เอกสารไพธอนโปรแกรมมิ่ง ภาษาไทย

สำหรับใครที่อยากศึกษาภาษาไพธอน สามารถดาวน์โหลดได้จาก ที่นี่ หรือ ไปอ่านที่ Scribd (เลื่อนไปอ่านด้านล่างก็ได้ Embed ไว้แล้วครับ) โดยในนั้นมีเนื้อหาดังนี้

เนื้อหาหลัก

  1. แนะนำภาษาไพธอน (ประวัติ, หลักปรัชญาของภาษา, ข้อดีและเด่นของภาษา, ฯลฯ)
  2. การแสดงผลเบื้องต้น
  3. การตั้งชื่อตัวแปร และคำสงวน
  4. การคำนวณทางคณิตศาสตร์
  5. ชนิดของตัวแปร
  6. การเปรียบเทียบ
  7. นิพจน์ทางตรรกะศาสตร์
  8. ช่วงของการทำงานและช่วงชีวิตของตัวแปร
  9. การควบคุมทิศทางของโปรแกรม
  10. การสร้างฟังก์ชั่น
  11. การใส่ข้อมูลผ่านคีย์บอร์ด

ภาคผนวก

  1. เรื่องที่ห้ามลืมในไพธอน
  2. การติดตั้ง Python, wxPython และ Stani’s Python Editor
  3. อธิบายส่วนต่าง ๆ พอสังเขปของโปรแกรม SPE
  4. การเขียน, Debug และสั่งให้โปรแกรมทำงาน
  5. ข้อมูลอ้างอิง

โดยเนื้อหาทั้งหมดนี้ได้รับการแก้ไขให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ (แก้ไขและเข้าเล่มรายงานไปแล้ว 3 รอบ กว่าจะลงตัว เสียตังจริง ๆ ตู T_T )

โดยเอกสารดังกล่าวนี้อยู่บนลิขสิทธิ์ของ Creative Commons แบบ Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivs 2.5 License โดยการนำไปเผยแพร่ต้องบ่งบอกถึงที่มาของเอกสาร และห้ามนำไปทำการค้าหรือ เพิ่มเติมส่วนหนึ่งส่วนใดของเอกสาร โดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้ากับผู้จัดทำก่อน เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้จัดทำ และตัวผู้นำไปใช้ศึกษาและเผยแพร่นั้นเอง

หวังว่าจะมีประโยชน์ในการศึกษาภาษาโปรแกรมมิ่งไพธอนที่กำลังเติบโตอย่างสูงมากในตอนนี้

และถ้ามีเวลาจะเขียนเพิ่มในส่วนของ OOP และ GUI ด้วยครับ ;)

ภาษาโปรแกรมมิ่งไพธอน (Python programming language)

ทำรายงานเรื่องไพธอน แล้วก็ส่งไปแล้ว เลยคิดว่าถ้าทำแล้วแค่ส่งให้อาจารย์แล้วก็กองไว้ตรงนั้น มันจะมีประโยชน์อะไร เอามาเผยแพร่น่าจะได้ประโยชน์กว่าเยอะเลย ;)


ข้อมูลเบื้องต้น

ไพธอน (Python) เป็นภาษาโปรแกรมในลักษณะภาษาอินเตอร์พรีเตอร์โปรแกรมมิ่ง (Interpreted programming language) ผู้คิดค้นคือ Guido van Rossum ในปี 1990 ซึ่งไพธอนเป็น การจัดการชนิดของตัวแปรแบบแปรผันตามข้อมูลที่บรรจุอยู่ (Fully dynamically typed) และใช้การจัดการหน่วยความจำเป็นอัตโนมัติ (Automatic memory management) โดยได้เป็นการพัฒนาและผสมผสานของภาษาอื่น ๆ ได้แก่ ABC, Modula-3, Icon, ANSI C, Perl, Lisp, Smalltalk และ Tcl และภาษาไพธอนยังเป็นแนวคิดที่ทำให้เกิดภาษาใหม่ ๆ ซึ่งได้แก่ Ruby และ Boo เป็นต้น

ไพธอนนั้นพัฒนาเป็นโครงการ Open source โดยมีการจัดการแบบไม่หวังผลกำไรโดย Python Software Foundation และสามารถหาข้อมูลและตัวแปรภาษาได้จากเว็บไซต์ของไพธอนเอง ที่ http://www.python.org/ ซึ่งในปัจจุบัน (ณ.วันที่ 29 มิถุนายน 2006) Python ได้พัฒนาถึงรุ่นที่ 2.4.3 (ออกวันที่ 29 มีนาคม 2006) และรุ่นทดสอบการทำงาน หรือ beta นั้นอยู่ที่รุ่น 2.5 ซึ่งออกเมื่อ 20 มิถุนายน 2006


ประวัติ

Python 1.0

ไพธอนสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1990 โดย Guido van Rossum ที่ CWI (National Research Institute for Mathematics and Computer Science) ในประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยได้นำความสำเร็จของภาษาโปรแกรมมิ่งที่ชื่อ ABC มาปรับใช้กับ Modula-3, Icon, C, Perl, Lisp, Smalltalk และ Tcl โดย Duido van Rossim ถือว่าเป็นผู้ริเริ่มและคิดค้น แต่เค้าก็ยังคิดว่าผลงานอย่างไพธอนนั้น เป็นผลงานความรู้ที่ทำขึ้นเพื่อความสนุกสนานโดยได้อ้างอิงงานชิ้นนี้ของเขาว่าเป็น Benevolent Dictator for Life (BDFL) ซึ่งผลงานที่ถูกเรียกว่าเกิดจากความสนุกสนานเหล่านี้นั้นมักถูกเรียกว่า BDFL เพราะมักเกิดจากความไม่ตั้งใจ และความอยากที่จะทำอะไรที่เป็นอิสระนั้นเอง ซึ่งคนที่ถูกกล่าวถึงว่าทำในลักษณะแบบนี้ก็ได้แก่ Linus Torvalds ผู้สร้าง Linux kernel, Larry Wall ผู้สร้าง Perl programming language และคนอื่น ๆ อีกมากมาย

โดยที่ในไพธอน 1.2 นั้นได้ถูกปล่อยออกมาในปี 1995 โดย Guido ได้กลับมาพัฒนาไพธอนต่อที่ Corporation for National Research Initiatives (CNRI) ที่ เรสตัน, มลรัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยที่ในขณะเดียวกันก็ได้ปล่อยรุ่นใหม่ ในหมายเลขรุ่น 1.6 ออกมาโดยอยู่ที่ CNRI เช่นกัน

ซึ่งหลังจากปล่อยรุ่น 1.6 ออกมาแล้ว Guido van Rossum ก็ได้ออกจาก CNRI  เพื่อทำงานให้การทำธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์แบบเต็มตัว โดยก่อนที่จะเริ่มทำงานธุรกิจ เขาก็ได้ทำให้ไพธอนนั้นอยู่บนสัญญาลิขสิทธิ์แบบ General Public License (GPL) โดยที่ CNRI และ Free Software Foundation (FSF) ได้รวมกันเปิดเผยรหัสโปรแกรมทั้งหมด เพื่อให้ไพธอนนั้นได้ชื่อว่าเป็นซอฟต์แวร์เสรี และเพื่อให้ตรงตามข้้อกำหนดของ GPL-compatible ด้วย (แต่ยังคงไม่สมบูรณ์เพราะการพัฒนาในรุ่น 1.6 นั้นออกมาก่อนที่จะใช้สัญญาลิขสิทธิ์แบบ GPL ทำให้ยังมีบางส่วนที่ยังเปิดเผยไม่ได้)

และในปีเดียวกันนั้นเอง Guido van Russom ก็ได้รับรางวัลจาก FSF ในชื่อว่า “Advancement of Free Software”

โดยในปีนั้นเองไพธอน 1.6.1 ก็ได้ออกมาเพื่อแก้ปัญหาข้อผิดพลาดของตัวซอฟต์แวร์และให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ GPL-compatible license อย่างสมบูรณ

Python 2.0

ในปี 2000 Guido และ Python Core Development team ได้ย้ายการทำงานไป BeOpen.com โดยที่พวกเขาได้ย้ายจาก BeOpen PythonLabs team โดยในไพธอนรุ่นที่ 2.0 นั้นได้ถูกนำออกเผยแพร่ต่อบุคคลทั่วไปจากเว็บไซต์ BeOpen.com และหลังจากที่ไพธอนออกรุ่นที่ 2.0 ที่ BeOpen.com แล้ว Guido และนักพัฒนาคนอื่น ๆ ในทีม PythonLabs ก็ได้เข้ารวมกับทีมงาน Digital Creations

ไพธอนรุ่น 2.1 ได้สืบทอนการทำงานและพัฒนามาจาก 1.6.1 มากกว่าไพธอนรุ่น 2.0 และได้ทำการเปลี่ยนชื่อสัญญาลิขสิทธิ์ใหม่เป็น Python Software Foundation License โดยที่ในไพธอนรุ่น 2.1 alpha นั้นก็ได้เริ่มชื่อสัญญาสิขสิทธิ์นี้และผู้เป็นเจ้าของคือ Python Software Foundation (PSF) โดยที่เป็นองค์กรที่ไม่หวังผลกำไรเช่นเดียวกับ Apache Software Foundation

อนาคต

ผู้พัฒนาไพธอนมีการประชุมและถกเถียงกันในเรื่องของความสามารถใหม่ ๆ ในไพธอนรุ่นที่ 3.0 โดยมีชื่อโครงการว่า Python 3000 (Py3K) โดยที่จะหยุดการสนับสนุนโค้ดโปรแกรมจากรุ่น 2.x โดยที่ทำแบบนี้เพื่อทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการทำงานของภาษาให้ดียิ่งขึ้นตามคำแนะนำที่ว่า “reduce feature duplication by removing old ways of doing things” (ลดทอนคุณสมบัติที่ซ้ำซ้อนด้วยการยกเลิกเส้นทางที่เดินผ่านมาแล้ว) โดยในตอนนนี้ยังไม่มีตารางงานของไพธอน รุ่น 3.0 แต่อย่างใด แต่ Python Enhancement Proposal (PEP) ได้มีการวางแผนไว้แล้ว โดยได้วางแผนไว้ดังนี้

  • ทำการเพื่อส่วนสนับสนุนชนิดตัวแปรให้มากขึ้น
  • สนับสนุนการทำงานของชนิดตัวแปรแบบ unicode/str และ separate mutable bytes type
  • ยกเลิกการสนับสนุนคุณสมบัติของ classic class, classic division, string exceptions และ implicit relative imports
  • ฯลฯ

หลักปรัชญาของภาษาไพธอน

ไพธอนเป็นภาษาที่สามารถสร้างงานได้หลากหลายกระบวนทัศน์ (Multi-paradigm language) โดยจะมองอะไรที่มากกว่าการ coding เพื่อนำมาใช้งานตามรูปแบบเดิม ๆ แต่จะเป็นการนำเอาหลักการของกระบวนทัศน์ (Paradigm) แบบ Object-oriented programming, Structured programming, Functional programming และ Aspect-oriented programming นำเอามาใช้ทั้งแบบเดียว ๆ และนำมาใช้ร่วมกัน ซึ่งไพธอนนั้นเป็น ภาษาที่มีการตรวจสอบชนิดตัวแปรแบบยืดหยุ่น (dynamically type-checked) และใช้ Garbage collection ในการจัดการหน่วยความจำ


ข้อเด่นของภาษาไพธอน

  • ง่ายต่อการเรียนรู้ โดยภาษาไพธอนมีโครงสร้างของภาษาไม่ซับซ้อนเข้าใจง่าย ซึ่งโครงสร้างภาษาไพธอนจะคล้ายกับภาษาซีมาก เพราะภาษาไพธอน สร้างขึ้นมาโดยใช้ภาษาซี ทำให้ผู้ที่คุ้นเคยภาษาซี อยู่แล้วใช้งานภาษาไพธอนได้ไม่ยาก นอกจากนี้โดยตัวภาษาเองมีความยืดหยุ่นสูงทำให้การจัดการกับงานด้านข้อความ และ Text File ได้เป็นอย่างดี
  • ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เพราะตัวแปรภาษาไพธอนอยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ Python Software Foundation License (PSFL) ซึ่งเป็นของ Python Software Foundation (PSF) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ ลิขสิทธิ์แม่แบบอย่าง General Public License (GPL) ของ Free Software Foundation (FSF)
  • ใช้ได้หลายแพลตฟอร์ม ในช่วงแรกภาษาไพธอนถูกออกแบบใช้งานกับระบบ Unix อยู่ก็จริง แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาตัวแปลภาษาไพธอน ให้สามารถใช้กับระบบปฏิบัติการอื่นๆ อาทิเช่น Linux Platform, Windows Platform, OS/2, Amiga, Mac OS X และรวมไปถึงระบบปฎิบัติการทีี่ .NET Framework, Java virtual machine ทำงานได้ ซึ่งใน Nokia Series 60 ก็สามารถทำงานได้เช่นกัน
  • ภาษาไพธอนถูกสร้างขึ้นโดยได้รวบรวมเอาส่วนดีของภาษาต่างๆ เข้ามาไว้ด้วยกัน อาทิเช่น ภาษา ABC, Modula-3, Icon, ANSI C, Perl, Lisp, Smalltalk และ Tcl
  • ไพธอนสามารถรวมการพัฒนาของระบบเข้ากับ COM, .NETและ CORBA objects
  • สำหรับ Java libraries แล้วสามารถใช้ Jython เพื่อทำการพัฒนาซอฟต์แวร์จากภาษาไพธอนสำหรับ Java Virtual Machine
  • สำหรับ .NET Platform แล้ว สามารถใช้ IronPython ซึ่งเป็นการพัฒนาของ Microsoft เพื่อจะทำให้ไพธอนนั้นสามารถทำงานได้บน .Net Framework ซึ่งใช้ชื่อว่า Python for .NET
  • ไพธอนนั้นสนับสนุน Internet Communications Engine (ICE) และการรวมกันของเทคโนโลยีอื่น ๆ อีกมากมายในอนาคต
  • บางครั้งนักพัฒนาอาจจะพบว่าไพธอนไม่สามารถทำงานบางอย่างได้ แต่นักพัฒนาต้องการให้มันทำงานได้ ก็สามารถพัฒนาเพิ่มได้ในรูปแบบของ extension modules ซึ่งอยู่ในรูปแบบของโค้ด C หรือ C++ หรือใช้ SWIG หรือ Broost.Python
  • ภาษาไพธอนเป็นสามารถพัฒนาเป็นภาษาประเภท Server side Script คือการทำงานของภาษาไพธอนจะทำงานด้านฝั่ง Server แล้วส่งผลลัพธ์กลับมายัง Client ทำให้มีความปลอดภัยสูง และยังใช้ภาษาไพธอนนำมาพัฒนาเว็บเซอร์วิสได้อีกด้วย
  • ใช้พัฒนาระบบบริหารการสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปที่เรียกว่า Content Management Systems (CMS) ซึ่ง CMS ที่มีชื่อเสียงมาก และเบื้องหลังทำงานด้วยไพธอนคือ Plone http://www.plone.org/

Category และ Application Domains

ภาษาไพธอนนั้น จัดอยู่ใน Category ภาษาที่สามารถสร้างงานได้หลากหลายกระบวนทัศน์ (Multi-paradigm language) โดยรองรับทั้ง Object-oriented programming, Imperative, Functional programming และ Logic programming ซึ่งไพธอนสามารถนำไปพัฒนาซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้มากมาย ได้แก่

Web และ Internet Development

ไพธอนนั้นมีการสนับสนุนในด้า้นของ Web Development ในโซลูชันระดับสูงด้วย Zope, mega frameworks อย่าง Django และ TurboGears และรวมไปถึง Content Management Systems ขั้นสูงอย่าง Plone และ CPS จึงทำให้ไพธอนนั้นเป็น Common Gateway Interface (CGI) ระดับสูงที่มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดตัวหนึ่งในตลาด

Database Access

ไพธอนนั้นสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลในฐานข้อมูลของผู้ผลิตฐานข้อมูลต่าง ๆ มากมาย โดยผ่านทาง ODBC Interfaces และ Database Connection Interface อื่น ๆ ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับ  MySQL, Oracle, MS SQL Server, PostgreSQL, SybODBC และอื่น ๆ ที่จะมีมาเพิ่มเติมอีกในอนาคต

Desktop GUIs

เมื่อไพธอนได้ติดตั้งลงบนเครื่องของคุณแล้ว จะมี Tk GUI development library ซึ่งเป็น libraries ที่มีความสามารถเทียบเท่า Microsoft Foundation Classes (MFC, ซึ่งคล้าย ๆ กับ win32 extensions), wxWidgets, GTK, Qt, Delphi และอื่น ๆ ทำให้สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ประยุกต์ต่าง ๆ แบบ Graphic user interface ได้

Scientific และ Numeric computation

ไพธอนรองรับการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ในเรื่องของทฤษฎีการคำนวณ, Bioinformatics และ Physics เป็นต้น

Education

ไพธอนนั้นเป็นภาษาที่เหมาะกับการเรียนการสอนในวิชา programming อย่างมาก โดยสามารถนำไปใช้ในระดับเบื้องต้นถึงระดับสูง ซึ่ง Python Software Foundation นั้นได้มีหลักสูตรสำหรับการเรียนการสอนในด้านนี้อยู่แล้ว ซึ่งสามารถนำเอา pyBiblio  และ Software Carpentry Course มาเรียนเพื่อเสริมความรู้ได้

Network programming

เป็นการเพิ่มความามารถจาก Web และ Internet Development ไพธอนนั้นสนับสนุนในการเขียนโปรแกรมในระดับต่ำในด้านของ network programming ที่ง่ายต่อการพัฒนา sockets และ รวมไปถึงการทำงานร่วมกับ mudules อย่าง Twisted และ Framework สำหรับ Asyncronous network programming

Software build และ Testing

ไพธอนนั้นสนับสนุนการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีการควบคุมการพัฒนาและจัดการระบบทดสอบต่าง ๆ โดยใช้เครื่องมือในการพัฒนาที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมในไพธอนเอง ซึ่งตัวไพธอนนั้นได้มาพร้อมกับ

  •   Scons สำหรับ build โปรแกรม
  •   Buildbot และ Apache Gump ที่ใช้สำหรับงาน Automated continuous compilation และ Testing
  •   Roundup หรือ Trac สำหรับ bug tracking และ project management

Game และ 3D Graphics Rendering

ไพธอนนั้นได้ถูกใช้ในตลาดพัฒนาเกมส์ทั้งเชิงธุรกิจและสมัครเล่น โดยมีการสร้าง Framework สำหรับพัฒนา Game บนไพธอนซึ่งชื่อว่า PyGame และ PyKyra ซึ่งยังรวมไปถึงการทำ 3D Graphics Rendering ที่ไพธอนมี libraries ทางด้านงานนี้อยู่มากมาย


ซอฟต์แวร์ที่เขียนด้วยไพธอน

  • BitTorrent เป็นการพัฒนาโดยระบบการจัดการไฟล์ BitTorrent, การจัดการ การกระจายตัวของ Package ข้อมูลใน Tracker และการเข้ารหัสส่วนข้อมูลต่าง ๆ
  • Blender ซอฟต์แวร์ open source สำหรับทำ 3D modeling
  • Chandler ซอฟต์แวร์จัดการข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Information Manager, PIM) โดยมีส่วนเพิ่มเติมทั้งงานปฎิทิน, อีเมล, ตารางงาน และข้อมูลโน็ตต่าง ๆ ซึ่งทำงานคล้าย ๆ กับ Outlook ของ Microsoft
  • Civilization IV วีดิโอเกมส์ และยังเป็นเกมส์ที่ใช้ boost.python เพื่อทำการควบคุมส่วนประกอบต่าง ๆ ภายในเกมส์ ซึ่งรวมไปถึงรูปแบบ, หน้าตา และเนื้อหาของเกมส์ด้วย
  • Mailman หนึ่งในซอฟต์แวร์ E-Mail mailing lists ที่ได้รับความนิยมสูงสุด
  • Kombilo ระบบจัดการฐานข้อมูลของเกมส์โกะ
  • MoinMoin ระบบ Wiki ที่ได้รับความนิยมสูงตัวหนึ่ง
  • OpenRPG ระบบเกมส์เสมือนแบบ Role Playing Games ลน Internet
  • Plone ระบบ Content Management System
  • Trac ระบบติดตามติดตามข้อผิดพลาดและจัดการข้อมูลด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วย MoinMoin ที่เป็น wiki และ Subversion เพื่อทำระบบ Source version control
  • Turbogears ระบบพัฒนาซอฟต์แวร์ Framework โดยรวมเอา Cherrypy, SQLObject, MochiKit และ KID templates
  • ViewVC ระบบ Web-based สำหรับจัดการด้าน CVS และ SVN repositories
  • Zope ระบบพัฒนาซอฟต์แวร์บนอินเทอร์เน็ตแบบ web-application platform
  • Battlefield 2 เกมส์ First Person Shooter ที่ได้ใช้ไพธอนในการทำ Configuration scripts
  • Indian Ocean Tsunami Detector ซอฟต์แวร์สำหรับมือถือเพื่อแจ้งเตือน Tsunami
  • EVE Online เกมส์แบบ Multi Massive Online Role Playing Game ซึ่งเป็นเกมส์ที่ได้รับอันดับสูงมากบน MMORPG.com
  • SPE – Stani’s Python Editor เป็น Free และ open-source สำหรับงานพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยไพธอน โดยมีทั้งแบบ Python IDE for Windows, Linux \& Mac with wxGlade (GUI designer), PyChecker (Code Doctor) และ Blender (3D)

ตัวอย่างความสำเร็จของไพธอน

Industrial Light & Magic

  • “ไพธอนเป็นกุญแจสำหรับการสร้างผลงานที่ดี ถ้าไม่มีมันแล้วงานอย่าง Star Wars: Episode II ก็เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะสำเร็จ ด้วยวิธีการ  crowd rendering เพื่อส่งไปทำการ batch processing ในการ compositing video นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายไปเลยเมื่อใช้การพัฒนาระบบด้วยไพธอน”  Tommy Burnette, Senior Technical Director, Industrial Light & Magic
  • “ไพธอนอยู่ทุก ๆ ที่ใน ILM มันช่วยให้เราสามารถที่จะทำงานกับภาพกราฟฟิกที่ถูกสร้างสรรค์ได้ง่ายและรวดเร็ว” Philip Peterson, Principal Engineer, Research & Development, Industrial Light & Magic

Google

  • “ไพธอนมีความสำคัญต่อ Google มาก เพราะตั้งแต่เริ่มมี Google เราก็ใช้มันสร้างระบบของเรา และยังคงเป็นส่วนสำคัญจนทุกวันนี้ โดยในทุก ๆ วันเหล่าวิศวะกรของ Google ใช้ไพธอนในการทำงานอยู่ตลอดเวลา เพื่อค้นหาข้อมูลบนโลกของอินเทอร์เน็ตอย่างไม่มีทีสิ้นสุด” Peter Norvig, Director of Search Quality, Google, Inc.

NASA

  • NASA ใช้ไพธอนในการพัฒนา การจัดการ Model, Integration และ ระบบ Transformation ในงาน CAD/CAE/PDM โดยพวกเราเลือกไพธอนเพราะมีความสามารถในการสร้างงานให้ออกมาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง โดยสิ่งที่สำคัญคือ code ในการเขียนนั้นสะอาดและง่ายต่อการจัดการดูแลในภายหลัง อีกทั้งยังมี libraries ให้ใช้อย่างมากมายทำการ Integration ของระบบนั้นเป็นไปอย่างชาญฉลาดและรวดเร็วแถมยังทำระบบที่สามารถเชื่อมต่อการกับระบบอื่น ๆ ได้อย่างดี ซึ่งไพธอนนั้นตอบโจทย์ของเราได้ทั้งหมด”  Steve Waterbury, Software Group Leader, NASA STEP Testbed

Language Evaluation Criteria

ด้วยความที่ไพธอนนั้นผสมผสานการสร้างภาษาที่สวยงาม ทำให้การอ่านหรือเข้าใจโค้ด (Readability) ต่าง ๆ นั้นทำได้ง่าย รวมถึงการเขียนโค้ด (Writability) ที่กระชับและสั้นในการเขียน รวมถึงมีประสิทธิภาพ ทำให้มีเสถียรภาพ (Reliability) สูงขึ้นและมีความรวดเร็วในการทำงานอีกด้วย และในด้านค่าใช้จ่าย (Cost) ในการพัฒนาซอฟต์แวรจากไพธอนนั้นในประเทศไทยนั้นยังต้องใช้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เพื่อให้ได้มาซึ่งซอฟต์แวร์ที่ดี เพราะผู้เชี่ยวชาญที่เขียนไพธอนได้มีเสถียรภาพนั้นยังมีน้อย ทำให้ค่าตัวสำหรับผู้พัฒนานั้นสูงตามไปด้วย ถึงแม้ว่าเครื่องมือในการพัฒนานั้นจะฟรี และเป็น Open source ก็ตาม แต่ค่าใช้จ่ายในด้านบุคลากรนั้นมีมากกว่าค่าเครื่องมือพัฒนา


ข้อมูลอ้างอิง

คำสั่งการใช้งานต่าง ๆ ของ Python สามารถอ่านได้จาก Python Programming Language Documentation ที่ http://docs.python.org

Framework , Library , Platform, Architecture และ AJAX

ผมมีคำถามที่ไม่เข้าใจ ให้ช่วยแนะนำแนวทาง ดังนี้ครับ
1. framework คืออะไร เกี่ยวข้องกับ library ไหม
2. แพลตฟอร์มกับสถาปัตยกรรมต่างกันอย่างไร
3. AJAX คืออะไรครับ

Framework นั้นใน Software development เป็นการสร้างโครงสร้างของ software project ที่สามารถรวบรวม และพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ได้ โดยที่ framework นั้นจะมีโปรแกรมสนับสนุน (IDE), library, scripting language และซอฟต์แวร์อื่นๆ ที่ช่วยในการพัฒนา ตัวอย่าง Framework ก็ Eclipse ที่เป็น Java Framework จาก IBM, NetBeans จาก Sun Microsystems, Microsoft .NET จาก Microsoft, Ruby On Rails สำหรับเขียน Ruby, Cocoa จาก Apple Computer ฯลฯ ส่วนถ้าใน Hardware development เป็นพวกการรวมกันของระบบ เช่น SuperComputer ที่ต้องใช้ Hardware เฉพาะที่เข้ากันได้, Macintosh ที่ต้องใน CPU ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการทำงานร่วมกับ Mac OS เป็นต้น
ซึ่งในส่วนของ Framework ที่เป็น Software development นั้น บางครั้งก็สามารถแยกย่อยได้เป็น 2 ส่วนคือ Runtime และ SDK (Software Develop Kits) ซึ่ง Runtime นั้นเป็นการทำให้ซอฟต์แวรที่พัฒนาจาก SDK สามารถทำงานได้ โดยที่ไม่ต้องลง SDK ทั้งหมด ถ้าคิดง่ายๆ คือ SDK เป็น super set ของ Runtime อีกที

Library เป็นการรวมกันของ subprogram ที่ช่วยในการพัฒนาซอฟต์แวรต่าง ๆ ถ้าใน c/c++ ก็พวก stdio, iostream, string ฯลฯ ซึ่งเราต้อง include ถ้าใน java ก็พวก import ต่างๆ เช่น swing อะไรพวกนี้เข้ามาใน code ของเราเพื่อช่วยให้เราไม่ต้องเขียนในส่วนนั้น ๆ ตัวอย่างเช่นใ น MFC ที่สามารถ include Library พวก win32 เข้ามาเพื่อสร้าง GUI ในภาษา visual c++, visual basic

Architecture เป็นศาสตร์ และศิลปของการออกแบบสิ่งของ และโครงสร้างต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นในความเป็นกลางของระบบที่เข้ากันได้ในแต่ละรายละเอียด ทั้ง Software และ Hardware

Platform เป็นรายละเอียดต่างๆ ที่นำมารวมกันของ framwork (ทั้ง hardware หรือ software) ที่ยินยอมให้ทำงานได้ ซึ่งมันเป็นการรวมกันของ Computer architecture, operating system หรือ programming language และรวมไปถึง runtime library ตัวอย่างเช่น Wintel เป็นการรวมกันของ Intel x86 หรือ compatible hardware และ Windows operating system, Macintosh เป็นการจัดจำหน่วยบน platform ของ Apple Computer hardware และ Mac OS operating system และพวก video game console ต่าง ๆ พวก xbox, ps(1,2,3) game cube ฯลฯ

AJAX หรือ Asynchronous JavaScript and XML นั้นเอง ซึ่งมันทำงานโดยใช้

  • HTML/XHTML/CSS เพื่อแสดงผล
  • Document Object Model ทำการส่งค่า html และทำงานโดยผ่าน JavaScript เพื่อทำการแสดงผลแบบ dynamic ให้กับ HTML/XHTML/CSS มากขึ้น
  • XMLHttpRequest เพื่อทำการส่งข้อมูลเข้า และออก web server เพื่อประมวลผล

Web browser ที่สนับสนุนคือ

  • Apple Safari 1.2 ขึ้นไป
  • Konqueror ทุกรุ่น
  • Microsoft Internet Explorer (and derived browsers) 4.0 ขึ้นไป
  • Mozilla Firefox (and derived browsers) 1.0 ขึ้นไป
  • Netscape 7.1 ขึ้นไป
  • Opera 7.6 ขึ้นไป
  • ฯลฯ ในอนาคต

ซึ่งจริงๆ แล้วเป็น Technology ที่ใช้ใน Outlook Web Access อยู่แล้ว ซึ่งทำงานผ่าน Microsoft Exchange Server โดยทำงานบน Microsoft Internet Explorer 4.0 ต่อมาในปี 2005 นั้น Google ก็เอามาใช้ใน Google Groups, Google Maps, Google Suggest และ Gmail
ถ้าไล่ตามลำดับแล้ว จากขนาดใหญ่ไปเล็กก็ไล่จาก
Platform -> Architecture -> Framework -> Library -> AJAX

เรียนโปรแกรมมิ่ง หรือ Computer Science จงเป็นเจ้านายภาษา …

ขอท้าวความนิดนึง ว่าทำไมผมถึงเขียนแบบนี้

คืออันนี้ผมไป ได้มาจากพี่เดฟ (ithilien_rp) post ตอบไว้ใน pantip.com โดยที่เจ้าของกระทู้เขียนว่า ในlonghorn นั้น microsoft จะใช้ภาษาใหม่ ซึ่งก็คือ mc++ ดังนั้นขอให้พวกโปรแกรมเมอร์ทั้งหลายระงับการเรียนโปรแกรมกันไว้ก่อนเพราะว่าอีกไม่นานต้องเปลี่ยนอีก

อะไรทำนองนี้แหละครับ เนื้อหาบทความีดังนี้ครับ


         การเรียนรู้ platform/library/language ใหม่ๆ เป็นเรื่องปกติของ programmer อยู่แล้ว ดังนั้นผมว่ามีของใหม่มา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

         การเรียนรู้อะไรผมไม่อยากให้ดูที่เปลือกนอกมากไปนักน่ะครับ อย่าไปดูที่ syntax, libraryอะไรให้มากนัก ดูที่แนวความคิด หรือว่าปรัชญาของการเขียนโปรแกรมจะดีกว่ารวมไปถึง algorithm flow หรือว่า program design ด้วย เพราะว่า ถึงแม้ภาษาต่างๆ มันจะเปลี่ยนไป หรือว่า library/framework ต่างๆ มันเปลี่ยนไปตามกาลเวลาของมัน ไอ้พวก algorithm หรือว่า design philosophyพวกนี้ไม่ค่อยเปลี่ยนตามหรอกครับ หรือว่าเปลี่ยนตามก็ช้ากว่าไม่รู้กี่เท่า

         เรียนprogramming language ใหม่ๆ ภาษานึงนี่ ผมว่ามันไม่ใช่เรื่อง big dealอะไรเลย ตอนที่ผมเปลี่ยนมาใช้ mac os x ใหม่ๆ แล้วอยากจะเขียนโปรแกรมบน osx ผมก็ต้องเรียน objective-c ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตก็ไม่มีอะไรมาก ใช้เวลาครึ่งวันอ่าน syntax, keyword ใหม่ๆ ว่ามีอะไรบ้างอีกครึ่งวันหาพวก FAQ ว่ามันมีอะไรต่างจาก c/c++/java มั่งวันที่สองวันที่สาม ก็เขียนอะไรใน objective-c ได้แล้วส่วนเรื่องการเขียนโปรแกรมใน os x นี่ แน่นอนว่า architecture มันต่างจากwindows โดยสิ้นเชิง ดังนั้นความรู้อะไรก็ตามที่ผมรู้มาจาก win32, mfc,.net ใช้ไม่ได้เลย (ของตาย ยกเว้น M$ จะ port ไปลง แต่ว่า .net ก็มีdotGNU ก็พอจะใช้กันได้บ้าง) แต่ว่าก็เรียนรู้ Cocoa framework (ที่เป็นnative framework ของ mac os x) ก็ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ ก็เขียน GUIapplication ได้แล้ว ใช้ system service ได้พอสมควร (ก็อ่านๆ พวก basicแล้วที่เหลือก็เปิด reference เอา)

         ขอสรุปความคิดคร่าวๆละกันนะครับ ก่อนจะนอกเรื่องไปมากกว่านี้ผมอยากจะเสนอความคิดแบบนี้ดีกว่าครับ สำหรับคนที่จะหัดเขียนโปรแกรม

1. แยกการเรียน “ภาษา” กับการเรียน “library/framework” ออกจากกัน
         เดี๋ยวนี้library/framework ใหม่ๆ ส่วนมากจะ support หลายภาษา และ codeที่เขียนเรียกใช้ library เหล่านั้นในแต่ละภาษาจะไม่ต่างกันมากเท่าไหร่(ลองดู code ที่ใช้ .NET framework ที่เขียนใน VB.NET, C#.NET หรือว่าManaged C++.NET สิครับ ออกมาแทบจะเหมือนกันเลย ผมอ่านหนังสือ VB.NET นี่แปลง code เป็น C# ได้แบบแทบไม่ต้องคิดเลย เกือบจะบรรทัดต่อบรรทัด แปลงแค่syntax กับ keyword แล้วก็ structure นิดหน่อย)
         ดังนั้นการแยกการเรียนรู้ library/framework ออกจากการเรียนภาษาเป็นเรื่องที่สำคัญครับ ตามความคิดของผม

2. อย่าไป focus กับภาษามากเกินไป ดูที่ algorithm + program design มากๆ
         ภาษาก็เป็นแค่เครื่องมือแม้ว่าภาษาแต่ละภาษาจะมีข้อดีข้อเสียไม่เหมือนกัน แต่ว่าอย่างไรก็ดี การdesign program นั้น design framework, design patternsส่วนมากจะไม่ขึ้นกับภาษา คือ จะใช้ในภาษาไหนก็ได้ เช่นเดียวกับ algorithm
         ดังนั้นเมื่อต้องถึงเวลาที่จะเปลี่ยน platform ไม่ว่าจะเป็นการไปใช้ platformตระกูลใหม่ (เช่น windows->linux, windows->macหรือว่ากลับกันก็ตาม) หรือว่าตระกูลเดิม แต่ update architectureใหม่จนจำไม่ได้ (เช่น windows 3.11->windows 95, win32->.net หรือmac os 9->mac os x) ก็ตาม สิ่งที่ต้องทำก็คือ
         – เรียนรู้ syntax และลักษณะเฉพาะของภาษาใหม่ (ถ้าจำเป็น)
         – เรียนรู้ basic ของ framework ของ platform นั้นๆ (เช่น การเรียกใช้component, การใช้ memory, ฯลฯ)
         จากนั้นในการเขียนโปรแกรมหรือว่าสร้าง application อะไร ในภาพรวม ก็คิดตามหลักprogram design เดิม และใช้ algorithm ตัวเดิม แต่ว่าเรียกใช้ componentจาก framework ตัวใหม่ (ซึ่งตรงนี้ ถ้า basic แน่นดี ก็เปิดดูจากreference ได้เลย) และอาจจะปัญหาเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยนิดหน่อยในส่วนที่เป็นลักษณะเฉพาะของภาษาใหม่ ที่ต่างไปจากภาษาที่เคยชินเท่านั้นเอง เช่นตอนที่เขียน objective-c ใหม่ๆ งงกับมันอยู่พักนึง กับsemi-automatic memory management ของมัน เพราะว่าเคยแต่ใช้ manual แบบc/c++ หรือว่า fully automatic แบบ java
         ส่วนถ้าใครอยากจะลองเล่นกับmanaged c++ ก็หาตัวอย่างได้ทั่วไปครับ ส่วนหนังสือเล่มที่อยากจะแนะนำนอกจากหนังสือของสำนักพิมพ์ microsoft ที่น่าจะเป็นมาตรฐานที่ต้องอ่านแล้วก็มี Developing Applications with Visual Studio.NET โดย RicardGrimes เล่มนี้จะเน้นการใช้ Managed C++และจากพูดถึงส่วนของรายละเอียดต่างๆ ข้อเหมือนและข้อแตกต่างระหว่างmanaged c++ กับ c++และ c# ไว้ดีพอสมควรทีเดียว แต่ว่าอาจจะไม่มี codeตัวอย่างมากนัก เหมาะกับคนที่เขียนโปรแกรมเป็นอยู่แล้ว

อยากจะเขียนโปรแกรม ควรจะศึกษาโปรแกรมอะไรก่อน ?

คำถาม … อยากจะเขียนโปรแกรม ควรจะศึกษาโปรแกรมอะไรก่อนครับ
ไม่รู้จะไปปรึกษาใครแล้วนะครับ พอดีอยากจะเรียนเขียนโปรแกรม แต่เห็นมีโปรแกรมเยอะมากๆเลย ไม่รู้ว่าโปรแกรมอะไรทำหน้าที่อะไรบ้าง

พี่ๆที่พอจะช่วยผมได้ ช่วยผมทีนะครับ อยากจะศึกษา แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี

ขอบพระคุณมากครับ

ขอบคุณจากใจจริงครับ

จากคุณ : NismoO -[ 22 พ.ย. 47 – 01:25:56 ]

กระทู้จาก Pantip.com ครับ http://www.pantip.com/tech/coffee/topic/JX1662452/JX1662452.html

พอดีว่า พี่เดฟ (ithilien_rp) มาตอบให้ …. เลือกภาษาซักตัว อะไรก็ได้ แล้วก็หา compiler ของภาษานั้นๆ แล้วก็มาหัดเขียนโปรแกรมง่ายๆ พวกรับ input แสดง output คิดเลขง่ายๆ แล้วก็หัดใช้พวก loop

compiler หลายตัวก็ฟรี หลายตัวก็เป็น commercial … แต่ว่าตอนแรกอยากให้หัดกับพวก free compiler ก่อน อันนี้ก็แล้วแต่ภาษาน่ะแหละ ว่าจะหาได้ยากง่ายแค่ไหน เช่น Java กับ .NET สามารถที่จะหา compiler ฟรีได้เลยจาก Sun กับ Microsoft โดยตรง ส่วนภาษาที่มีมาตรฐานกลาง เช่นพวก C/C++ ก็ต้องหา compiler เอา จริงๆ ใช้ MinGW ก็ไม่เลวหรอก หรือว่าจะใช้ Borland C++ command line edition ก็ได้

ไม่อยากให้ไปบ้าตามกระแสบางอย่าง ที่ต้องเล่น professional tools พวก visual studio.net enterprise ตั้งแต่ยังทำอะไรไม่เป็น ….

ค่อนข้าง ok มากสำหรับคนทีี่เพิ่งจะเริ่มทำหรือศึกษาด้านการเขียนโปรแกรมครับ

อีกคำถามนึงจาก ThaiDev.com ครับ http://www.thaidev.com/board-c/view.php?1068

คำถาม … ความสามารถของ C “ตอนนี้ผมสามารถเขียน C ได้แต่ก็แค่ใช้แก้บัญหาคณิตศาสตร์เท่านั้นอยากทราบความสามารถอืนและแหล่งรวบรวมความรู้ดังกล่าว”

ตอบ …
1) ตอบแบบวิชาการหน่อยๆ ก็ programming language ไม่ว่าจะภาษาไหน .. ก็ถือว่าเป็น universal turing machine (UTM) ทั้งหมด และด้วยความเป็น UTM ทำให้มันมีความสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ที่ UTM ตัวอื่นทำได้ และสามารถ emulate การทำงานของ UTM ตัวอื่นได้หมด และเนื่องจากคอมพิวเตอร์แบบที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้มันก็เป็น UTM ดังนั้นการทำงานทุกอย่างของ computer ตลอดจนโปรแกรมทุกลักษณะ ก็สามารถใช้ภาษา C เขียนได้หมด

2) ตอบแบบสั้นๆ ง่ายๆ ก็ จะเขียนอะไรก็ได้หมดน่ะแหละ ที่คุณเคยเห็นบนคอมพิวเตอร์น่ะ (ไม่ว่าจะเป็นกราฟฟิค เสียง ฯลฯ หรือว่าระบบอะไรก็ช่าง .. เขียน OS ยังได้เลย)

ดังนั้น…… ก็แล้วแต่ว่าคุณจะออกแบบโปรแกรมถูกหรือเปล่า จะใช้ data structures กับ algorithm เหมาะสมมั้ย และจะใช้ library อะไร (หรือว่าจะเขียน library ใหม่เอง) เช่นถ้าจะเขียนโปรแกรมเกี่ยวกับทางกราฟฟิคก็อาจจะใช้ OpenGL อะไรประมาณนั้น เป็นต้น

จากคุณ rp@jp เมื่อ 11:22am (20/11/2004)

ทุกๆ คำถามมีคำตอบครับ วันนี้ผมรวบรวม คำถาม และคำตอบมาให้้อ่านกันเดี่ยวจะหายไปครับ หวังว่าคงมีประโยชน์กันนะครับ