เปรียบเทียบการคิดเงินของ uber แบบเดิมและ upfront มาดูว่าแบบไหนราคาแพงกว่ากัน

การคิดเงินของ uber แบบใหม่ที่เรียกว่า upfront นั้นเรากดเลือกต้นทางปลายทาง ระบบจะแจ้งราคาที่จะคิดเงินทั้งหมดให้เรา ซึ่งพอกดเรียกรถแล้วได้รถ ระบบจะ “ตัดเงินออกจากบัตรเครดิตทันที” ถ้าเรา “กดยกเลิกภายในเวลาที่กำหนดก็จะคืนเงินให้” แต่ถ้าไม่ แล้วรถมารับ ถึงปลายทางยังไง เงินที่หักไปคือจบ แต่ถ้าระบบมันมองว่าต้องคิดเงินเพิ่ม เนื่องจากใช้ระยะทาง เวลา หรือค่าบริการทางด่วนเพิ่มเติม มันจะตัดเงินเพิ่มอีกรอบนึงออกจากบัตรเครดิต

(ใครใช้บัตรเดบิตนี่จะซวยมาก เพราะเงินสดโดนหักไปเลย ถ้าในกรณียกเลิก ยังไม่มีคำตอบว่าจะโอนเงินสดนั้นกลับเข้าบัญชียังไง)

ผมเลยทำการทดสอบว่า “ทีระยะทางและแผนที่เดินทางเดิมทั้งหมดจะคิดราคาต่างกันไหม”

จึงสรุปได้ตามผลทดสอบตามนี้

uberX ราคาเดิม

– ที่ระยะทาง 7.93 กิโลเมตร ระยะเวลาในการเดินทาง 00:15:30 จะเรียกเก็บเงิน 146.22 บาท

รายละเอียดในบิลที่ส่งมา
– ค่าเดินทางเริ่มต้น = 10.00 บาท
– ระยะทาง = 31.74 บาท
– เวลา = 54.48 บาท
– ค่าผ่านทาง การเก็บเงินเพิ่ม และค่าธรรมเนียม = 50.00 บาท

พอถึงที่หมายแล้วก็ค่อยหักเงินออกจากบัตรเครดิต

uberX แบบ upfront

– ระยะทาง 7.87 กิโลเมตร ระยะเวลาในการเดินทาง 00:12:30 เรียกเก็บเงินแล้ว 164.19 บาท

รายละเอียดในบิลที่ส่งมา
– ค่าโดยสารการเดินทาง = 114.19 บาท
– ค่าผ่านทาง การเก็บเงินเพิ่ม และค่าธรรมเนียม= 50.00 บาท

โดย upfront ไม่มีการแจกแจงว่า ค่าเดินทางเริ่มต้น, ระยะทาง และเวลา มีอัตราราคาเท่าไหร่ และเมื่อกดเรียกรถได้ ระบบจะตัดเงินจากบัตรเครดิตด้วยจำนวนเงินที่คำนวณไว้ล่วงหน้าทันที พอถึงที่หมายก็คือจบไม่มีการคืนเงินอะไรทั้งสิ้น

ซึ่งในการคิดราคาแบบ upfront ครั้งนี้นั้น ระยะทางและเวลาในการเดินทางก็น้อยกว่า แต่กลับคิดเงินแพงกว่าเกือบ 20 บาท

คนใช้บริการก็ตัดสินใจเอาว่าจะใช้งานกันต่อไปหรือไม่กับการคิดเงินแบบนี้