จาก “ซอฟต์แวร์ผิดกฏหมาย” สู่ “แอพตู้” ต้องดราม่าก่อนถึงเปลี่ยนแปลง

จากกระแส ว่าด้วยการซื้อซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์อย่าง Microsoft Office 2007 และตามด้วย ซอพต์แวร์ผิดกฏหมาย (เพราะอย่างนี้ไง ไทยเลยไม่เจริญ) ที่ blognone.com จนเป็นที่มาของ สิ่งที่ห้ามพูดในสังคมคน IT ของไทยตอนนี้ ? มาในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ได้มาถึง [ดราม่า] รู้จักกับ Activation Lock ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 7 หายนะสำหรับผู้ลงแอพร้านตู้ จนเป็นที่มาของ [Ask Blognone] อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้คนลง “แอพตู้”? ที่ blognone.com

ส่วนตัวแล้วนั้น ตัวเรื่อง “แอพตู้” คงต้องให้เวลาสักพักคงดีขึ้น คนใช้งานคงเริ่มตระหนักกันเพิ่มมากขึ้น แบบเดียวกับ “ซอพต์แวร์ผิดกฏหมาย” ในโลก PC ที่เป็นกระแสเมื่อหลายปีก่อนจนตอนนี้กลายเป็นเรื่องปรกติไปแล้วในสังคมบางส่วน ที่มองว่าซอฟต์แวร์ที่ต้องจ่ายเงินซื้อ เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จำเป็นในการคิดเป็นต้นทุนในการทำงาน หรือถ้าต้องการลดต้นทุนก็เลือกซอฟต์แวรทางเลือกใช้งานแทน เพื่อไม่ให้ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์มากขึ้น ทำให้ทิศทางต่องานประเภทนี้ดีขึ้นบางส่วน อีกทั้งการหาซอฟต์แวร์ที่เป็นแบบกล่องก็หาได้ง่ายขึ้น มีขายตามหนังสือ-ร้านคอมพิวเตอร์ชั้นนำ ที่ขายหลากหลายประเภทมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังมีงานเปิดตัวในไทยแบบเดียวกับทั่วโลก มีประกาศตามสื่อต่างๆ มองว่าเป็นเป็นทิศทางที่ดีต่อสังคม ไม่ต้องโดนคำถามว่า “ก็ไม่รู้จะซื้อที่ไหน” ให้นั่งปวดหัวแบบเดิมๆ ส่วนการซื้อแบบดาวน์โหลดก็เป็นทิศทางที่ดีขึ้นและเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะซื้อง่าย โหลดใช้สะดวก ราคาถูกกว่าแบบกล่อง โดยมีทั้งแบบเช่าใช้ และแบบ Download version แล้วส่ง CD/DVD ตามหลังมา (จ่ายเงินเพิ่ม) ก็สุดแล้วแต่กำลังทรัพย์และความคุ้มค่าที่แต่ละคนเข้าใจ

สำหรับดราม่า “แอพตู้” จะได้รับการเผยแพร่ และช่วยสร้างมาตรฐานต่อไปในอนาคตในเรื่องของการเปิด Account/ID ที่ผูกติดกับตัวเครื่องที่มีทิศทางที่ดีมากขึ้น ร้านค้าต่างๆ ที่ขายเครื่องที่ต้องเปิด Account/ID เหล่านั้น (ทุกค่าย ทุกยี่ห้อ ที่ใช้หลักการนี้) จะถูกสังคมและบริษัทที่ดูแลเครื่องนั้นๆ สั่งให้ใส่ใจต่อเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น โดยมิใช่แค่มุ่งเน้นเพียงช่วยให้ซื้อและอัพเดทแอพได้สะดวกเท่านั้น แต่ยังช่วยในการสือค้นเครื่องเมื่อหาย ช่วยสำรองข้อมูลเมื่อเครื่องมีปัญหา หรือแม้แต่ช่วยให้การย้ายเครื่องไปใช้เครื่องใหม่ได้อย่างง่ายดายมากขึ้น

เมื่อดราม่าเกิดแล้ว ถ้าปล่อยเลยไปก็คงน่าเสียดาย ส่วนตัวควรใช้เหตุการณ์นี้ให้เป็นโอกาส โดยการออกเอกสารแนะนำการสมัครใช้งานอย่างถูกต้องที่อธิบายแบบง่ายๆ รวมถึงอบรมพนักงานและออกระเบียบในการช่วยลูกค้าสมัคร Account/ID เหล่านั้น เพื่อความต่อเนื่อง ทั้งยังใช้กระแสเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งแน่นอนว่าต้องช่วยลูกค้าที่ไม่เป็น หรือไม่เข้าใจในการสมัครใช้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งจะเป็นมาตรฐานของการซื้อสินค้าแนวนี้ต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน (ใครโดนคิดเงินเพิ่มก็คงมีการฟ้องต่อโลก social network เป็นดราม่ากันต่อไปแน่นอน) ซึ่งข้อดีอีกอย่างของเรื่องนีต่อตัวร้านค้าคือการที่ลูกค้ามี Account/ID ที่ถูกต้องจะช่วยให้ได้รับการสนับสนุนด้านการสำรองข้อมูลกับระบบ Cloud ที่มือถือที่ผูกติดกับ Account/ID ในปัจจุบันนั้น มีความสามารถในการสำรองข้อมูลสำคัญเหล่านี้ไว้พร้อมแล้ว ซึ่งช่วยให้ร้านค้าและผู้ให้บริการไม่ต้องกังวลต่อข้อมูลสำคัญส่วนใหญ่ที่จะเสียหายเมื่อเข้ารับบริการกับตนอีกด้วย โดยข้อมูลส่วนใหญ่ที่มักจะได้รับการสำรองข้อมูลบน Cloud นั้นได้แก่ Contact, Calendar, Message, App และค่า Settings ต่างๆ ซึ่งบางรุ่นหรือการตั้งค่าเพิ่มเติมสามารถสำรองข้อมูลพวกรูปภาพ ฯลฯ ได้อีกด้วย

ก็หวังว่า “แอพมือถือ” และกระแส “เปิดใช้งาน Account/ID อย่างถูกต้อง” จะมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากกระแสดราม่าดังกล่าวเช่นเดียวกับกระแสดราม่า “ซอพต์แวร์ผิดกฏหมาย” เมื่อหลายปีก่อนเช่นกัน ;)

ทำเว็บบอร์ดมันไม่ยากหรอก มันยากที่มีคนเข้าหรือเปล่า?

จากกระทู้ เขียน Website แบบ pantip กี่บาทครับ ผมก็เลยเอามาตอบในนี้สักหน่อย คิดว่าน่าจะดีไว้เป็นชุดคำถามที่เอาไว้ตอบคำตอบคนที่อยากทำสักเล็กน้อยครับ

ทำเว็บบอร์ดมันไม่ยากหรอกครับ เอาของสำเร็จรูปมาลงก็ได้
1. จดโดเมน
2. หา hosting
3. ติดตั้งระบบสำเร็จรูป

ทำแค่ 3-4 ชั่วโมงก็เสร็จแล้ว ซึ่งที่ผมพูดได้เพราะผมทำมาแล้ว ประสบการณ์ตรง แต่ปัญหาคือ “ทำอย่างไงให้คนเข้าแบบ pantip.com” เพราะ “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระบบ” แต่อยู่ที่ว่า “คนจะเข้าเว็บบอร์ดคุณทำไม” มากกว่า ถ้าตอบโจทย์คนได้ แล้วค่อยมาคิดว่าจะขยายระบบยังไงตอนเว็บบอร์ดคุณดังจน hosting โหลดหนักๆ มากๆ แล้วเจ้าของเค้าไล่ออกนั้นแหละค่อยว่ากันเรื่องขยายระบบ (ผมคิดว่าพอคนเริ่มเข้าเยอะ คงค่อยๆ คิดก็ได้ กว่าจะถึงขั้นนั้นน่าจะหลายเดือนอยู่)

จากประสบการณ์โดยตรง thaihi5.com เคยมียอดคนใช้วันละ 50,000 UIP ช่วงดังสุดๆ ยอดวิวกว่า 400,000 วิวต่อวัน ทำงานบนระบบเว็บบอร์ด SMF บน Server เพียงตัวเดียว (Server ใส้ในน่าจะ Dual Xeon, RAM 16GB, HDD RAID 0 มั้ง เพราะเช่าเค้าอยู่) ก็ทำงานได้ราบรื่นดี แต่ผมก็ต้องมานั่ง tuning ตัว SMF ต่างๆ เพิ่มเติมเล็กน้อยเพื่อให้มันโหลดเครื่องน้อยลงด้วย และค่าเช่าต่อเดือนก็เลือดสาดพอสมควรเช่นกัน สุดท้ายก็อยู่แค่นั้น เพราะกระแส hi5 ในไทยลง จนตอนนี้ย้ายกลับมาใช้ระบบ shared hosting ที่ไม่ได้ราคาโหดแบบเดิม (ก็ของตัวเองเนี่ยแหละ ฮ่าๆๆๆ) แต่ถ้ากระแสยังอยู่คงต้องย้ายมาทำพวก cluster ต่อ Server หลายๆ ตัว ขยายกันไปเรื่อยๆ แต่รายได้ก็ได้ตามคนเข้า ไม่ได้ไส้แห้งแต่อย่างใด (คนเข้าเยอะ เดี่ยวโฆษณาก็ขอลงกันเองแหละครับ เชื่อผม) หรืออย่าง thaithinkpad.com กว่าจะมีคนเข้าเรื่อยๆ แบบที่ผมไม่ต้องไปนั่งโพสเนื้อหาเองในตอนนี้ ผมต้องลงแรงกับมัน เพื่อสร้างเนื้อหา สร้างสิ่งที่คนต้องการในตัวเว็บบอร์ดให้ได้มากพอที่คนจะเข้ามาอ่าน ถ้าไม่อย่างนั้นก็ร้างครับ (ตอนนี้ก็เริ่มๆ ร้างแหละ เพราะไม่ค่อยมีอะไรใหม่)

สิ่งที่บอกด้านบนทั้งหมดคืออยากจะบอกว่า ระบบน่ะมันขยายได้ หามาใส่ได้ เขียนเพิ่มและพัฒนาได้ มีโฆษณามาลงและเอาเงินมาทุ่มกับมัน ทุกอย่างจบ แต่เนื้อหาต้องใช้เวลาและความทุ่มเท มีเนื้อหาที่แปลกใหม่ เข้าถึงง่าย เว็บอื่นๆ ไม่มี เราเป็นที่แรก ทุกคนนึกถึง เพราะคนเข้ามันซื้อมันสร้างกันไม่ได้หรอก กว่าจะได้กว่าจะเข้ามา มันต้องใช้เวลาและการสั่งสมครับ

ส่วนใครอยากรู้ว่าทำเว็บเค้าคิดราคา และวิธีคิดตอนรับงานเว็บมีแนวคิดที่ต้องเตรียมพร้อมก่อนทำยังไงกันบ้าง ลองดูครับ ไม่รู้จะอธิบายยังไง? “สิ่งที่ควรจะมีในใบเสนอราคาตอนรับทำเว็บ”

คิดยังไงกับงานออกแบบ iOS 7?

โดนถามว่า “คิดยังไงกับงานออกแบบ iOS 7?”

ผมขอพูดโดยใช้ความรู้สึกเป็นที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของคนที่ใช้งานที่ออกแบบมาแนวๆ นี้และไปให้คำแนะนำด้านนี้ในการออกแบบเว็บกับลูกค้าหลายๆ คนอยู่บ้าง แน่นอนว่าผมใช้งานแนวการออกแบบแนวนี้มาก่อนอย่าง Windows phone (Microsoft design language) และ Android (Halo) อยู่แล้ว ซึ่งผมไม่ได้บอกลอก (หลายๆ คนอาจคิด) แต่เป็นเรื่องของการทำความเข้าใจแนวทางออกแบบพวกนี้ อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่คิดว่าคงมองภาพรวมว่ามีที่มา หรือมีพื้นฐานมาจากอะไรบ้างในงานออกแบบแนวนี้เพื่อต่อยอดความเข้าใจต่อไป

แน่นอนว่า iOS 7 ออกแบบบนพื้นฐาน Flat Design และ Typography design ที่มากขึ้น (ของเก่าๆ มีบ้าง แต่ไม่ชัดนัก) และตัดแนวทางออกแบบที่เริ่มดูไม่นำกระแสอย่าง Skeumorphism design ออกไป แต่ต้องยอมรับว่า Skeumorphism design เคยเป็นกระแสมาก่อน แต่ในวันนี้คงไม่ใช่อีกต่อไป ซึ่ง Flat Design เป็นแนวทางออกแบบสมัยใหม่ในช่วง 1-2 ปีนี้ และคาดว่าจะอยู่ไปอีกสักพักใหญ่ๆ ส่วน Typography design รูปแบบพื้นฐานในการออกแบบในด้าน grid layout และการใช้ตัวอักษร โดยเน้นการจัดวางที่เน้นตัวเนื้อหาเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นแนวการออกแบบร่วมสมัย แน่นอนว่าการออกแบบด้วยการใช้ Flat Design และ Typography design นั้นจะเน้นความตรงไปตรงมาในการสื่อสารกับคนรับสาร และตัวไอคอนจะร่วมสมัยมากขึ้น ไอคอนและสีจะเป็นโทนที่เหมาะสมกับการรับรู้ของคนทั่วไปมากขึ้น ซึ่งไอคอนต่างๆ เท่าที่ดูน่าจะเน้นความเป็นสากลมากๆ เพราะในรูปแบบการออกแบบใน iOS ตัวเก่านั้น คนหลายๆ หลุ่มไม่อินกับไอคอนบางส่วน เพราะไม่ได้เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปแล้วในปัจจุบัน

โดยส่วนตัวหลังจากเห็นแล้ว ผม “ชอบ” หน้าตาใหม่ “เกือบทั้งหมด” ขัดใจแค่ 3 ส่วนคือ

1. การใช้สีในบางส่วนดูดี ออกแบบได้โดนนะ แต่บางส่วนนั้นไม่ค่อยเท่าไหร่ และบางอันเข้าขั้นแย่ เพราะใช้สีที่แรงไป พอเอาทุกๆ สีมาวางใกล้ๆ กับตัวที่ดูดีกลายเป็นตัดกันไม่เข้ากันไป
2. ความไม่ต่อเนื่องของคอนโทรลต่างๆ นั้น บางอันก็ขอบมน บางอันก็เหลี่ยม ผมขอใช้ว่า “มันไม่ต่อเนื่องในการใช้งาน” คือจะมนก็มนไปให้หมดเลยน่าจะโอเคกว่า
3. สัญลักษณ์ในไอคอนบางตัวไม่สื่อ และบางอันทำให้เข้าใจผิด เห็นง่ายๆ คือ Safari ถ้าใครไม่เคยใช้จะคิดว่ามันคือไอคอนแผนที่คงได้เห็นไอคอนใหม่ของ Safari ที่ปรับได้ตรงไปตรงมามากว่านี้แน่ๆ

ส่วนเรื่องอื่นๆ เช่น Motion design คงต้องปรับเรื่องความลื่นไหลอีกสักหน่อยในเครื่องรุ่นเก่าๆ (คงกินระบบมากๆ) และในด้าน Typography design ซึ่งเน้นการจัดวาง gird ผมว่าโอเคนะ ส่วนที่ชอบที่สุดน่าจะเป็นพวก Photos, Calendar, Playlist ใน Music และอีกหลายๆ ตัว ผมว่ามันออกแบบมาดูดีมากๆ คือต้องอย่าลืมว่าแนวการออกแบบที่มุ่งเน้นในด้านเนื้อหามากขึ้น (focus contents) แบบ Typography ซึ่งทำให้ iOS 7 คงหลีกเลี่ยงการจะไม่ไปเหมือนชาวบ้านเค้ายาก เพราะการจัดวาง content มันมีไม่กี่รูปแบบที่ถูกยืนยันมาแล้วว่ามันใช้งานได้ดีบนอุปกรณ์จำพวกนี้ และบน platform อื่นๆ อย่าง Android (Halo) นั้นเค้าทำออกมาหลากหลายมากเพราะเปลี่ยนแปลงหน้าตาได้หลากหลายอยู่แล้ว การจะไปเหมือนสักแบบจึงไม่แปลก

คนที่อินกับแนวทางออกแบบของ iOS รุ่นเก่าๆ อาจจะต้องคิดใหม่กับเรื่องงานออกแบบพวกนี้ เพราะเรื่องแบบนี้ค่ายอื่นๆ โดนกันมาก่อนแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อ iOS ไม่ได้นำกระแสงานออกแบบในตลาด และไม่คิดจะทำออกมาฉีกแนวจากแนวทางผู้บุกเบิกแนวการออกแบบอย่างในโทนนี้อย่าง Microsoft ก็ต้องโดนกัดเป็นธรรมดา

“ยอมรับเหอะว่ามันต้องเหมือน และโดนจิกกัดเป็นธรรมดา เพราะ Apple ก็กัดเค้ามาเยอะ”

น้ำตาจะไหล Office 365 รับอีเมลจาก battle.net ได้แล้ว

จาก blog เก่าที่ ใช้อีเมลของ Microsoft Office 365 Small Business Premium ทำให้รับอีเมลจาก @battle.net และ @blizzard.com ไม่ได้ ก็เปิด ticket ไปตั้งแต่วันนั้น อีเมลสอบถามไป-มา ผ่าน support ช่วงแรกๆ support เค้าก็ดีนะ ช่วยเหลือสอบถามเต็มที่เพื่อให้เข้าใจตรงกัน

อีเมลฉบับแรกเค้าทวบทวนขั้นตอนต่างๆ ใหม่แล้วทำขั้นตอนแบบเดียวกับที่ผมทำเลย

I will try to sign up to battle.net by using my Office 365 Small Business Premium account and submit for password reset to see if the issue could be reproduce from my side.

อีเมลฉบับที่สองแจ้งว่าเค้าพบปัญหาเช่นเดียวกัน

I have created a battle.net account by using my Office 365 Small Business Premium e-mail address and then submit a request for password reset. The issue could be reproduced from my side since I could not receive any mail from battle.net in my Office 365 mailbox, even after configuring battle.net in safelisting.

However I have no issue with receiving mail from battle.net by using Office 365 Plan E3 account.

สุดท้ายเค้าก็แจ้งว่าคงต้องแจ้งทาง backend อีกต่อหนึ่งเพื่อแก้ไขปัญหา

We are still working with our back-end team in order to troubleshoot the issue.

และหลังจากฉบับนั้นอีเมลการแก้ไขปัญหาก็หายไป ได้แต่คำตอบเรื่องของการตั้ง exception ของ Forefront Online Protection for Exchange (FOPE) ที่ทางนั้นเค้าต้องตั้ง exception ให้เราเอง

Currently we are still waiting for more information regarding the possibility to create an exception in FOPE for incoming mails from battle.net and blizzard.net.

ผ่านล่วงเลยมาจะ 3 เดือนยังไม่คืบหน้า เพราะได้แต่อัพเดทเฉพาะส่วนสุดท้ายมาหลายรอบ อดทนไม่ไหวเลยขอจัดใน forum ของ office 365 ซะเลย

I can’t receive password reset emails from blizzard.net or battle.net

I started contact to your Support Engineer at 14 March, 2013 (Ticket ID: SRX1199839465ID)

My problem is “I submitted a request to reset the password for your battle.net account, however the password reset which sent by battle.net could not be delivered to your Office 365 mailbox. But my client have sent email to me in Office 365 mailbox normally. Example, Issue resemble in Issues with receiving e-mails from domains @blizzard.com and @battle.net . Please advise me for fix this issue. (http://community.office365.com/en-us/forums/158/p/72329/273426.aspx)”

Now, 2 June, 2013. This issue not solved and it too long for me! You don’t have any more updates my issue. Your support engineer reply e-mail to me 3-4 times with “Currently we are still waiting for more information regarding the possibility to create an exception in FOPE for incoming mails from battle.net and blizzard.net.” and not any better update from 14 March, 2013. Your suppport use 2-3 months to investigate and fixed this issue for me!.

I can not waiting waiting waiting longer but I want fix my issue now!

หลังจากไปก่อนดราม่าเล็กๆ สุดท้าย มาวันนี้ใช้งานได้แล้ว!!! อืมมม นะ 3 วันจบเรื่อง (╯°□°)╯︵ ┻━┻)

การดูหนังในโรงต้องคิดเยอะขึ้น

หลังจากเรื่องตั๋วหนังแพง ของกินหน้าโรงแพง แถมโฆษณาในโรงก่อนฉายเยอะ ผมเลยมีมาตรการส่วนตัวที่จะดูในโรงอยู่บางส่วนที่อาจจะทำร้ายจิตใจใครหลายๆ คน จริงๆ เคยเขียนไว้ใน เหตุง่ายๆ ที่คงไม่ได้ดู “ภาพยนตร์คอนเสิร์ต Bodyslam นั่งเล่น” แล้วแต่ว่ารอบนี้เอามาสรุปใหม่อีกสักรอบดีกว่า

  1. จะดูโรง Major เพราะ IMAX เท่านั้น เพราะโฆษณาน้อย ไม่รอนาน คุณภาพที่ยอมจ่าย ช่องขายตั๋วที่น้อยและหวังขายบัตรเติมเงิน (ขายตั๋วแพงแต่ไม่มีปํญญาเพิ่มช่องขาย)
  2. เรื่องที่อยากดูมากๆ แต่เน้น Digital จะไปดู SF หรือเครือ APEX ทั้งหมด ส่วนฟิล์มก็ไปดู APEX เท่านั้น
  3. หนังไทยจะไม่ดูในโรงหนังอีกต่อไป เริ่มตั้งแต่ พี่มาก คู่กรรม และหลายๆ เรื่อง ต้องขอโทษที่มันโหดร้าย แต่ถ้าตั๋วหนังราคายังแพงเท่ากับหนังฟอร์มใหญ่ แล้วโรงหนังบางโรงยังหน้าด้านบอกว่าหนังต้นทุนสูงเลยต้องขึ้นราคา แต่หนังไทยหลายๆ เรื่องราคาตั๋วเท่ากับฟอร์มใหญ่แบบนี้ มันดูแปลกๆ เพราะงั้น ผมซื้อแผ่นดูดีกว่า (พี่มากและคู่กรรมผมยังไม่ได้ดูเลย รอแผ่นครับ)
  4. ขนมหน้าโรงจะไม่ซื้อเลยนอกจากเครือ APEX เท่านั้น (SF/Major ราคาโหดร้ายทั้งคู่ แต่ Major ราคาโหดมากกว่า และ APEX ราคาประมาณแถวๆ ศ. ท่ารถหมอชิต ซึ่งผมรับได้)
  5. โฆษณาเยอะ เป็นเหตุผลสำคัญที่ไม่เลือกดู Major และย้ายมาดู SF แทน และที่นั่ง SF นั่งสบายกว่า Major เยอะด้วย
  6. ราคาแพงทำให้ผมเลือกที่จะดูหนังเยอะขึ้น เรื่องไหน 50-50 ผมไม่ดูในโรงเลย คือไม่เสี่ยงกับราคาตั๋วโหดร้ายพวกนั้นเด็ดขาด

ผมคงไม่ทำให้เค้าขาดทุนหรอก แต่ถือว่าเป็นเสียงเล็กๆ ที่สะท้อนแล้วกัน