เมื่อ Web/Windows Developer จะกระแดะไปทำ iOS App ชีวิตมันก็ไม่ง่าย

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาไปงาน Bangkok Adobe Camp ได้พบทางอีกทางที่น่าจะโอเคสำหรับคนใช้ Windows แต่อยากทำ App บน iOS แน่นอนว่ามันต้องทำด้วย HTML5 + jQuery Mobile สิ่งที่ต้องการไม่มีอะไรมากมาย ให้มันทำงานได้บนนั้นและ call พวก native api ทั่วๆ ไปได้ เช่นพวกกล้องถ่ายรูป ฯลฯ พวก sync data ต่างๆ

ซึ่งผมก็รู้จักกับ Build.PhoneGap.com มาได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ไม่ทราบว่ามัน Compile in the Cloud ได้ เพราะจำได้ตอนที่ได้ลอง PhoneGap ตอนแรกผิดหวังมารอบแล้ว เพราะว่ามันไม่สามารถ build บน Windows ให้เป็น ipa ได้ เพราะขาด SDK ของ iOS นั้นเอง

แต่เมื่อวันเสาร์พอทราบ ผมก็นั่งๆ ลองๆ หาข้อมูลต่อไป ซึ่งสุดท้ายแล้วการจะ Build ตัว iOS App บน Build.PhoneGap.com ต้องใช้ Signature Certificates ของ Apple ด้วย สุดท้ายวันอาทิตย์ตอนดึกๆ ก็เลยสมัคร Apple iOS Developer ไปซะเลย หมดไป $99 ซะอย่างงั้น (นี่มันลองของจริง เสียเงินแพงมาก!!!)

พอสมัครเสร็จรอ confirm อีเมล ตอนเช้ามาก็ได้ลองของ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ขั้นตอนการสร้าง Certificates บางตัว ต้องใช้ Keychain Access บนเครื่อง Mac …. T_T

ผมก็เลยไปยืมเครื่องพี่ที่ทำงานเค้าทำให้แทน ขั้นตอนมันก็มีประมาณนี้

  • ไป generate ตัว Certificate Signing Request จาก Keychain Access บนเครื่อง Mac ก่อน เสร็จแล้วไป submit ในเว็บ Apple ที่ iOS Provisioning Portal เมนู Certificates
  • รอสักพักจะได้ developer_identity.cer ออกมา แล้วให้ import cert ตอนนี้เข้าเข้า Keychain Access แล้ว Export เป็น Certificates .P12
  • เสร็จแล้วกลับไปที่ เว็บ Apple ที่ iOS Provisioning Portal ก่อนหน้านี้
  • สร้าง Profile ของ Devices
  • สร้าง App ID จาก App IDs
  • สุดท้ายสร้าง Provisioning Profiles เพื่อให้ได้ mobileprovision ออกมา
  • แล้วเอาทั้ง Certificates .P12 และ mobileprovision จากเว็บ Apple ที่ iOS Provisioning Portal มา submit ที่ Build.Phonegap.com

พอได้ Certificates .P12 และ mobileprovision แล้วอะไรก็ไม่ยากแล้วครับ ^^/

เดี่ยวขอเวลาไปลองเล่นสักแป็บ ^^

Review – Targus Wireless Mouse Blue Trace (AMW50AP)

ผมได้เมาส์ตัวนี้มาใช้งานสัก 3 วันเห็นจะได้ ส่วนตัวแล้วนั้นใช้ Microsoft Wireless Mouse 2000 (Blue Track) อยู่ก่อนแล้ว จึงคุ้นชินกับ Blue LED Tracking เป็นอย่างดี ประกอบกับจากประสบการณ์ใช้ Optical Mouse มาตั้งแต่ยุดแรกๆ ตั้งแต่ Red LED ความละเอียดเพียง 400dpi จนมาถึง 800dpi ตอน Microsoft Notebook Wireless Mouse ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับจอภาพขนาด 1024×768 pixel ในสมัยก่อน สัก 7-8 ปีที่แล้ว จนมาถึง Laser Tracking เมื่อสัก 4 ปีก่อน ตอนสมัย Microsoft Arc Mouse และสักเกือบๆ 1 ปีสำหรับ Blue Tracking

P1000358 IMAG0754

DSC_5453 

จาก Red LED Tracking ในสมัยก่อนนั้น จะเน้นเรื่องความแม่นยำบนพื้นฐานเดิมๆ จาก Ball Tracking มากกว่าการทำงานบนพื้นผิวที่มีสภาพแย่ๆ หรือไม่ใช้แผ่นรองเมาส์ แม้ว่าจะมีการพูดถึงว่ามันทำงานได้เกือบทุกสภาพพื้นผิว แต่พออยู่บนพื้นผิวมันๆ ก็ทำงานได้แย่เอามากๆ เพราะมันจับพื้นผิวว่าทำงานบนตำแหน่งใดๆ ไม่ได้เลย เพราะแสงมันกระเจิงหลุดออกจาก sensor ไม่เป็นระเบียบ

ประกอบกับด้วย Red LED Tracking นั้นประสิทธิภาพนั้นจำกัดอยู่ที่ 3,000 dpi แต่ความต้องการของมนุษย์นั้นไม่เคยพอ จึงได้พัฒนามาเป็น Laser Tracking ใช้การยิงแสง Laser แทนแสง Red LED และอาศัยการสะท้อนของพื้นผิวให้วิ่งเข้า CMOS Sensor ทำให้เราได้ Mouse ที่ละเอียดขึ้นถึง 6,000dpi แต่ข้อเสียก็คือต้องอาศัยการสะท้อนแสงที่ต่อเนื่องตลอดเวลา ทำให้ยังคงมีปัญหากับพื้นผิวที่แย่ๆ และสกปรก เพราะแสง Laser มันสะท้อนกลับมาได้ไม่หมดและไม่ต่อเนื่อง ทำให้ความสามารถในการทำงานลดลง แม้จะทำงานได้บนพื้นผิวต่างๆ นอกจากแผ่นรองเมาส์ได้ดีขึ้นมากก็ตาม

จึงความคิดในการขจัดความไม่ต่อเนื่องของการรับภาพที่ได้จากแสง Laser ออกไปด้วยการแก้ปัญหาจากการใส่แสงต่อเนื่องลงไปเพื่อให้เกิดการสะท้อนภาพกลับมาแทนเพื่อชดเชยความไม่ต่อเนื่องของ Laser แต่ด้วยข้อจำกัดในการทำงานที่ละเอียดของ  Red LED ทำให้มีความคิดที่จะใช้แสงที่มีความเสถียรในการจับภาพที่ดีกว่าเข้ามา จึงเอาแนวคิดทั้งสองอย่างมาทำงานร่วมกัน คือนำเอา Blue LED (LED สีน้ำเงิน) ทำงานร่วมกับ Laser Tracking (Diffuse Beam) บน Specular Optics ที่จะยิงแสงทั้งสองรูปแบบสะท้อนพื้นผิวเพื่อให้ CMOS sensor รับภาพด้วยแสงสีน้ำเงินที่สะท้อนพื้นผิวได้ดีกว่า ทำงานร่วมกับแสง Laser เป็นแบบไม่ต่อเนื่องมาผสม ทำให้ทำงานได้บนพื้นผิวที่สกปรกและที่มีแสงสะท้อนได้ดีมากขึ้น

image

รูปจาก What you need to know about Microsoft’s BlueTrack mouse

image

รูปภาพจาก Microsoft BLUETRACK Mouse: Microsoft Explorer Mouse and Mini Mouse

จากการแก้ไขปัญหาต่างๆ ทำให้เราได้ Mouse ที่มีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นมากๆ ทำงานได้แม่นยำมากขึ้นทีเดียว บนพื้นผิวที่หลากหลายเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นวันนี้เลยเอา Targus Wireless Mouse Blue Trace มาใช้งานและนำมาแนะนำว่าดีและทำงานได้เท่ากับต้นตำหรับอย่าง Microsoft หรือไม่

DSC_5461

ตัวเมาส์ออกแบบเป็น Dualpurpose และ Ergonomic Design เท่าที่ลองจับจะดูแบนๆ หน่อย ไม่สูงมากนั้น ทำให้เหมาะกับใช้ทำงานบนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไป หรือพกพาทำงานนอกสถานที่ได้สบายๆ ด้วยคุณลักษณะที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไป เหมาะมือพอดีๆ เนี่ยแหละ

ในส่วนของการคลิ๊กปุ่มนั้น ต้องบอกว่าต้องปรับตัวสักหน่อย เพราะต้องใช้แรงกดมาสักนิด อาจจะเพราะการออกแบบที่ให้ฝาหลังของเมาส์นั้นถอดเปลี่ยนได้เลยทำให้กดได้ไม่หนักแน่นเพียงพอก็ได้

โดยเจ้าตัว USB Wireless Micro receiver นั้นมีขนาดเล็กดีมาก ทำงานบนคลื่นความถี่ RF 2.4GHZ รองรับการทำงานได้ไกลถึง 33 ฟุต จากการออกแบบแบบนี้ผมบอกเลยว่าชอบมากๆ มีขนาดเล็กไม่รำคาญเวลาใช้งานกับ Notebook

DSC_5460 DSC_5459

ตัวแบตเตอร์รี่ใช้ AA จำนวน 2 ก้อนด้วยกัน มีสลักยึดไว้ให้มั่นคงไม่หลุดออกมาได้ง่ายๆ โดยที่เจ้าตัว Mouse ตัวนี้ไม่กินไฟจากแบตเตอร์รี่มากนักครับ ในเสปคเขียนไว้ 12 เดือน แต่ก็ต้องรอดูว่าจะอยู่ได้ถึงเท่าไหร่ หลายๆ คนอาจจะบอกว่าใช้ AA ทำให้เมาส์หนักขึ้น ซึ่งผมก็มองว่าจริง แต่ถ้าชินกับเมาส์รุ่นก่อนๆ ที่ใช้แบบเดียวกันแล้วจะเฉยๆ มากกับน้ำหนักประมาณนี้

DSC_5463

ที่ด้านล่างนั้นมีตัว Sensor ที่เป็น Blue Trace ครับ จะไว้อยู่ด้านขวาของตัวเมาส์ จากการใช้งานแล้วนั้นเทียบกับ Microsoft นั้น ต้องบอกว่ามันเร็วกว่าครับ ด้วย Setting Profile ใน Control Panel เดียวกัน บนเครื่องเดียวกัน ในระยะทางในการลากเมาส์เท่าๆ กัน Targus ให้ระยะที่เยอะกว่า ซึ่งผมใช้เวลาปรับตัวอยู่หลายวันกว่าจะชิน เพราะมันเร็วเกินไป เหมือนมาขับรถที่มีแรงม้าเยอะๆ มันจะเร่งๆ ให้เราออกตัวไปเร็วๆ แทนที่จะออกตัวช้าๆ แบบเมาส์ตัวเก่าครับ ส่วนตัว Microsoft นั้นให้ความนุ่มนวลในการลากมากกว่าครับ อาจจะเพราะขนาดของเมาส์นั้นใหญ่กว่า ฐานของเมาส์กว้างกว่าของ Targus เลยทำให้มันนุ่มนวลกว่าในการลาดไปบนพื้นผิวต่างๆ ส่วน Targus นั้นดูกระชากกระด่างกว่าครับ แต่ที่แน่ๆ ความแม่นยำนั้นไม่ต่างกัน คือบทจะลากให้ไปก็คือไปเลย ไม่มีอาการกระตุก หรือลักเลจะไปดีไม่ไปดีครับ ตรงนี้ต้องแยกให้ออกระหว่างความแม่นยำกับความนุ่มนวลในการลาก ความหมายไม่เหมือนกันนะครับ

ที่ด้านล่างถัดจาก Sensor ก็จะมีที่เสียบแบบแม่เหล็กสำหรับดูดเจ้าตัว USB Wireless Micro receiver ไว้กับตัว Mouse ซึ่งจากที่ได้ใช้งานและเคลื่อนย้ายก็ไม่เกิดอาการหลุดหรือทำตกหล่นแต่อย่างใดครับ

ส่วนตัวแล้วใช้งานพึงพอใจพอสมควรในเรื่องความเล็กและการเก็บตัว receiver ที่พกกาง่าย ได้ความแม่นยำที่คุ้นเคยในราคาที่ไม่แพงมากนัก เหมาะสำหรับคนที่ต้องการทำงานนอกสถานที่และพกพาไปกับ Notebook มากๆ ครับ

สำหรับราคา Targus Wireless Mouse Blue Trace (AMW50AP) นั้นขายอยู่ที่ 810 บาท (ราคา ณ.วันที่ 25 มกราคม 2555)
จัดจำหน่ายโดย SiS Distribution มีขายตามร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั่วไปครับ

ลุ้นระทึกกับการซื้อบัตร Girls’ Generation Concert Live in Bangkok

ผมนัดกับ @plynoi และ @imfai ว่าเราจะไปต่อแถวจองตั๋วกันที่แถวๆ ย่านพระราม 9 เพราะเป็นแหล่งของ True Shop ที่เยอะ ใกล้ True สำนักงานใหญ่ เซ็นทรัลแกรนด์พระราม 9 ก็เดินทางง่าย คนเยอะก็มาต่อที่ Fortune ที่มี 2 สาขาอีกเช่นกัน เพราะงั้นตัวเลือกเยอะ การกระจายตัวของแถวย่อมเยอะ

ผมตื่นแต่เช้า เมื่อถึง MRT พระราม 9 ผมเจอกลุ่มคนต่อแถวที่ทางเข้าเซ็นทรัลแกรนด์พระราม 9 อยู่ตรงประตูเหล็กที่ปิดอยู่ของทางเชื่อมเซ็นทรัล-MRT เห็นจำนวณคนขนาดนี้ ผมเลยขึ้นไปที่ Frotune แทน โดยผมไปถึง Fortune เวลาประมาณ 9:30 น. เดินผ่าน Shop ชั้น 1 ไปเห็นคนต่อแถวอยู่พอสมควร ก็เลยพุ่งตัวสู่ชั้น 3 ทันทีเพื่อต่อแถวด้านบนแทน เพื่อหวังว่าคนจะน้อยกว่า แต่ก็ไม่ได้น้อยกว่ากัน ออกแนวกระจายตัวกันมากกว่า

IMG-20120114-00517

ปกติเนี่ยจองบัตรคอนเสิร์ตศิลปินต่างประเทศที่มาเล่นในไทย ไม่หมดไวอยู่แล้ว คือการจองผ่าน Shop หรือเว็บเนี่ยถ้าไปลำดับหลักสิบ (ผมได้ 31 ของ True Shop สามารถ Fortune ชั้น 3) ยังไงก็ต้องได้ อย่างน้อยๆ ก็ได้ที่ราคาถูกสุดแหละ

IMG-20120114-00518

ก็ได้เวลาลุ้นกัน ….

11:00 พนักงาน True Shop ขานให้คิวที่ 1-5 เข้าไปซื้อ

11:03 ผมเช็ค twitter สิ่งที่เกิดขึ้นคือบัตร 5,000 และ 4,500 หมดแล้ว!!!!

11:05 มีการยืนยันออกมาตลอดว่า 5,000 และ 4,500 หมดแล้ว!!!! และบัตรที่นั่งอื่นๆ เริ่มหมด พนักงาน True Shop ขานให้คิวที่ 6-10 เข้าไปซื้อ

11:15 ยังมีกระแสใน twitter แจ้งว่า 3,000 เหลือหลักร้อยและ 4,000 (บัตรยืน) ก็เหลือไม่ต่างกัน!!! พนักงาน True Shop ขานให้คิวที่ 11-15 เข้าไปซื้อ

11:20 กระแสข่าวบอกใน twitter อย่างไม่ยืนยันว่าบัตรหมดทุกที่นั่ง!!!! พนักงาน True Shop ขานให้คิวที่ 16-20 เข้าไปซื้อ

11:25 ทางพนักงาน True Shop เดินออกมาแจ้งว่าบัตรทั้งหมดได้ถูกซื้อไปหมดแล้ว ขอให้รอบัตรหลุดการจองผ่านหน้าเว็บในอีก 1 ชั่วโมง!!!

หมดหวัง!!! มีคนได้บัตรไปก่อนในกลุ่มเราคือ @imfai ส่วนผมและ @plynoi หมดหวังไปแล้วในตอนนั้น ….

เราก็ยืนๆ เบลอๆ อยู่หน้า Shop กันสักพักใหญ่ๆ จนเลยเที่ยงสักนิดก็ไม่มีวี้แววว่าจะได้บัตรหรือมีการขานเข้าไปซื้อบัตรหรือรายละเอียดอะไรจากใน Shop

ระหว่างนั้นความหมดหวังก็ได้ความหวังเมื่อใน twitter เริ่มมีการขายบัตรส่วนที่จองเกินจากแผน A, B, C ของเหล่าสาวกทั้งหลายที่ต้องการบัตร แต่เน้นกองทัพมดออกมา ระหว่างนั้นทาง @plynoi ก็ได้ข้อมูลจาก @PattaramonK หรือน้องนกว่าเค้ามีบัตรที่ซื้อเกินอยู่ 2 ใบ เป็นบัตรราคา 4,000 บาทอยู่โซน BA สนใจไหม แน่นอนว่าวินาทีนั้นผมพูดออกไปแบบไม่คิดว่า “เอา” โดยทันที แน่นอนว่า @plynoi คงไม่มีทางเลือกและผมก็ไม่อยากมานั่งลุ้นอีกต่อไป เราตกลงขอรหัสยืนยันและรหัสบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อทำเรื่องจ่ายเงินที่ Shop ทันที ทุกอย่างจบลง เราได้ใบเสร็จรับเงินพร้อมชำระเงินว่าเราได้บัตรแล้วแน่นอน …

เราถือใบเสร็จออกมาแบบเหมือนฝัน ออกแนวลงไปในเหวแล้ว แต่ตะกายกันขึ้นมาได้ ….

Huai Khwang-20120114-00519

สุดท้าย…. มันเป็นการจองบัตรคอนเสิร์ตที่น่าสะพรึงที่สุด ลุ้นทุกวินาที มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้ ต้องอาศัยความอึด ดวง และเครือข่ายคนรู้จัก…

นี่ตูจะได้ยิน "Bangkok, Put it back on" แล้วใช่ไหมมมม (><)/

SNSD Japan First Tour Girls Generation BluRay Full HD1080p[14-58-03]

เปิดเว็บเกี่ยวกับการถ่ายรูป 2 เว็บในรอบ 3 วัน

เป็นการคิดแบบบ้าดีเดือดมากๆ หลังจากโดนยุจากการเปิด ThaiThinkPad.com เมื่อหลายปีก่อน โดนยุอยู่พอสมควร ก็เลยได้เปิด ประกอบกับมีประสบการณ์ในการดูแลชุมชนขนาดใหญ่อย่าง ThaiHi5.com เป็นทุนเดิมอยู่ เลยไม่ยากที่จะเริ่ม การเริ่มเป็นเว็บแรกๆ ในตลาดที่ไม่มีใครสนใจนั้นไม่ยาก อาศัยความต่อเนื่องเป็นหลัก (แต่ ThaiHi5 ตอนนี้ก็ไม่มีคนเข้าเท่าไหร่แล้ว)

มาช่วงอาทิตย์นี้ โดนยุอีกว่าไม่ลองเปิดเว็บแนวถ่ายรูปดูบ้างหล่ะ ก็เลย เออ น่าสนใจดีนะ แต่ …. กลายเปิดเว็บถ่ายรูปมันไม่ง่ายแบบเมื่อก่อนแล้ว เพราะเว็บแนวๆ ที่ ThaiThinkPad.com ทำและจะนำมาปรับใช้กับเว็บถ่ายรูปนั้น “ไม่ง่าย” และไม่ใช่เราเป็นคนเก่งและมีประสบการณ์ด้านนี้มากเท่ากับ ThinkPad แบบเดียวกับ  ThaiThinkPad.com เพราะฉะนั้นการเปิดเป็น Forum แบบเดิมๆ จะไม่เติบโต เพราะการเปิดแนว Forum นั้นต้องมีกลุ่มคนมากพอที่จะขับเคลื่อนได้ เพราะฉะนั้นต้องเปลี่ยนแนวออกไป

เว็บ http://www.nixpx.com จึงแตกต่างจากที่เคยทำมาเพราะตลาด Forum เริ่มอยู่ตัว คนถ่ายรูปไม่ได้ต้องการที่แสดงผลงานที่มากกว่าที่ตัวเองต้องการ แต่สิ่งที่ขาดคือเว็บที่นำเสนอความรู้และข่าวสารมากกว่า เพราะในไทยยังไม่มีเว็บแนวนี้เท่าไหร่นัก จึงเป็นจุดที่น่าสนใจลงมาทำ ซึ่งการอ่าน “NIXPX” ให้อ่านว่า NICEPIX หรือ ไนส์พิก

ที่มาของ X ตัวอักษรลำดับที่ 3 เป็นการนำมารวมกันของ C (Create) + E (Emotion) = X (สร้างสรรค์งานบนความรู้สึก)

การตัด I ออกไปเพื่อบ่งบอกว่าเราจะไม่ยึดมั่นในแนวคิดของเราแต่เพียงคนเดียว

NIXPX เป็นเว็บที่รวบรวมเรื่องราวของการถ่ายรูปที่ทุกคนสามารถสนุกไปกับมัน เพื่อสร้างสรรค์ภาพที่สวยงามและน่าดึงดูดใจ และยังนำเสนอข้อมูล-ข่าวสารในวงการถ่ายภาพต่างๆ ที่รวดเร็วและเข้าใจง่ายที่สุด

ช่างเป็นอะไรที่ลึกลับดีกับที่มาของชื่อแฮะ ….

ที่มาของชื่อใช้เวลาคิดสักพัก กับการนั่งเคาะๆ whois บน commandline เสร็จแล้วก็จดเลยในคืนวันที่ 10 มกราคม 2555 แล้วก็ setup WordPress ตัวใหม่และลง plugins ที่จำเป็นแล้วนั่งหา themes ที่คิดว่า ok มาใช้ ปรับอยู่สัก 1-2 ชั่วโมงก็พร้อมใช้งาน

ช่วงแรกตอนนี้เอาเนื้อหาที่เคยเขียนใน blog เก่าๆ มาโพสใส่ลงไปเพื่อเพิ่มเนื้อหาให้ไม่ดูโล่งไป ตอนนี้อยู่ในช่วงหาแหล่งข่าวต่างๆ และในช่วงอาทิตย์ต่อไปคงได้ลุยเนื้อหาเต็มที่

ต่อมาคือ IARTWRK by Ford AntiTrust เข้าได้ที่ http://www.iartwrk.com ได้แนวคิดจาก thesartorialist.com (แต่ความเทพของอารมณ์ยังไม่เท่า นี่เราคิดเทียบกับระดับโลก ช่างกล้า ><“) ในเวลา setup ประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพราะชื่อเว็บมีอยู่แล้ว จดมานานมาก แต่ไม่ได้ใช้เลย แล้วไม่รู้จะเอาไปใช้ทำอะไรจริงๆ ในตอนแรก แต่พอคิดว่าจะทำชื่อนี้ก็โผล่มาในหัว เพราะสื่อกับสิ่งที่ตัวเองต้องการนำเสนอมากๆ

IARTWRK อ่านเป็น I + ART + WORK ตอนแรกนั้นเว็บนี้กะใช้เป็นที่รวม Music Artwork ของตัวเพลงต่างๆ ที่ใส่ลงในเพลงที่อัพเข้า iPod จึงมีเหตุที่มันมีตัว I อยู่ด้านหน้า แต่สุดท้ายก็ไม่มีเวลาทำ มารอบนี้เลยเปลี่ยนและปรับแนวใหม่ เป็น Individual Artwork แทน จริงๆ ไม่ได้ซีเรียสกับชื่อเท่าไหร่แฮะ เพราะความหมายตรงๆ ของ Artwork มันก็ไม่ใช่แค่เรื่องรูปภาพอย่างเดียว มันเป็นเรื่องของ printed publication เลยนั่งคิดๆ ต่อว่าควรจะมีความหมายอะไรยังไงดี สุดท้ายก็ได้เป็น Individual Art without Work แทน ออกแนวหาที่ลงมากกว่า ฮา …. แต่เอาเหอะ คิดมากไปเรื่องชื่อ ไม่ได้เริ่มกันพอดี

โดยเว็บ IARTWRK นั้นไม่เชิงว่าเอาแนวคิดแนวการถ่ายรูปมาจาก  thesartorialist.com เท่าไหร่นัก แต่ออกแนวโพสรูปที่ตัวเองชอบจากใน Gallery ของตัวเอง มาโพสเรื่อยๆ ไม่เป็นเซ็ตหรืออัลบั้ม แต่เป็นแนว Photo Stream มากกว่า คล้ายๆ กับ Flickr ที่ตัวเองใช้อยู่ แต่อันนี้คัดมาวันละ 3-5 รูปต่อวัน ออกแนวเน้นคุณภาพ (ที่ตัวเองคิดว่าโอเค)

ก็ลองดูสักตั้งนึง….

Nikon Sales Thailand เปิดตัว Nikon D4 และเลนส์รุ่นใหม่ในประเทศไทย

ในวันที่ 6 ม.ค. 2555 Nikon Sales Thailand เปิดตัวกล้องและเลนส์รุ่นใหม่พร้อมกับ Nikon สาขาอื่นทั่วโลก แน่นอนว่าเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้เปิดตัวกล้องรุ่นโปรพร้อมกับประเทศ อื่นๆ อีกด้วย

คุณสมบัติของกล้อง Nikon D4 คือ

  • CMOS image sensor 16.2 megapixel format FX (24x36mm Full-Frame)
  • ความเร็วในการถ่ายรูปต่อเนื่องที่ full-resolution (16.2 megapixel) ที่ 10 frame per second (fps) เมื่อเปิด AE/AF และไม่เปิด AE/AF ที่ 11 frame per second (fps)
  • Startup time 0.12 seconds และ Shutter Lag 0.042 seconds
  • ปรับปรุงการถ่ายรูปในที่แสงน้อยโดยตั้งแต่ ISO 100 ถึง 12,800 และลดและเร่งได้ตั้งแต่ ISO 50 ถึง 204,800 ทั้งในโหมดถ่ายภาพปรกติและวิดีโอ
  • Image Processor EXPEED3 รุ่นใหม่
  • ปรับปรุงระบบวัดแสงจาก D3 เป็นรุ่นที่ 3 (Third generation color matrix metering system) ที่ 91,000 pixel RGB metering sensor และ 3D Color Matrix III เน้นความสว่างที่ใบหน้าของคน
  • Advanced Multi-CAM 3500FX ระบบโฟกัสปรกติทัั้งหมด 51 จุด และระบบโฟกัสแบบ cross-type ทั้งหมด 15 จุด ที่ f/5.6 หรือกว้างกว่า และระบบโฟกัสสามารถโฟกัสได้ช่วงสว่างน้อยลงไปได้อีก 2 stop จากความสว่างปรกติ
  • มีระบบ Focus Point Switching ระหว่าง Portrait/Landscape
  • เพิ่มปุ่มย้าย Focus อีกปุ่มเพื่อความสะดวกตอนใช้ถ่ายแนวตั้ง
  • Viewfinder แบบ Full Pentaprism 100%
  • บันทึกวิดีโอแบบ Full HD 1080p ได้ที่ 30 และ 24 fps และ HD 720p ที่ 60 fps ในโหมด slow-motion โดยรอบรับการบันทึกแบบบีบอัดด้วย H.264 B frame compression ด้วย ถ่ายได้สูงสุด 29 นาที 59 วินาทีต่อคลิป
  • ระบบบันทึกวิดีโอมี Auto Flicker Reduction (50/60Hz)
  • ระบบวิดีโอสามารถเลือก FX (x1), DX (x1.5) และ CX (x2.7) Format บนวิดีโอแบบ Full HD โดยไม่ลดคุณภาพใดๆ
  • สนับสนุน WTSA wireless control บน Nikon WT-5 wireless tramsmitter และมี Ethernet port
  • HDMI ouput สำหรับบันทึกวิดีโอแบบไม่บีบอัดบน Apple ProRess 422 Series
  • มี Function ทำงานผ่าน HTTP Mode ในการควบคุมและเข้าถึงไฟล์ต่างๆ ในกล้องได้ทันที
  • เพิ่มระบบ face detection/recognition เพื่อสะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น
  • ตัวกล้องนั้นเป็นกล้องตัวแรกที่สนับสนุน XQD Compact Flash memory card (125MB/s) และ CF UDMA7 (100MB/s)
  • Thermal Shield พื้นผิวตัวกล้องเพื่อป้องกันความร้อนจากภายนอกเข้าภายในกล้องได้ดีมากขึ้น
  • ตัว Shutter นั้นออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยทดสอบแล้วทำงานได้ถึง 400,000 ครั้ง
  • เพื่อขนาดจอ LCD ด้านหลังเป็น 3.2" 921,000 pixel Gapless และมีเซ็นเซอร์ปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติ
  • น้ำหนัก 1.180kg (ไม่รวมแบตฯ)

ราคาขายอยู่ที่ 200,000 บาท (ถามตอน Q/A ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต)

ปิดท้ายด้วย เปิดตัว AF-S Nikkor 85mm f/1.8G เลนส์รุ่นใหม่ในงานนี้ด้วยราคาประมาณ 16,000-17,000 บาท (ถามตอน Q/A ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต)

ราคาทั้งสองตัวยังไม่มีออกมาอย่างเป็นทางการ

Read more