่อนที่จะซื้อโต๊ะคอมพิวเตอร์นั้นควรออกแบบ หรือวัดโต๊ะหรือออกแบบโต๊ะที่เหมาะสมกับตัวเองเพื่อวางคอมพิวเตอร์และเก้าอี้นั่งพิมพ์ให้เหมาะสมกับร่างกาย เราก่อนด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลกับเราในอนาคต ถึงแม้ราคาจะแพงแต่สุขภาพของเราและสภาพร่างกายแล้วคุ้มมากเลย ซึ่งในเมืองไทยยังไม่มีใครเป็น RSI ถึงขั้นร้ายแรงมาก จนเกิดอาการเส้นเอ็นอักเสบจนถึงขั้น ต้องผ่าตัด แต่การผ่าตัดเส้นเอ็นที่พบบ่อยครั้งมากกว่านั้นส่วนใหญ่จะเกิดจากเรื่องของการเล่นกีฬามากกว่า สำหรับ RSI ที่เกิดในประเทศไทยยังไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ไม่แน่ เพราะว่าอาการเหล่านี้เป็นอาการสะสม เหมือนโรคมะเร็ง หรือโรคทางเดิมหายใจต่างๆ ครับ

        ในอเมริกาอาการของโรค RSI เป็นอันดับหนึ่งในส่วนของโรคที่เกิดจากการทำงาน มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี ประมาณ 300,000 คน (ข้อมูลปี พ.ศ. 2546) อัตราการเจริญเติบโตเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี ประมาณ 20% พนักงานต้องขาดงานโดยเฉลี่ย 30 วันทำงานต่อปี เพื่อรักษาโรคเหล่านี้ ครับ

        แม้ขณะนี้ RSI จะยังไม่ใช่ปัญหาของสังคมไทยในอนาคตคาดว่า คนไทยจะมีเปอร์เซ็นต์จากอาการเจ็บป่วยมากขึ้นอย่างแน่นอนในไม่ช้านี้ครับ ซึ่งสามารถจากปัญหาข้างต้นครับ

ขอบคุณรูปภาพจาก